เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
All about my love.CHAMOD
อยู่คนเดียวน่าจะดีกว่า.
  • เริ่มต้นด้วยความรักครั้งล่าสุด ขอเรียกว่าเป็นความรักครั้งที่ 0 แล้วกัน

    ...ตั้งแต่วันที่ฉันตัดสินใจมีแฟน ความรักของเราไปได้ดี ไปได้สวยงาม จนฉันคิดว่าคนนี้แหละ ต้องเป็นคนสุดท้าย ซึ่งแน่นอน การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ทุกวินาทีบนโลกนี้  ฉันนึกทบทวนดีๆว่าการตื่นนอนแล้วต้องทักไปหาเขา มันเป็นสิ่งที่ใช่ตัวฉันจริงๆหรือเปล่า อาจจะไม่ใช่แค่การทักไปหาเขาในตอนเช้า แต่รวมถึงการส่งรูปไปให้เขาดูว่าเราทำอะไรอยู่ในตอนนั้น ทานข้าวแล้วใช่ไหม ทานกับอะไร กินขนมอันนี้ได้ไหม วันนี้มีอะไรต้องทำหรือไม่ ต้องวิดีโอคอลคุยกันวันละชั่วโมงสองชั่วโมงก่อนนอน
    ...ฉันยอมรับว่าทั้งหมดที่ผ่านมา ฉันยินดีที่จะทำ แต่ผ่านมาได้ไม่กี่สัปดาห์ ฉันก็เริ่มรู้สึกเบื่อ รู้สึกเหนื่อยกับการยอมรับในตัวตนของเขาที่ตอนแรกฉันคิดว่าฉันยอมรับได้ แต่เอาเข้าจริง ฉันไม่โอเคกับมันเลยด้วยซ้ำ ฉันไม่ได้กำลังบอกว่าเขาผิด เขาเป็นของเขาแบบนั้นดีแล้ว แต่ฉันยอมรับไม่ได้ ฉันไม่อยากยอมรับ เหตุผลเท่านั้น

    ...ฉันเป็นคนหนึ่งที่ชอบมองคนเดินจับมือกัน ชอบมองคนแสดงความรักต่อกัน ชอบมองคนรักกัน แต่ฉันคิดว่าฉันยังไม่อยากมีเป็นของตัวเอง ไม่ใช่ว่าความรักไม่ดี ฉันแค่ยังไม่อยากแบ่งเวลาของตัวเองไปแชร์กับใครเท่านั้นเอง ขอโทษผู้ชายคนที่ฉันจำเป็นต้องทำแบบนั้นด้วยเหตุผลที่ว่าฉันยังอยากอยู่คนเดียว ยังไม่อยากยอมรับใคร และถ้าในอนาคตฉันยังไม่เจอใครที่ใจอยากยอมรับ การอยู่คนเดียว มันก็คงจะเหมาะสมที่สุดแล้ว.

    ...ขอบคุณความรักที่ทำให้ฉันเข้าใจตัวเองมากขึ้น : )
  • ความรักครั้งที่ -1 

    ...ความสับสนในใจ ใครจะเป็นคนช่วยเธอหาทางออก มัดหมี่เป็นหญิงสาวรูปร่างค่อนข้างมีน้ำมีนวล หรือจะเรียกเธอว่าอ้วนก็คงไม่ผิด เมื่อสิบปีที่แล้วหุ่นเธอไม่ได้เป็นแบบนี้ สมัยเธออายุสิบสามปีเธอเอวบางร่างน้อย แต่พอเธอสอบติดมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพ เธอมีเพื่อนที่มีน้ำมีนวลอยู่สี่คน ทุกวันหลังเลิกเรียนเธอกับเพื่อนจะไปหาของกินแถวห้างสรรพสินค้าใกล้ๆมหาวิทยาลัยแล้วต่อด้วยการไปดูหนังต่อ กว่าเธอจะกลับถึงห้องก็ประมาณสามทุ่มเศษได้ เธอโทรศัพท์คุยกับพ่อและแม่ทุกๆคืนวันศุกร์เวลาสามทุ่ม เป็นเวลาที่เธอกลับถึงห้องแล้ว เธอพักอยู่คนเดียวในหอพักซึ่งไกลจากมหาวิทยาลัยไม่มากนัก สภาพห้องพักไม่แย่มากแต่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ เธออยู่ได้สบายมาก ตอนเช้าเธอจะตื่นหกโมงเพื่อจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนที่จะออกไปเรียน ตอนกลางวันเธอจะกินข้าวที่โรงอาหารกับเพื่อนที่มีน้ำมีนวลสี่คนนั่น เธอกับเพื่อนคุยกันถูกคอจนรู้สึกราวกับว่าเรารู้จักกันมาได้สี่ห้าปีแล้ว เวลาผ่านไป 3 เดือนหลังจากสิ้นสุดการสอบปลายภาคเรียนที่หนึ่ง เธอขนของบางส่วนกลับไปบ้านเพื่อไปพักผ่อนอยู่ที่บ้านในช่วงที่มหาวิทยาลัยปิดเทอม นาทีที่เธอเจอพ่อกับแม่ เธอวิ่งเข้าไปโผกอดพ่อกับแม่ด้วยความคิดถึง แต่ใบหน้าที่กำลังเปื้อนด้วยรอยยิ้มกำลังจะหมดไปเมื่อแม่ทักว่าเธออ้วนขึ้น แน่นอนสิเธอน้ำหนักขึ้นสิบโล น้ำหนักขึ้นสิบโลมันไม่น้อยเลยนะมัดหมี่ ภายในเวลาสามเดือนเธอทำให้ชั้นไขมันใต้ผิวหนังได้มีความสุขกับการเต้นๆอยู่ในตัวเธอได้อย่างไรกัน มัดหมี่บอกกับแม่ว่าถึงเธอจะอ้วนแต่ตลอดระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมาที่เธอได้กินนั้น ทำให้เธอมีความสุขมากเลยนะ สามเดือนที่ผ่านมาเธอได้กินแต่อะไรที่เธออยากกิน แม่บอกเธอเสมอว่าอยากกินอะไรก็กินไปเถอะลูก เดี๋ยวตายแล้วจะไม่ได้กิน เธอยึดคำสอนนั้นของแม่เสมอมา

