เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I Could Be AnythingMaya Jett
Unsent Letters: คุยกับตัวเองผ่านจดหมายที่เขียนถึงเธอ
  • Unsent Letters

    คุยกับตัวเองผ่านจดหมายที่เขียนถึงเธอ 


    Photo by: @mayajett


    ตั้งแต่ปี 2020 จนถึงปัจจุบัน เราเขียนจดหมายให้คนๆ นึงมาเกือบ 20 ฉบับ ในนั้นเล่าเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับตัวเราเองและสิ่งที่เราเจอตลอดช่วงที่ผ่านมา จดหมายเหล่านั้นเขียนด้วยความรู้สึกจริงๆ ณ ตอนนั้น ที่อยากเก็บเอาไว้ให้เค้าได้อ่าน เพียงแต่ว่ายังไม่มีโอกาสจะส่งไปให้เท่านั้นเอง… เมื่อเช้าระหว่างทำงาน เราฟัง podcast ของไทยเรื่องนึง ที่พูดถึง “การเข้าใจตัวเองผ่านจดหมายที่เขียนไว้แต่ไม่ได้ส่ง” ซึ่งหัวข้อนี้ทำให้เราประหลาดใจมากๆ เพราะมันตรงกับสิ่งที่เราเคยทำ และเราก็รู้สึกตัวมาตลอดว่าการเขียนจดหมายถึงใครสักคน แม้จะส่งหรือไม่ได้ส่งก็ตาม มันเหมือนเป็นการคุยกับตัวเองในอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน


    เป็นเวลาหนึ่งปีมาแล้วที่เรามักใช้เวลาว่างๆ เขียนจดหมายหาคนๆ หนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้ชีวิตและหัวใจของเราตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างยากลำบากในหลายๆ แง่ ด้วยความที่ทั่วโลกต้องตกอยู่ในช่วง pandemic จึงทำให้ชีวิตของเราหลายๆ คนเปลี่ยนไปในแบบที่ต้องหาที่พึ่งทางใจเพิ่มเยอะหน่อย 


    คนๆ นี้ที่เราเฝ้าเขียนจดหมายให้นั้น เป็นบุคคลมีชื่อเสียงของประเทศที่เราเคยไปเที่ยว แต่ครั้งนั้นที่ไปประเทศของเธอเรายังไม่รู้จักชื่อเธอด้วยซ้ำ พอเวลาผ่านไป ด้วยพลังและเวทมนต์ของความรักความชื่นชมใครสักคนนั้นทำให้เราได้มีโอกาสติดต่อกับเธอเล็กๆ น้อยๆ และติดตามกันผ่าน instagram เรามีการตอบสตอรี่กันบ้างเล็กน้อย กดไลก์รูปกัน แต่ไม่บ่อยนัก เพราะเธอเป็นถึงขั้นนักร้องที่มีชื่อเสียงที่วันๆ นึงน่าจะมีข้อความเข้ามาหานับร้อย และด้วยความที่ติดต่อกันแค่โซเชียลมีเดีย ยังไม่เคยเจอตัวกันจริงๆ เราเองเป็นคนที่อินกับอะไรที่จับต้องได้อยู่แล้ว ประกอบกับเธอคนนี้ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยและอยากจะคุยด้วยในทุกๆ เรื่อง ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน อาจจะเพราะหลายๆ อย่างที่เธอเป็นมันเหมือนกับเรามองเห็นตัวเองในตัวเธอ ด้วยเหตุนั้นการเขียนจดหมายถึงเธอเลยเริ่มต้นขึ้น ทั้งๆ ที่เรายังไม่รู้เลยว่าจะส่งไปหาเธอได้ที่ไหน และเมื่อไหร่ รู้เพียงแต่ว่าสักวันจดหมายเหล่านี้จะไปอยู่ในมือเธอแน่นอน


    จดหมายฉบับแรกที่เราเขียนให้เธอนั้นเป็นช่วงเดือนกรกฏาคมของปี 2020 ช่วงนั้นเป็นหน้าร้อนของสวีเดน ที่ทุกอย่างเต็มไปด้วยสีเขียว ธรรมชาติที่สวยงาม เรามีโอกาสไปเยี่ยมบ้านต่างจังหวัดรุ่นพี่ที่รู้จัก ได้ไปนอนอยู่ริมป่า ในบ้านไม้หลังเล็กๆ ตกดึกคืนนั้นเราเปิดเพลงเพลย์ลิสต์ฟังสบายๆ และเริ่มเขียนข้อความบางอย่างลงไปบนสมุดที่หยิบติดมาจากบ้าน 


