หุบเขาแห่งความตาย (Death Valley National Park) ไม่เคยอยู่ใน bucket list ที่ฉันอยากจะไปเยือน แค่ได้ยินชื่อก็ถามตัวเองแล้วว่าจะไปทำไม ยิ่งดูรูปแล้วทั้งร้อนทั้งแห้ง ทะเลทราย ฝนไม่เคยตก ล้มเลิกความตั้งใจไปได้เลย น้านิดเกริ่นๆว่าอยากไปถ่ายรูปภูมิประเทศที่นั่น ฉันเลยเปลี่ยนใจไปดูให้รู้กันว่ามันจะโหดขนาดไหน
ก่อนออกเดินทาง เพื่อนๆหลายคน (ซึ่งไม่มีใครเคยไป) แต่หาข้อมูลมาให้ ต่างพากันเป็นห่วงกันเรื่องความร้อนและอุณหภูมิที่สูงมากๆ บางคนฉันถามว่าจะไปทำไมหน้าร้อน ที่อื่นอากาศสบายๆให้เที่ยวมีเยอะแยะไป ยิ่งมีคนห้ามเยอะๆ ยิ่งทำให้ฉันอยากไป แม่ฉันพูดอยู่บ่อยๆว่า ฉันเป็นคนที่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ฉันเลยอยากจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า Death Valley ไม่ได้โหดและน่ากลัวอย่างที่ใครๆคิด
การเตรียมตัวไปแคมป์รอบนี้ดีกว่าครั้งก่อนเยอะ ฉันสั่งซื้อถุงนอนที่ทนความหนาวได้ถึง 15 ฟาเรนไฮต์ (-10 องศาเซลเซียส) พร้อมกับเต็นท์สี่ฤดูกาล กางได้หมดไม่ว่าจะอากาศร้อนฝนหนาวหรือหิมะ น้ากลางซื้อน้ำดื่มมาให้สองโหลติดรถไว้พร้อมทิ้งกุญแจรถคันเดิมไว้ให้ คุณยาย (แม่ของน้าทิพย์) ทำหมูทอดน้ำปลาและหุงข้าวเหนียวไว้ให้กินมื้อกลางวัน โรดทริปครั้งนี้รถพร้อม อาหารพร้อม ถึงอากาศจะร้อนแต่ the show must go on ไม่ลองไม่รู้ ถอยหลังไม่ได้แล้ว
ฉันกับน้านิดออกเดินทางกันแต่เช้า ใช้เวลาขับรถประมาณ 5 ชั่่วโมงจากแอลเอไป Death Valley ฉันเป็นคนไม่ดื่มกาแฟ เวลาขับรถถึงไม่ได้ดื่มอะไร ก็ขับไปได้เรื่อยๆ ไม่ง่วงไม่เหงา ขอให้มีเพลงโปรดฟังไปเรื่อยๆ ร้องตามไปเบาๆ ก็ทำให้ฉันตื่นได้ตลอดเวลา
ฉันขับผ่านป้ายโฆษณาสตาร์บักส์ น้านิดให้ขับออกจากทางหลวงทันที แวะหากาแฟดื่มกันก่อน เมืองเล็กๆแบบนี้จะมีมั้ยคุณน้า ขับวนๆหาไม่เจอ พาลแต่จะหลงเอา สุดท้ายก็ได้แค่กาแฟจากปั๊มน้ำมันแทน พวกเราขับมาบนทางหลวงของรัฐแคลิฟอเนียร์สาย 14 ไปต่อสาย 359 เส้นทางไม่ได้มีอะไรให้ชมมาก นอกจาก ดอก Oleander คล้ายกับดอกชวนชมสีชมพูเข้มๆบานให้เห็นไปเป็นระยะๆ
บรรยากาศสองข้างทางเริ่มเปลี่ยนไป ภาพความแห้งแล้งของพื้นที่อีกฝั่งนึงของแคลิฟอร์เนียแบบกึ่งทะเลทรายและภูเขาโล้นสลับซับซ้อนโผล่มาให้เห็นเป็นระยะ ต้นไม้เริ่มหายไป ไม้พุ่มเตี้ยๆที่ขึ้นในเขตทะเลทรายแทรกตัวเข้ามาแทน ตัวบอกอุณหภูมิในรถเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนเกิน 110F แล้ว อากาศข้างนอกร้อนและแห้งมาก ความชื้นในอากาศน้อยมาก ร้อนแบบแห้งๆหายใจไม่ชินปอดเลย