        เธอเดินอุ้มกระเป๋าใบใหญ่ที่แบกมาจากมหาวิทยาลัยขึ้นห้องนอนของเธอไป สิบนาทีถัดมา... แม่จ๋า มีอะไรให้หนูกินบ้าง หนูหิวจังเลย ตอนนั้นเป็นเวลารับประทานข้าวเย็นพอดี มัดหมี่ตาโตขึ้นทันที เพราะว่าสิ่งที่อยู่บนโต๊ะมีแต่ของที่เธอชอบกิน ไม่ว่าจะเป็นพะโล้ ผัดพริกแกงไก่กรอบ ไข่เจียว ปูผัดผงกะหรี่ กลิ่นหอมของเครื่องเทศเตะจมูกของเธอให้ต้องมาจำนนต่อหน้าอาหารทั้งหมดนี้ เธอไม่รอช้า ตักข้าวให้พ่อกับแม่และตัวเองจานละสองทัพพี พ่อกับแม่เห็นเธอทานอาหารไปด้วยรอยยิ้มแบบนี้พ่อกับแม่ก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ ปกติแล้วที่บ้านของมัดหมี่ พ่อจะเป็นคนทำอาหารให้ทุกคนในบ้านทาน มัดหมี่บอกเสมอว่ากับข้าวของพ่ออร่อยที่สุดในโลกเลย ร้านอาหารแถวๆมหาวิทยาลัยที่เธอเคยไปกินยังอร่อยสู้กับข้าวของพ่อไม่ได้เลย แต่แล้วความสุขในการเป็นนักกินของเธอก็ต้องหยุดชะงักลง ในวันเปิดภาคเรียนที่สอง... หนึ่งในเพื่อนของบอกกับเธอว่าอยากออกกำลังกาย ขอให้เธอไปเป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม เธอครุ่นคิดอยู่นานมากเพราะเธอขี้เกียจ ปกติเวลาห้าโมงเย็นเธอจะต้องได้ไปหาของกินแล้ว แต่นี่เธอจะต้องไปวิ่ง วิ่งหรอ มันเหนื่อยและทรมานจะตายไป แต่เธอก็ตัดสินใจรับปากเพื่อนว่าเธอจะไปด้วย เธอเดินผ่านหน้าห้อง ฟิตเนสในมหาวิทยาลัย แล้วเธอก็ต้องหยุด เธอไม่ได้เป็นอะไร แต่ทว่า เธอกำลังตกหลุมรัก.. ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร เพื่อนของเธอทั้งสี่คนถามคำถามนี้กับเธอประมาณเกือบร้อยครั้งได้มั้ง แต่เธอตอบเพื่อนไปแค่ว่าเขาใส่กางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน และเขาน่ารักมาก อะไรกัน มัดหมี่ผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับสิ่งใดจะต้องมาพ่ายแพ้ให้ความน่ารักของผู้ชายที่ใส่กางเกงขาสั้นสีน้ำเงินที่พึ่งเจอกันไม่ถึงห้านาทีคนนั้นเนี่ยนะ 

    .....หลังจากวันนั้นเธอก็ไปสนามกีฬาทุกวัน เพียงเพื่อเดินผ่านแค่ให้เห็นผู้ชายกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินคนนั้น สองอาทิตย์ต่อมา เหมือนอะไรๆจะเป็นใจให้เธอได้ใกล้ชิดกับผู้ชายกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินคนนี้ เธอรู้มาว่าเขาชื่อปิตินัย เขาเรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ เธอใช้ความสนิทสนมเป็นกันเองของเธอในการที่จะเนียนเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ศูนย์กีฬาว่าผู้ชายคนนี้ชื่ออะไร จำหน้าคนที่มาเซ็นชื่อได้ทุกคนไหม เจ้าหน้าที่ศูนย์กีฬาเห็นว่าเธอเป็นเด็ก ไม่น่าจะมีพิษมีภัยอะไร เจ้าหน้าที่ศูนย์กีฬาได้จึงยอมให้เธอดู เธอไล่ถามทีละคนว่าคนนี้หน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง ผ่านไปแล้วยี่สิบคนเธอก็ยังไม่ได้คำตอบที่เธอตามหา ทันใดนั้นมีเสียงประตูดังมาจากด้านหลังดังปั้งงง ง ง ... ผู้ชายใส่กางเกงขาสั้นสีน้ำเงินคนนั้นเปิดประตูเดินออกมาจากห้องฟิตเนส โอ้วพระเจ้า เธออุทานขึ้นมาในใจ หัวใจเธอตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มอย่างกับไม่มีวันจะทำให้มันกลับมาอยู่ที่เดิมได้ เขาเดินมาที่โต๊ะของเจ้าหน้าที่ศูนย์กีฬาแล้วควักแบงค์ 20 ออกมาจ่ายแล้วเซ็นชื่อ เขาบอกว่าตอนที่ผมขึ้นมาพี่น่าจะไม่อยู่ผมก็เลยเข้าไปก่อน มัดหมี่ทำตัวไม่ถูก จะเดินลงไปก็กลัวจะมีพิรุธ เธอก็เลยตัดสินใจควักแบงค์ 20 ของเธอออกมาจ่ายบ้าง