    Dear Luna, 

    ถึง ลูน่า


    แค่เขียนประโยคแรกก็รู้สึกอบอุ่นใจ ราวกับว่าเราได้เรียกชื่อเธอออกมาจริงๆ จากนั้นเราก็เล่าเรื่องราวที่เจอว่าเรามาทำอะไร หน้าร้อนที่สวีเดนสวยงามแค่ไหน และไม่ลืมที่จะเขียนว่าถ้าเธอได้มาเที่ยวที่นี่ เธอจะต้องหลงรักต้นไม้ ป่าเขา สัตว์ป่าต่างๆ แน่ๆ ระหว่างที่เขียนจดหมายไปก็รู้สึกมีความสุขเหมือนได้คุยกับเธอจริงๆ มันเป็นความรู้สึกที่พิเศษเหมือนกันนะ มันไม่เหมือนกับเวลาเราพิมพ์ข้อความลงใน notes ของสมาร์ทโฟน หรือส่งข้อความทางออนไลน์ แต่การเขียนด้วยมือ ด้วยความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาลงบนตัวอักษรที่มีน้ำหนัก อาจจะวาดรูป ระบายสีเพิ่มเติมไปหน่อย บวกกับการฉีกกระดาษออกมาจากเล่มแบบไม่เป๊ะก็เป็นเสน่ห์อีกแบบดี และนั่นแหละ คือจดหมายฉบับแรกที่เขียนให้เธอ


    ภาพประกอบ บรรยากาศช่วงชีวิตฤดู Autumn, 2020


    เวลาผ่านไปเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เราเขียนจดหมายหาเธอเพิ่มขึ้นหลายฉบับ จากฉบับแรกเป็นสองฉบับ จากสองเป็นสาม สี่ ห้า.. จนกระทั่งเรามารู้สึกตัวอีกทีก็ปาไปเกือบสิบฉบับแล้ว ช่วงนั้นเรารู้สึกว่าการเขียนจดหมายหาเธอคือการคุยกับเธอแบบ “ทิพย์ๆ” ที่ทำให้จิตใจเบ่งบานขึ้นภายใต้สถานการณ์โควิดและหลังเรียนจบ ป.โท ที่หางานยากมากๆ การคุยทิพย์นี้เลยเป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่ทำให้จิตใจยังโอเคอยู่ ถ้าไม่นับกับการเจอเพื่อนและคุยกับครอบครัวที่เมืองไทย แต่พอเวลาผ่านไปนานเข้า เราเริ่มมาสังเกตตัวเองว่า ช่วงไหนที่เรามีความสุขดี เราจะไม่เขียนจดหมายถึงเธอเลย และช่วงไหนที่เรารู้สึกแย่ เศร้า หรือหดหู่ ช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่เราเริ่มหากระดาษออกมานั่งเขียนจดหมายหาเธออีกครั้ง 


    เมื่อสังเกตตัวเองได้ดังนั้น เราก็เลยเข้าใจตัวเองเพิ่มขึ้นว่า.. ทุกครั้งที่เขียนจดหมายถึงเธอ ระหว่างที่เขียนนั้นเหมือนกับการทบทวนตัวเอง ว่าเราเจออะไรมาบ้างในวันนั้นหรือช่วงเวลานั้นๆ บางครั้งมีเรื่องดีๆ เราก็เล่าลงไป บางครั้งเจออะไรที่ไม่ดี หรือจิตใจอ่อนแอ ก็เล่าให้เธอฟังเช่นกัน เราเล่าเกือบทุกเรื่องจนรู้สึกหวั่นใจว่าถ้าวันนึงเธอได้อ่านจดหมายพวกนี้จริงๆ มันจะดีเหรอ เธอจะรู้สึกยังไง เพราะในเมื่อเราพูดถึงแต่ตัวเองและเรื่องที่เราเจอ และ 90% ของเนื้อความในจดหมายมันเหมือนเป็นการระบายความรู้สึกออกมาทั้งหมด ถึงแม้ว่าจะยังอยู่ภายใต้ธีมของความมองโลกในแง่ดีก็ตาม 


    ........


    ถึง ลูน่า…

    วันนี้ไปเดินเล่นกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน เพื่อนคนนี้เป็นหนึ่งในคนที่ฉันรู้สึกเหมือน ‘ครอบครัว’ ด้วย พออยู่ห่างบ้านแบบนี้ มีเพื่อนแบบนี้ไว้ก็ดีต่อใจเหมือนกันนะ


    ถึง ลูน่า..