พวกเราขับไปเจอทำเลที่น่านั่งพักริมถนน มีพุ่มดอก Oleander ขนาดใหญ่กับโต๊ะนั่งใต้พุ่มไม้ ฉันไม่รอช้าถือโอกาสนั่งกินข้าวเหนียวหมูทอดใต้พุ่มไม้ ช่วยคลายร้อนก่อนที่จะเข้าไปในเขตอุทยาน ขับไปไม่นานก็เข้าเขตอุทยาน จินตนาการที่ฉัดวาดไว้จากรูปที่เห็นในหนังสือท่องเที่ยวช่างต่างจากความเป็นจริงเหลือเกิน หุบเขาแห่งความตายนี่สมชื่อจริงๆ ต้นไม้ไม่มีให้เห็นสักต้น มองไปรอบตัวเจอแต่ความแห้งแล้งของพื้นดิน ภูเขา หุบเขา ทะเลทราย และอากาศที่แสนอบอ้าว
ตัววัดอุณหภูมิบอกว่า 116F (47C) หลังจากพวกเราขับเข้ามาในเขตอุทยาน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเจออากาศร้อนที่สุดตั้งแต่เกิดมา แต่ยังไม่ได้ร้อนสุดๆของที่นี่ อุณหภูมิวัดได้สูงสุดคือ 134F (56C) ที่นี่เป็นสถานที่ร้อนที่สุดแห่งหนึ่งที่วัดได้บนพื้นโลกเลย ส่วนความแห้งแล้งที่วัดจากปริมาณฝนที่ตกเฉลี่ยต่อปีแล้ว หุบเขาแห่งความตายไม่เป็นที่สองรองใครเลย ตามสถิติฝนไม่ตกที่นี่ติดต่อกันมาประมาณสามปีกว่าๆ ฉันเลิกสงสัยแล้วว่าทำไมต้นไม้ต้นหญ้าถึงไม่มีให้เห็น เพราะไม่มีน้ำนั่นเอง
หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมฝนถึงไม่ตกที่นี่ ทางตะวันตกของทวีปอเมริกามีแนวเทือกเขาหลายลูก เช่น เซียร์ร่าเนวาดา (Sierra Nevada) และเทือกเขาชายฝั่งมหาสมุทร (Coast range) ปริมาณฝนและความชื้นจากมหาสมุทรแปซิฟิกจะตกบนพื้นที่ใกล้ชายฝั่งและตกบนแนวเทือกเขาเหล่านั้นก่อน กว่าเมฆฝนจะมาถึงเขต Death valley ความชื้นและฝนก็หมดไปแล้ว ความชื้นที่นี่มาจากหิมะที่โปรยมาจากเทือกเขาใกล้ๆและละลายลงบนพื้นดิน พืชบางชนิดที่ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมแบบแห้งแล้งก็สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้
ฉันเริ่มถามตัวเองว่า " คืนนี้จะนอนเต็นท์ไหวเหรอ อากาศร้อนขนาดนี้ สงสัยต้องหาโรงแรมนอนแน่ๆ" แผนกางเต็นท์ครั้งที่สองคงจะล้มเหลวอีกตามเคย
ภูมิประเทศอันหลากหลายและเอ็กซ์ตรีม (extreme) ของที่นี่ เลยทำให้มีสถานที่เที่ยวน่าสนใจหลายแห่ง เช่น Bad water basin เกิดจากแยกตัวของสองเปลือกโลก เหลือเป็นทะเลสาบทิ้งไว้ หลังจากน้ำได้ระเหยไป เหลือแค่แผ่นเกลือขนาดยักษ์ (Salt flats) ทิ้งไว้ เลยทำให้ที่นี่เป็นจุดที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ ฉันเดินย่ำไปบนแผ่นเกลือสีขาวสุดลูกหูลูกตา พอนั่งลงมองใกล้ๆมันเป็นผลึกเกลือเล็กๆที่ก่อตัวขึ้นตลอดเวลา อุทยานอนุญาตให้ลงไปเดินได้ตามแนวที่เส้นทางเดินที่ทำไว้ แต่ห้ามรถลงไปวิ่งบนแผ่นเกลือโดยเด็ดขาด