    ...... หลังจากที่ผู้ชายคนนั้นเดินกลับเข้าไปในห้องฟิตเนส เธอไม่รอช้าที่จะหยิบสมุดบันทึกที่อยู่ในกระเป๋าของเธอออกมาจดชื่อนามสกุล รหัสประจำตัวนักศึกษาและคณะของเขาเก็บไว้ เธอเดินเข้าห้องฟิตเนสไปพร้อมกับความสั่นในใจระดับมากกว่า 9.7 ริกเตอร์ เธอออกกำลังกายไม่เป็น เธอรู้อย่างเดียวแค่ว่าการวิ่งจะทำให้เธอเหนื่อยและเหงื่อออก และการวิ่งบนลู่วิ่งในห้องฟิตเนสนั้นจะทำให้เธออยู่กับเขาได้นานกว่าแค่เดินผ่านอย่างที่เธอเคยทำ เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง เธอเหนื่อยและหมดแรงจะวิ่งแล้ว เธอปรับระดับของลู่วิ่งไฟฟ้าให้มีแรงต้านน้อยลงพอที่เธอจะสามารถเดินได้โดยที่เธอจะไม่ขาอ่อนและล้มไถลลงไปกับพื้นให้ขายขี้หน้าแน่นอน ผ่านไป 45 นาที เธอก็ยังเดินอยู่บนลู่วิ่งอยู่ ตอนนี้เธอเหนื่อยมากแล้วจริงๆ ด้วยน้ำหนักกว่า 70 โลทำให้เธอรู้สึกว่าเมื่อไหร่ที่เธอจะลงไปจากลู่วิ่งที่แสนทรมานนี้ได้สักที เธอหันไปมองในกระจก เขายังยกลูกเหล็กไม่เสร็จเลย เธอพยายามเงี่ยหูฟังว่าอีกนานไหมกว่าเขาจะเสร็จ เธอจะได้ออกไปหลังเขา เขาจะได้ไม่เห็นสีหน้าที่สั่นและสภาพแย่ของเธอตอนนี้ เธอฝืนวิ่งต่อไปเรื่อยๆจนเห็นว่าเขาออกไปแล้ว อีกสามนาทีถัดมาเธอจึงลงจากลู่วิ่ง พร้อมกับเดินด้วยความล้ากลับหอไป ฉันเหนื่อย แต่ฉันว่าฉันมีความสุขนะ 

    ....การได้เห็นรอยยิ้มของเขานานเกินห้านาทีเป็นอะไรที่ทำให้ชีวิตของฉันแปดเปื้อนด้วยสีชมพูมากขึ้น ฉันจะไปออกกำลังกายทุกวัน ฉันต้องไปจองลู่วิ่งเครื่องนั้นทุกวัน เพราะมันเป็นที่ที่ทำให้ฉันเห็นรอยยิ้มของเขาได้ชัดเจนที่สุด แต่ฉันว่าฉันอ้วนไป ผู้ชายหุ่นดีหล่อล่ำแบบเขาน่าจะไม่ชอบผู้หญิงพุงพลุ้ยแก้มย้วยที่วันๆเอาแต่กินแบบนี้ ฉันนั่งหาข้อมูลเกี่ยวกับการลดน้ำหนัก การคุมอาหารตั้งแต่สองทุ่มจนถึงเที่ยงคืน ฉันอ่านแล้วฉันก็จด คืนนี้ฉันใช้กระดาษในสมุดบันทึกของฉันไปสามสิบหกหน้า ในสามสิบหกหน้านั้นไม่ใช่เรื่องการลดน้ำหนักทั้งหมดนะ เรื่องของการลดน้ำหนักที่ฉันหาได้มีอยู่สิบหน้า แต่หน้าที่เหลือเป็นเรื่องของเขา ... วันนี้อาจารย์ยกเลิกคลาส มีนากับเพื่อนเลยนัดกันว่าจะมานั่งทำงานที่ห้องคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย นั่งทำงานไปสักพัก มัดหมี่ก็หยิบสมุดบันทึกขึ้นมา พร้อมกับเปิดหน้าที่มีชื่อ นามสกุล และรหัสประจำตัวนักศึกษาของเขา เธอพิมพ์ชื่อ นามสกุลของเขาลงในเฟซบุ๊ค ใจของเธอเต้นตึกตัก ถ้าไม่เจอเธอจะเสียใจมาก เธอเงยหน้าขึ้นมาแล้วพบว่าเจอจริงๆด้วย เธอเลื่อนหน้าทามไลน์ของเขา ทามไลน์ของเขาเต็มไปด้วยลิสต์เพลงที่เธอไม่รู้จัก เธออยากรู้จักเขาให้มากขึ้น เธอตัดสินใจเขียนชื่อเพลงทุกเพลงบนทามไลน์ของเขาและไปหาฟัง หวังว่าเธอจะเข้าใจเขามากขึ้นกว่าเดิม วันนี้ฉันเห็นเขายกตะกร้าเสื้อผ้าออกมาจากรถยนต์สีขาวของเขา เขาเดินตรงเข้าไปที่หอพักของฉัน อะไรนะ เขาอยู่หอเดียวกับฉันหรือนี่ ฉันไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม ผู้ชายที่ทำให้ฉันใจสั่นเมื่อตอนเห็นรอยยิ้มยังทำให้ฉันใจสั่นอีกเมื่อได้รู้ว่าเขาอยู่ชั้นเดียวกับฉัน หอพักที่ฉันอยู่มีสองตึก ฝั่งนึงเป็นหอพักชายและอีกฝั่งเป็นหอพักหญิง แค่ฉันได้รู้ว่าเขาอยู่หอพักชั้นเดียวกับฉัน ฉันก็จะเปิดเพลงดังๆให้เขาฟังทุกคืน แม้ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินเพลงที่ฉันเปิดหรือไม่ก็ตาม ฉันแอบมองเขามาตลอดจนจบปี 4 ฉันคิดว่าเขาก็คงรู้ว่าฉันชอบเขา เราคุยกันบ้างเล็กน้อย แต่ฉันคิดว่าเขาคงไม่อยากคุยกับฉันสักเท่าไหร่ ฉันก็เลยเลือกที่จะแอบมองดูเขาอยู่ห่างๆ