    วันนี้ฉันฟังเพลงของนักร้องคนโปรดคนนึง เธอคนนี้มีประวัติที่น่าเศร้าแต่เรื่องราวชีวิตของเธอเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนในประเทศสวีเดนเลย ฉันรู้สึกว่าเธอคนนี้มีพลังบวก และมักจะมอบความรู้สึกดีๆ ให้คนฟังตลอดเลย เหมือนเธอเลยลูน่า อยากให้เธอสองคนเป็นเพื่อนกันจัง


    ถึง ลูน่า…

    วันนี้เพื่อนสนิทฉันถามว่า ‘ถ้าได้เจอกับลูน่า อยากจะพูดอะไรกับลูน่าเป็นคำแรก’ ฉันตอบไม่ถูกเลย แต่สิ่งแรกที่คิดขึ้นมาในหัวก็คือคำถามว่า ‘เธอจำฉันได้รึเปล่า?’


    ถึง ลูน่า…

    หน้าหนาวมาถึงแล้ว แปลกดีนะที่หลังจากเห็นใบไม้เป็นสีเขียวในช่วงหน้าร้อน และใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีส้ม แดง เหลืองในเดือนถัดมา พอตอนนี้ใบไม้ร่วงหล่นหมดเหลือแต่สีเทาๆ กับความหนาวเย็น ไม่ชอบหน้าหนาวเลยแฮะ แล้วเธอล่ะคิดยังไงกับหน้าหนาว หวังว่าเธอคงมีความสุขดีนะ :)


    ........


    จดหมาย(ที่ยังไม่ได้ส่ง)ถึงลูน่า


    การเขียนจดหมายถึงเธอเหมือนเป็นทั้งการคุยกับตัวเอง และจินตนาการว่าได้นั่งคุยกับลูน่าที่คอยนั่งฟังด้วยสายตาอันอบอุ่น มีแต่รอยยิ้มที่ทำให้เรารู้สึกว่าบนโลกนี้ไม่มีอะไรแย่ไปซะทีเดียว 


    ช่วงนี้เราไม่ได้เขียนจดหมายหาเธอมานานมากแล้ว ครั้งล่าสุดที่เขียนน่าจะเป็นช่วงต้นๆ ปี หลังจากนั้นอาจมีเขียนข้อความเล็กๆ น้อยๆ ลงในสมุดบันทึกสักเล่มเป็นบางครั้ง เป็นแค่ข้อความสั้นๆ เตือนใจเล็กน้อยแค่ว่า ‘วันนี้ยังรักลูน่าเหมือนเดิมเลย :)’ หรือไม่ก็ ‘ดีใจจังที่ลูน่ายังเป็นแรงบันดาลใจให้’ เราคิดว่า

    นอกจากการที่มีใครสักคนคอยเป็นแรงใจให้ในชีวิตและทำให้ใจพองโตเวลาได้คิดถึงเค้าแล้ว การที่เราหมั่นคอยเช็คจิตใจตัวเองก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน 


    ตัวเราเองไม่ค่อยมีปัญหาหดหู่หรือเศร้าอะไรเบอร์แรงขนาดนั้น แต่เมื่อไหร่ที่ชีวิตอยู่ในช่วงหมดแรงใจ เศร้า เหงา หรือเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่ดีต่อใจมา เราจะมีวิธีการรักษาใจตัวเอง (ที่นอกเหนือจากการโทรหาพ่อแม่ หรือปรึกษาเพื่อนๆ) คือการฟัง playlist โปรดที่รวมเพลงของเธออยู่ในนั้น เพราะการได้ฟังเสียงของเธอ ความหมายของเพลงที่เธอเขียน คลอไปกับดนตรีที่แสนไพเราะนั้นเหมือนกับมีเธอมานั่งอยู่ข้างๆ แล้วบอกเราให้พักก่อนที่จะฮึดสู้ต่อไป ไม่ว่าจะกับเรื่องอะไรก็ตาม และถ้ายังไม่หายดีค่อยหยิบกระดาษขึ้นมาเขียนถึงเธออีกครั้ง…


    ขอปิดท้ายด้วยเพลงโปรดจากเพลย์ลิสต์ที่ังแล้วคิดถึงเธออยู่เสมอ :)

    [Fun fact: Lawina ภาษาโปแลนด์ แปลว่า หิมะถล่ม]





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in