Walking on Salt Flats at Bad Water Basin (The lowest point in North America Continent)
ส่วนหุบเขาและภูเขาสีสันสวยๆทั้งหลายที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ เถ้าถ่านจากแร่ธาตุที่ไหลผ่านทำให้เกิดงานศิลป์เป็นภาพเขียนสีพาสเทลบนภูเขา (Artist's Palette) หุบเขาหินอ่อนที่เกิดจากกัดกร่อนของน้ำ (Mosaic Canyon) และหุบเขาทองคำ (Golden canyon) บางจุดต้องอาศัยการเดินเท้าระยะสั้นๆเข้าไปดู สิ่งสำคัญที่ต้องติดตัวไปคือน้ำดื่ม ไม่ว่าจะเดินระยะสั้นหรือยาว เพราะอากาศที่แห้งมากจะดูดความชื้นและน้ำจากร่างกายเราไปด้วย (dehydration) ฉันเดินเที่ยวทั้งวันดื่มน้ำไปหลายขวด ยังรู้สึกกระหายน้ำอยู่ตลอดเวลา แถมไม่ต้องเข้าห้องน้ำเลย
พวกเราเดินเข้าไปดูหุบเขาหินอ่อนในช่วงบ่ายที่อากาศร้อนจัดเลย ทางเดินเท้าเป็นระยะทางสั้นๆ เดินเข้าไปในรอยแยกระหว่างภูเขาซึ่งมีหินอ่อนลวดลายต่างๆอยู่ทั้งสองด้านเป็นระยะหลายร้อยเมตรทีเดียว ลวดลายและสีต่างจากหินอ่อนที่เคยเห็นมา ธรรมชาติช่างสรัางงานศิลปะสวยๆให้มนุษย์ได้ตะลึงอยู่เสมอ
สถานที่เที่ยวแต่ละจุดห่างกันพอสมควร พวกเราขับรถไปดูหลุมระเบิดขนาดยักษ์ของภูเขาไฟ (Ubehebe Craters) มีหลายหลุมใหญ่ๆกระจายไปทั่ว ฉันเดินจนลิ้นห้อยขึ้นไปบนปากปล่อง นั่งมองบรรยากาศรอบๆตัว ให้อารมณ์แบบดูหนัง Sci-fi แนวจักรวาลและดาวเคราะห์ดวงอื่นที่ไม่ใช่โลกมาก บรรยากาศอย่างกับไม่ใช่อยู่บนโลกสีฟ้าเขียวที่ฉันเคยเห็นจนชินตา นักวิทยาศาสตร์ NASA ใช้ที่นี่จัดงานนิทรรศการดาวอังคาร (MarsFest) ติดต่อกันมาหลายปี เพราะสภาพภูมิประเทศและบรรยากาศที่ต่างจากที่อื่นๆบนโลกนั่นเอง
ท้องฟ้าใกล้จะมืดแล้ว พวกเรารีบเดินกลับไปที่รถ พระอาทิตย์คงเกือบตกแล้ว ฉันพยายามรีบบึ่งรถไปที่เนินทราย กระแสลมพัดเอาตะกอนและทรายจากภูเขาและหุบเขามารวมกันไว้ เนินทรายมีหลายแห่งที่นี่ เราเลือกไปที่ Mesquite Flat Dunes อยู่ใจกลางของอุทยานเลยเดินทางไปง่ายที่สุด น้านิดอยากถ่ายรูปทะเลทรายกับแสงอาทิตย์อัสดง พวกเราไปถึงเนินทรายยังพอมีแสงสว่างแบบทไวไลท์อยู่บ้าง ฉันเดินเล่นบนสันทรายไปเรื่อยๆ น้านิดก็ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศเรื่อยเปื่อยไป ฉันกลายเป็นนางแบบจำเป็นโดยไม่รู้ แต่ได้รูปเก๋ๆมาหลายรูปทีเดียว ก็ถือว่าคุ้มกะการไล่ล่าแสงสุดท้ายของวัน
อาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ความมืดเข้าครอบคลุมแต่อากาศไม่เย็นลงเลย พวกเราเลยตัดสินใจไปที่โรงแรม Furnace creek resort เป็นโรงแรมแห่งเดียวที่มีอยู่ในเขตอุทยาน ถามราคาดูแล้วแพงพอสมควร $150 ต่อคืน แพงเกินไปที่พวกเราจะจ่ายได้ เลยต้องตัดสินใจหาจุดกางเต็นท์ที่ทางอุทยานจัดไว้แทน โลกแสนจะกลมทำให้ฉันมาเจอน้องคนไทยที่มาทำงาน work and travel ที่นี่ น้องเขาให้ข้อมูลจุดกางเต็นท์ที่ใกล้ที่สุด แถมเตือนฉันให้ระวังหมาป่ารอบๆแคมป์ด้วย
"ทำไมเลือกมาทำงานที่นี่ละ งานของเด็ก W&T มีเยอะแยะให้เลือก" ฉันแอบถามน้องก่อนไป
"โหพี่ ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะโหดขนาดนี้ เห็นชื่อหุบเขาแห่งความตาย ท้าทายดี เลยเลือกมา ที่ไหนได้ร้อนโคตร" หนุ่มน้อยตอบแถมหัวเราะไป
"ภูมิประเทศแบบนี้หาที่ไหนไม่ได้บนโลก ถือซะว่าเป็นประสบการณ์ไป โชคดีนะน้อง" ฉันให้กำลังใจกึ่งอวยพรน้องนักศึกษาจากเมืองไทย
พวกเรามาถึงจุดกางเต็นท์ตอนฟ้ามืดสนิท อาศัยแสงจันทร์ ไฟฉายและเต็นท์ใกล้ๆมีแสงไฟส่องมาถึง ตั้งเต็นท์กันอย่างรวดเร็ว นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ฉลองเต็นท์และถุงนอนใหม่ แต่ร้อนขนาดนี้ถุงนอนคงเป็นได้แค่ที่รองนอนเท่านั้น ฉันฉายไฟไปรอบๆที่พักเจอดวงตาแววๆคู่นึงสองครั้ง หมาป่าตัวเล็กๆตัวนึงวนเวียนอยู่รอบๆบริเวณนี้อย่างที่น้องคนไทยบอกไว้จริงๆ
อากาศร้อนลดลงมาเหลือประมาณ 100F (38C) ถือว่าเย็นลงมากเมื่อเทียบกับตอนกลางวัน ฉันเหลือบไปเห็นเต็นท์ข้างๆ สาวเจ้าแกใส่ทูพีชเดินทั่วเลย ฉันเข้านอนหลังจากกินขนมและหมูทอดที่เหลือมาจากกลางวัน พวกเราเอาน้ำดื่มมาไว้ในเต็นท์หลายขวด ฉันหลับๆตื่นๆตลอดคืนเพราะกระหายน้ำ น้านิดปลุกฉันตื่นขึ้นมาเพื่อหมุนเต็นท์ไปตามทิศทางลมอยู่สองครั้ง ฉันถือโอกาสดื่มน้ำไปด้วย อากาศร้อนทำให้ฉันหลับง่ายกว่าอากาศหนาวแน่นอน คงเพราะฉันชินกับการนอนแบบร้อนๆที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศมาตั้งแต่เด็ก
พวกเราตื่นมาตอนเช้า อากาศยังเย็นสบายอยู่เลยรีบเก็บเต็นท์และไปทานอาหารเช้าที่ร้านค้าอุทยานกัน ฉันมีธรรมเนียมที่ทำเป็นประจำเวลาไปเที่ยวต่างที่ คือ ส่งโปสการ์ดกลับไปบ้านที่เมืองไทย บ้านเป็นที่เดียวที่ฉันจำที่อยู่ได้ ฉันชอบเขียนเล่าเรื่องให้พ่อแม่ฟังพร้อมกับบรรยายรูปถ่ายของสถานที่นั้นๆ พ่อแม่ชอบอ่านที่ฉันเขียนเหมือนได้ไปเที่ยวด้วยกัน