    .... ฉันไม่ได้เจอเขาที่ ห้องฟิตเนสนานแล้ว ต่างคนต่างมีภาระที่ต้องทำ เวลาว่างเลยไม่ตรงกัน ฉันแค่แอบคิดว่าถ้าวันรับปริญญามาถึง ฉันจะขอเขาถ่ายรูป ฉันไม่แน่ใจว่าฉันจะกล้าเดินไปขอเขาถ่ายรูปไหม แล้วถ้าฉันกล้า เขาจะอยากมีรูปคู่กับฉันรึเปล่า เขาอาจจะเดินหนีแล้วเดินไปถ่ายรูปกับคนอื่น ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงฉันจะทำยังไง ช่อดอกไม้ที่ฉันถือมาให้เขา จะทำให้เขายิ้มได้ไหม ฉันหวังแค่ให้เขายิ้ม และอยากให้รอยยิ้มนั้นมันเกิดมาจากฉัน แค่ครั้งเดียว แค่วันนี้วันเดียว หลังจากนั้นจะต่างคนต่างอยู่ก็ได้ จะไม่ติดต่อกันอีกเลยฉันก็ยินดี เขาอาจจะรู้ว่าฉันชอบเขา แต่ฉันคิดว่าเขาไม่รู้ว่าฉันชอบเขามากแค่ไหน ฉันอยากจะพิมพ์ข้อความทิ้งไว้มากมายในแชทของเขาถ้าไม่ติดว่าฉันกลัวเขารำคาญ เราเดินสวนกันหน้าหอบ่อยมาก แต่เราไม่ยิ้มให้กัน เราไม่ทักกัน แน่นอนสิ ฉันเป็นแค่เพื่อนของเพื่อนเขาอีกทีหนึ่ง อะไรในตัวฉันเขาก็ไม่รู้ เขาน่าจะรู้แค่ว่าฉันเป็นผู้หญิงตัวอ้วนดำคนหนึ่งที่ไม่น่ารัก ไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่งตัวเชยสะบัด แค่นั้นจริงๆสินะ วันรับปริญญาที่มัดหมี่รอคอยก็มาถึง... มัดหมี่ถ่ายรูปรับปริญญากับเพื่อนๆน้องๆที่คณะตั้งแต่สิบโมงเช้าจนถึงบ่ายโมง เธอตัดสินใจว่าบ่ายสองโมงเธอจะไปหาเขาที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ในมือของเธอมีช่อดอกไม้ที่เธอประดิษฐ์เองกับมือเมื่อคืนนี้สามชั่วโมงที่เธอนั่งหยิบจับดอกไม้พร้อมกับใส่รูปของเขาลงไปในช่อดอกไม้นั่น ด้วยเธอหวังว่าเมื่อเขาเห็นเขาจะต้องยิ้ม เธอไม่หวังให้เขาพูดอะไรทั้งนั้น เธอกะว่าแค่ให้ดอกไม้เสร็จเธอก็จะกลับไปถ่ายรูปกับเพื่อนๆน้องๆที่คณะต่อ ในช่อดอกไม้มีดอกกุหลาบสีแดงที่บ่งบอกถึงการตกหลุมรักหรือแอบปลื้มใครสักคน ดอกกุหลาบสีเหลือง เป็นตัวแทนแห่งมิตรภาพ สื่อถึงความห่วงใยของผู้ให้ ดอกกุหลาบสีขาวที่แสดงถึงความรักที่ใสสะอาด บริสุทธิ์ น่าทะนุถนอมโดยไม่คิดเลยว่าความรักที่มอบให้ไปนั้น จะได้ความรักตอบกลับมาหรือเปล่า ดอกลิลลี่สีขาวที่ใช้แทนประโยคที่ว่า "ฉันรู้สึกดีที่ได้รู้จักและอยู่ใกล้คุณ" เธอใส่ดอกคัตเตอร์ไปเพื่อบอกกับเขาว่าถึงเขาจะมองไม่เห็นเธอ แต่เธอมีแต่เขาเสมอ เธอเดินเข้ามาในคณะวิศวกรรมศาสตร์ด้วยสีหน้าที่สดใสแต่หัวใจเธอน่าจะเต้นไม่เป็นจังหวะ คนเยอะมาก เธอสอดส่ายสายตามองไปทั่ว แต่เธอก็ยังหาเขาไม่เจอ เดินไปที่โรงอาหารครบทุกโรงอาหารแล้ว ห้องโปรเจคเขาก็ไม่อยู่ หรือเขาจะกลับไปแล้ว ตอนนี้บ่ายสามโมงสี่สิบห้านาที ดอกไม้ที่เธอตั้งใจทำมาให้เขา ถ้าเธอไม่เจอเขาเธอจะเอาไปให้ใครล่ะ เธอนั่งทำหน้าเศร้าอยู่ที่มุมตึกของห้องโปรเจคของเขา ฉันลุกขึ้นเดินอย่างหมดหวัง ดอกไม้ที่ฉันทำมาคงจะต้องตกไปอยู่ในมือของเพื่อนแล้วล่ะ นาทีที่ฉันเงยหน้าขึ้นไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินมาทางฉัน แต่ไม่ใช่เขา ผู้ชายคนนั้นคือเพื่อนของเขา เรารู้จักกันแบบผ่านๆ ไม่ได้คุยอะไรกันมากสักเท่าไหร่ ในมือของผู้ชายคนนั้นมีดอกไม้ช่อใหญ่ ใหญ่กว่าที่ฉันทำมาให้เขาอีก ฉันไม่ได้สนใจอะไร ผู้ชายคนนั้นเดินผ่านหน้าฉันไป 

    .....เราไม่ได้ทักกัน ไม่ได้ยิ้มให้กัน เพื่อนของเขาคนนี้ชื่อว่า “มิค” มัดหมี่กำลังจะเดินออกจากคณะวิศวกรรมศาสตร์เพื่อกลับไปหาเพื่อนๆของเธอท่ามกลางรถที่ติดอย่างมหาศาล เธอกำลังจะข้ามถนน แต่แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งมาขว้าแขนเธอไว้ เขายื่นดอกไม้ที่เธอเห็นเมื่อกี้นี้ตอนอยู่ในคณะให้เธอ เขาจูงมือเธอข้ามถนนแล้วเขาก็ข้ามกลับมาที่คณะของเขาแล้วยืนโบกมือให้เธอ เขาคือมิค ผู้ชายคนที่เป็นเพื่อนกับผู้ชายคนที่เธอชอบ ชอบเธอ... เขาแอบชอบฉันเหรอ เขาแอบชอบฉันตอนไหน ทำไมฉันไม่ได้เอะใจอะไรเลย แล้วยังไงต่อ แล้วช่อดอกไม้ที่มือฉันนี่ต้องทำยังไงกับมันต่อ ต้องทักไปขอบคุณแล้วสานสัมพันธ์ต่อหรือว่าฉันควรจะให้เรื่องราวมันจบลงแค่วันนี้ ฉันเดินกลับมาที่คณะของฉันพร้อมช่อดอกไม้ในมือสองช่อ อีกช่อหนึ่งเป็นช่อที่ฉันตั้งใจทำมาเพื่อมอบให้กับคนที่ฉันแอบชอบ ส่วนอีกช่อ.. อีกช่อฉันได้มากจากเพื่อนของคนที่ฉันแอบชอบ นี่มันอะไรกัน ฉันยังตั้งสติไม่ค่อยได้ จนกระทั่งมีเพื่อนคนหนึ่งเดินมาหยิบช่อดอกไม้ที่ฉันตั้งใจเอามาให้คนที่ฉันแอบชอบไปจากมือฉัน ฉันพูดกับเพื่อนคนนี้ว่าเอาไปเลย ดอกไม้ช่อนี้ฉันให้ ฉันเหมือนคนสติล่องลอยหลุดไปไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่ดอกไม้อีกช่อหนึ่งที่มิคให้มา ฉันกำมันไว้แน่น ถึงเวลากลับบ้านแล้ว ฉันหอบช่อดอกไม้ที่ได้ทั้งหมดจากเพื่อนๆน้องๆทั้งหลายวางบนเบาะในรถตู้ของพ่อฉัน แต่ช่อดอกไม้ที่มิคให้ ฉันถือมันไว้ตลอดจนกระทั่งถึงบ้าน น้องสาวกับฉันช่วยกันขนช่อดอกไม้ลงมาจากรถตู้ น้องสาวเห็นฉันถือช่อดอกไม้ไม่ยอมวางจนน้องสาวต้องเอ่ยปากถามว่าดอกไม้ช่อนี้ของใคร ฉันเห็นพี่ถือมันมาตั้งแต่อยู่ที่มหาวิทยาลัยแล้ว ฉันได้แต่ตอบไปว่าของเพื่อนน่ะ เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ฉันดังขึ้น เบอร์โทรเป็นเบอร์ 091 ฉันไม่ได้เมมไว้ แต่ฉันไม่ได้รับ ฉันคิดว่าน่าจะมีคนกดเบอร์ผิดโทรมาหาฉัน สามสายที่ฉันไม่ได้รับ ฉันคิดว่าถ้าเขาโทรมาอีกรอบฉันจะรับ แล้วเขาก็โทรมาอีกจริงๆ ฉันรับสายด้วยเสียงเบาๆ ปลายสายย้อนกลับมาหาฉันพูดว่านั่นมัดหมี่ใช่ไหม เรามิคนะ มิคที่ให้ช่อดอกไม้มัดหมี่วันรับปริญญาไงจำได้เปล่า ฉันไม่อยากจะบอกว่าฉันรู้ว่าเป็นมิคตั้งแต่คำแรกที่เขาเอ่ยละ เราถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันพอสมควร แล้วบทสนทนาระหว่างฉันและมิคก็ดำเนินช้าลงพร้อมกับจังหวะหัวใจฉันเช่นกัน 

    ....ฉันถามมิคว่าเอาดอกไม้มาให้ฉันทำไม แล้วยังจูงมือฉันข้ามถนนด้วย มิคตอบฉันด้วยน้ำเสียงที่ก็พอจะเดาได้ว่ามิคกำลังยิ้มอยู่ มิคบอกว่ามิคอยากให้ฉันแล้วมิคก็รู้ด้วยว่าดอกไม้ที่ฉันถืออยู่จะเอามาให้คนที่ฉันแอบชอบ ตอนแรกที่มิคเดินผ่านฉันไปเพราะมิคเห็นช่อดอกไม้ที่ฉันจะเอาไปให้คนที่ฉันแอบชอบ แล้วมิคก็คิดว่ามิคควรจะเอาดอกไม้ของเขาให้ฉันหรือเปล่า แต่มิคก็ตัดสินใจเอาดอกไม้มาให้ฉัน มิคจูงฉันข้ามถนนเพราะตอนนั้นรถเยอะมากและมิครู้ว่าฉันกลัวรถ มิครู้ได้ยังไงว่าฉันกลัวรถ ใครๆก็ไม่เชื่อว่าฉันกลัวรถ นอกจากเพื่อนสนิทของฉันเท่านั้น มิคบอกว่าทุกครั้งที่มิคแอบมองฉันข้ามถนนฉันจะเกาะแขนเพื่อนของฉันข้ามถนนทุกครั้ง แล้วเวลาที่ฉันข้ามถนนคนเดียวถนนต้องโล่งที่สุดฉันถึงจะกล้าข้าม 