พวกเราไปเดินกันต่อที่หุบเขาทองคำ (Golden Canyon) เดินใกล้ๆแค่ประมาณสองกิโล ไฮไลน์คงเป็นยอดเขาสูงๆสีแดงที่เรียกว่า Red Cathedral ทางเดินจะแคบลงเรื่อยๆจนถึงทางตัน มีหินผาขนาบสองข้าง เจอซุ้มประตูหินสูงใหญ่ที่โดนกัดกร่อนไปตามกาลเวลา ฉันเกิดความสงสัยว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าหินแต่ละก้อนมาอยู่ในรูปร่างนี้
ภูเขาและหุบเขาทองคำมีจุดชมวิวที่สวยมาก มองไปทางไหนมีแต่สีเหลืองอร่ามเหมือนทองคำจริงๆ ดูแห้งแล้งเดียวดายอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางหุบเขาสีดำที่เกิดจากเถ้าถ่านภูเขาไฟ
ยังมีอีกหลายจุดในอุทยานที่ฉันไม่ได้ไปเยือน เช่น หินเดินได้ (sailing stones) ที่ Racetrack playa แต่ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนเพิ่มขึ้นในช่วงกลางวัน พวกเราเลยตัดสินใจไปตากแอร์กันที่ Las Vegas แทน
พวกเราขับรถลงไปทางใต้ไปประมาณ 100 ไมล์ก็ถึงเวกัส สิ่งแรกที่ฉันต้องการคือ อาบน้ำเย็นๆให้ชื่นใจก่อนออกตะลุยราตรี ฉันหาโรงแรมราคาถูกได้ประมาณ $50 น้านิดเดินไปหากาแฟสตาร์บักส์ดื่ม หลังจากนั้นพวกเราก็กินข้าว เล่นสล็อทแมชชีน ท่องราตรีด้วยการเดินชมแสงสีและโชว์ฟรีต่างๆไปบนถนนสายหลัก (Las Vegas Strip) ปิดทริปนี้ด้วยการเสียเงินให้เมืองแห่งบาปจนได้
บรรยากาศตอนกลางคืนของหุบเขาแห่งความตายช่างเงียบสงบ ดวงดาวที่นั่นสว่างพอๆกับแสงสีไฟนีออนที่เวกัสเลยทีเดียว ความต่างที่ฉันเจอระหว่างธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้าง ฉันคิดว่ามนุษย์เคลื่อนที่เร็วเกินไป เร็วเกินจนลืมนึกถึงสมดุลกับธรรมชาติ ภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นจากการสร้างของมนุษย์ส่งกระทบต่อธรรมชาติมากขึ้นทุกวัน อีกไม่นานอุณหภูมิรอบๆโลกคงสูงขึ้นเรื่อยๆ จนมีหุบเขาแห่งความตายที่ขาดน้ำขาดฝนเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่งแน่นอน
ทริปสุดท้ายของฉันกับน้านิดก็จบลงไปด้วยดี พวกเราเรียนรู้ว่าธรรมชาติไม่ได้สร้างสรรค์แต่สิ่งที่สวยงามเสมอไป Death Valley ให้บทเรียนสำคัญว่า มนุษย์ สัตว์ และพืชต้องปรับตัวเพื่อการอยู่รอดร่วมกับธรรมชาติอันโหดร้ายให้ได้
ทริปนี้เกิดขึ้นไม่ได้ถ้าปราศจากการสนับสนุนจากน้ากลาง น้าทิพย์ และคุณยายซึ่งตอนนี้ได้จากโลกนี้ไปแล้ว ฉันยังระลึกถึงคุณยายเสมอเวลานั่งดูภาพและตอนเขียนเรื่อง Death Valley หมูทอดและข้าวเหนียวที่คุณยายตื่นแต่เช้ามาทำให้พวกเรา ช่วยให้ฉันรอดจากความหิวและมีเรี่ยวแรงเดินต่อไปตลอดทั้งทริป ขอให้คุณยายไปสู่สุขคติและขออุทิศเรื่องราวที่ Death Valley ให้เป็นที่ระลึกถึงคุณยายด้วยคะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in