    ..... โอ้โห มิคไปอยู่ตรงส่วนไหนของโลกมาตั้งยี่สิบสามปี ปล่อยให้ฉันผิดหวังกับความรักมาได้ตั้งสิบกว่าครั้ง ปล่อยให้ฉันร้องไห้มาตั้งหลายสิบคืน มิคบอกว่ามิคชอบฉันตั้งแต่วันที่ฉันถามหาเพื่อนของเขาที่ฉันแอบชอบแล้ว แต่ตอนนั้นยังชอบไม่มาก มาชอบมากๆตอนที่รู้จักฉันหลังจากนั้นสองเดือน ฉันสงสัยว่าทำไมเขาถึงชอบฉันทั้งๆที่ฉันทั้งอ้วนทั้งดำทั้งหน้าตาบ้านๆแต่งตัวเชยๆล้าสมัย มิคบอกว่าที่พูดมามันก็ใช่ แต่นั่นมันสมัยที่ฉันอยู่ปีหนึ่ง พอฉันขึ้นปีสี่มิคบอกว่าฉันสวยขึ้น ฉันดูแลตัวเองมากขึ้น เขาเห็นฉันที่สนามกีฬาบ่อยๆแต่เขาบอกว่าฉันน่าจะไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะคนที่ฉันสนใจคนเดียวน่าจะเป็นเพื่อนของเขามากกว่า โถ มิคกำลังน้อยใจฉัน บทสนทนาระหว่างเราคืนนั้นราบรื่นและฉันมีความสุขมาก มีความสุขชนิดที่ฉันไม่อยากนอนหลับเลย เพราะฉันกลัวว่าถ้าวันพรุ่งนี้ฉันตื่นมาแล้วเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริงฉันจะต้องนอนร้องไห้ต่ออีกหลายสิบคืนแน่ๆ เราคุยกันอยู่สองชั่วโมง ฉันขอตัวไปนอนเพราะปกติฉันเป็นคนนอนไม่ดึก ก่อนจะนอนเขาส่งฉันฝันดีก่อนจะถามคำถามว่า ฉันล่ะรู้สึกยังไงกับเขา... คืนนั้นฉันนอนไม่หลับ คิดอยู่นานมากว่าฉันได้ชอบมิคมั้ย ถ้าถามว่าเขาเป็นคนดีหรือเปล่า สำหรับฉัน ฉันก็คิดว่าดี แต่ฉันก็ไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่าการคุยกันสองชั่วโมงของคืนนี้ ฉันรู้จักเขาแค่ว่าเขาเป็นนักกีฬาว่ายน้ำของมหาวิทยาลัย เขาหุ่นดี เขามีแฟนมาแล้วหนึ่งคน เป็นเพื่อนที่โรงเรียนเก่าของเขา แต่เลิกกันเพราะผู้หญิงไปมีแฟนใหม่ การกระทำวันนั้นทำให้ฉันรู้สึกดีกับเขามาก มากจนอยากให้มิคเป็นคนที่ฉันแอบชอบ แต่มันเป็นไปไม่ได้ มิคไม่ใช่ผู้ชายคนที่ฉันแอบมองมาตลอดสี่ปี มิคไม่มีรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจฉันเต้นแรง กล้ามแขนของมิคใหญ่กว่าเขาก็จริง แต่กล้ามแขนของมิคมันไม่ได้ทำให้ฉันอยากมองนานๆเท่ากล้ามแขนของเขา คำพูดที่น่ารักของมิคมันไม่ได้ทำให้ฉันอยากฟังเท่าคำพูดเบาๆที่เขากระซิบกับเพื่อนเขาในห้องฟิตเนสวันนั้น ทุกๆอย่างที่เขาทำมันมีผลกับใจดวงนี้ของฉันมากเหลือเกิน ตรงกันข้าม ทุกๆอย่างที่มิคทำมันทำให้ฉันรู้สึกดี แต่ฉันรู้สึกดีแค่คืนนี้ที่ฉันได้รู้ว่าเขาแอบมองและสังเกตทุกความเป็นไปของฉัน ถ้าถามฉันว่าเขามีดีกว่ามิคตรงไหน เล่นกีฬาเขาก็เล่นไม่เป็น คุยกับฉันน่ารักๆเขาก็ไม่เคยทำ จูงมือฉันข้ามถนนยิ่งไม่ต้องพูดถึง คงไม่มีผู้ชายคนไหนในโลกนี้แล้วนอกจากพ่อของฉันที่จะทำแบบที่มิคทำ


    .... แต่ทำไม ทำไมฉันถึงไม่ชอบมิค จะพูดถึงหน้าตาก็ไม่ได้อยู่ดี ฉันไม่ได้ชอบคนที่หน้าตา แต่ต่อให้ฉันชอบคนที่หน้าตา มิคก็ไม่แพ้เขาอยู่ดี แล้วอะไรที่มิคแพ้เขา และถ้าให้ฉันตอบ แน่นอนว่าฉันต้องตอบว่ามิคแพ้ตรงความรู้สึกของฉัน ความรู้สึกของฉันที่มีให้เขามากมายมาตลอดสี่ปีเต็ม มิคไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีตรงนี้ ฉันไม่รู้นะว่าถ้ามิคมาบอกชอบฉันตั้งแต่ตอนปีหนึ่งหรือปีสองฉันจะชอบมิคมั้ย แต่บังเอิญว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น มิคพึ่งมาบอกชอบฉันในวันรับปริญญา แล้วมันก็พึ่งผ่านไปวันเดียว จะให้ฉันรู้สึกดีเหมือนผู้ชายที่ฉันรู้ความเป็นไปของเขามาตลอดสี่ปีได้ยังไง ฉันปวดหัว ฉันไม่รู้จะบอกมิคว่ายังไงดี ให้มิคเลิกยุ่งกับฉันแล้วทำเหมือนไม่รู้จักกันแบบที่ผ่านมา หรือฉันจะลองเปิดใจให้มิคแล้วคุยกับมิคดู บางทีมิคอาจจะทำให้ใจฉันสั่นแรงกว่าตอนที่ฉันเห็นกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินตัวนั้นของเขาก็ได้นะ ...ตีสองแล้วฉันยังคิดไม่ตก ฉันก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้หัวใจได้ยังไง ฉันเผลอหลับไป ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับเจอข้อความของเขาบอกว่า ‘ผมรักมัดหมี่นะครับ’ วันนี้แล้วสินะที่ฉันต้องให้คำตอบมิคว่าฉันจะมีมิคอยู่ในหัวใจหรือไม่ หรือฉันจะต้องผายมือให้เพื่อที่เขาจะได้ไปเจอผู้หญิงคนที่สวยกว่าฉัน ดีกว่าฉัน และรักมิคมากกว่าฉัน จะบอกว่าคิดกับมิคแค่เพื่อนมิคก็คงจะเสียใจ ฉันเองก็เสียใจถ้าต้องพูดไปอย่างนั้น แต่จะให้ฉันบอกว่าฉันรู้สึกดีกับมิคทั้งๆที่ฉันชอบเพื่อนมิคอยู่เนี่ยนะ ฉันทำไม่ได้หรอก อีกอย่างฉันแค่รู้สึกดีกับมิคแค่ตอนที่มิคบอกว่ามิคเฝ้ามองฉันทุกอย่าง แล้วก็รวมถึงตอนที่มิคจูงฉันข้ามถนน ฉันรู้สึกดีกับมิคแค่นั้นจริงๆ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคนอื่นๆจะเลือกตัดสินใจกับความสัมพันธ์แบบนี้ยังไง แต่ฉันชอบเพื่อนของมิค ฉันไม่ได้ชอบมิค การที่เราจะมีความรู้สึกดีให้ใครสักคนมันไม่ใช่แค่ความดีที่ใครคนนั้นทำ มันอยู่ที่ความสบายใจของเราด้วย ถ้าสมมติว่าฉันบอกมิคไปว่าฉันก็ชอบเขาอยู่เหมือนกัน เราสองคนอาจจะได้คบกัน 

    ....มิคอาจจะมีความสุขที่ได้คบกับคนที่เขาแอบชอบ แต่ฉันล่ะ ฉันจะมีความสุขเหรอกับการที่ต้องโกหกความรู้สึกตัวเอง ถึงแม้มันอาจจะทำให้ฉันมีคนมาช่วยดูแลตัวเองเพิ่มอีกหนึ่งคน แต่ฉันบอกไม่ได้ว่าความดีของมิคจะทำให้ฉันใจอ่อนรักมิคหรือไม่ ถึงเวลาต้องให้คำตอบมิคแล้ว ฉันตอบมิคไปว่าขอคุยกันไปก่อนเรื่อยๆได้ไหม ตอนนี้ฉันยังไม่รู้ว่าฉันรู้สึกแค่ไหน วันไหนฉันพร้อม ฉันจะบอกเอง ห้าเดือนผ่านไป มิคทำหน้าที่ดูแลฉันได้อย่างไม่มีบกพร่องมาตลอด ที่ทำงานของเราใช้เวลาเดินทางห่างกันประมาณ 40 นาที ตอนเช้าฉันจะนั่งรถเมล์ไปเอง แต่ตอนเย็นมิคขออาสามารับฉัน วันนั้นฉันตัดสินใจจะบอกมิคว่าฉันรู้สึกดีและเริ่มหลงรักในตัวมิค มิคทำให้ฉันมีความสุขมาตลอด เราเดินเข้าไปนั่งในร้านอาหารแห่งหนึ่ง กับข้าววางอยู่บนโต๊ะหกอย่างกับข้าวต้มสองถ้วย แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆของสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะเลย ฉันกับมิคต่างนั่งนิ่ง ได้แต่สบตากันไปมา มิคพูดขึ้นมาว่ายิ่งเวลาผ่านไปมิคยิ่งรักฉันมากขึ้นทุกวัน ฉันกำลังจะพูดว่าฉันก็รู้สึกแบบเดียวกับมิค แต่มีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ฉันพูดออกไปไม่ได้

     ...ผู้ชายที่ฉันแอบชอบสมัยมหาวิทยาลัยเดินมาตบไหล่มิคแล้วขอนั่งกินข้าวด้วย เขามากับเพื่อนอีกหนึ่งคน ตายๆๆ ฉันต้องทำยังไง ฉันควรพูดในสิ่งที่ฉันกำลังจะพูดออกไปมั้ย แต่ตอนนั้นฉันยังไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมไปจากประโยคของมิค บทสนทนาของพวกเขาสามคนดำเนินไประยะหนึ่ง มิคก็ถามเขาว่าตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็ยังไม่เห็นเขาเดินควงสาวที่ไหนเลยนะ แล้วตอนนี้ล่ะ มีหรือยัง เขาเงียบ มองหน้าฉัน แล้วตอบมิคไปว่า “ก็รอคนมาบอกรักนี่แหละ” ฉันรู้สึกว่าตัวร้อนผ่าว ฉันรู้ว่ามิคก็รู้ว่าเขาหมายถึงฉัน มิคเปลี่ยนเรื่องคุยกับเขาทันที พอกินข้าวเสร็จ ก่อนจะกลับ ฉันก็ขอตัวไปรอที่รถก่อน ปล่อยให้ลูกผู้ชายเขาร่ำลากันหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนาน สักพักมิคก็เดินมาที่รถ แล้วขับพาฉันไปที่ไหนก็ไม่รู้ซึ่งมันไม่คุ้นกับทางที่มิคขับไปส่งฉันทุกวัน แต่ฉันก็ไม่ได้ถาม แล้วมิคก็ไม่ได้พูดอะไร พอขึ้นรถมามิคก็ขับตรงไปยังผับแห่งหนึ่ง ฉันถามเขาว่าพาฉันมาที่นี่ทำไม ฉันไม่ดื่ม มิคก็รู้ มิคบอกว่าวันนี้เขาเจอเพื่อน เขาขอพาฉันมาอยู่เป็นเพื่อนเขาหน่อยนะ คือมิคกับเพื่อนอีกสองคนมาต่อกันที่ผับแห่งนี้ เรานั่งที่โซฟาตัวเล็กๆหันหน้าเข้าหากัน ฉันนั่งตรงข้ามกับผู้ชายคนที่ฉันแอบชอบ มิคนั่งข้างๆฉัน ระหว่างที่มิคกับเพื่อนดื่มเขาก็คุยสัพเพเหระตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันมาหลายเดือน เรานั่งอยู่ที่นี่เกือบสามชั่วโมง มิคเมามากจนยืนไม่อยู่ แล้วมิคก็ล้มตัวลงมานอนที่ตักฉัน ตอนนั้นฉันอยากจะผลักหัวมิคออกจากตักของฉันมาก ฉันกลัวเขาเข้าใจผิดว่าฉันเป็นอะไรกับมิค แต่จริงๆแล้วเรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน เขาจับมือของฉันให้ลุกออกไปนอกร้านโดยที่ไม่สนใจว่าหัวของมิคจะเป็นอย่างไร แล้วฝากให้เพื่อนอีกคนดูแลมิคไว้ “ยังชอบอยู่ป่ะ” เขาเอ่ยขึ้นหลังจากที่เขาจับมือแล้วลากฉันมาหยุดอยู่ที่หน้าร้าน “ถ้ายังชอบแล้วจะชอบด้วยป่ะล่ะ” ฉันสวนกลับไป เราหันมายิ้มให้กันแล้วแลกเบอร์โทรกัน ปล่อยให้มิคนอนไม่รู้อะไรอยู่ในร้าน คืนวันนั้น เขาขับรถมาส่งฉัน มิค และเพื่อนอีกคนหนึ่งที่บ้าน ฉันคิดว่าฉันมีคำตอบจะให้มิคแล้วล่ะ ฉันถามเขาว่าเขาคิดยังไงกับฉัน แล้วเขารู้ตอนไหนว่าฉันชอบเขา แล้วเวลาที่ผ่านมาเขาหายไปไหน แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าฉันกินข้าวที่ไหนในคืนนั้น เขามองฉันแล้วยิ้ม เขาบอกว่าฉันชอบแอบมองเขาบ่อยๆที่ห้องฟิตเนส เขาพยายามจะสบตาแต่ฉันก็หลบตาเขาทุกครั้ง แล้ววันที่ฉันถือช่อดอกไม้จะไปให้เขาวันรับปริญญามิคก็บอกเขาว่าฉันเอาดอกไม้มาให้เขา แต่คิดว่าหาไม่เจอก็เลยไม่ได้ให้ มิคบอกกับเขาว่าถ้าเขาไม่ชอบฉัน งั้นมิคขอดูแลฉันแล้วกันนะ เขาพูดไม่ออกแต่เขาก็กลับไปคิดทบทวนตัวเองอยู่หลายเดือนว่าเขาควรจะมาบอกกับฉันในวันนี้ว่าที่ผ่านมาเขาก็แอบเห็นรอยยิ้มของฉันเหมือนกันนะ เวลาเขาเห็นฉันออกกำลังกายแล้วทำหน้าเหนื่อยเขาจะชอบหัวเราะ ฉันตัดสินใจบอกมิคไปว่าฉันแค่รู้สึกดีกับมิค ให้เราเป็นแค่เพื่อนกันก็พอ มิคหายไปร่วมสองเดือน ระหว่างนั้นฉันก็คุยกับเขามาตลอด เขาไม่ได้มารับฉันที่ทำงานทุกวันเหมือนที่มิคทำ แต่เราคุยกันทุกวัน ทุกวันเสาร์อาทิตย์เขาจะพาฉันไปนั่งทานมื้อเย็น ฉันบอกไม่ถูกว่ามันมีความสุขแค่ไหน ฉันไม่เคยคิดว่าฉันจะได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้ สี่ปีที่ฉันแอบมองเขามาตลอด แอบมองรอยยิ้มของเขา แอบมองเขาตักข้าวเข้าปาก แอบมองเขาวิ่ง แต่วันนี้ฉันไม่ต้องแอบมองแล้ว ฉันได้มองตราบเท่าที่ฉันอยากมองเลย

     
    ความสมหวังในท้ายเรื่องไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพียงแค่ฉันอยากให้มันจบแบบนี้ก็เท่านั้น.
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in