รัตติกาลกลืนม่านเมฆา
ดาษดาราพรายพร่างพราวระยับ
สรรพสิ่งล้วนสุกสกาวสดใสในวันวิวาห์ มิว่าสีสันของเสื้อผ้า สีหน้า หรืออารมณ์ความรู้สึกของผู้คน ละอองความปลื้มปิติลอยละล่องจวญจรุงฟุ้งไปในบรรยากาศ ระเรื่อยเอื่อยระเริงเล่นกับท่วงทำนองชวนครื้นเครงจากเครื่องสาย ดนตรีเริ่มเร่งเร้าเชื้อเชิญให้เริงระบำ หากโสตประสาทบางคู่กลับเงียบสงัด
แลแม้นผู้คนมากมายจักคลาคล่ำ
สองวิญญาณก็หากันจนเจอ
โถมร่างสวมกอด, ผละจาก
ดวงเนตรสองคู่สบพลัน
ทุกความทรงจำหมุนย้อนกลับมาให้สัมผัส
หนึ่งแย้มยิ้มพริ้มเพรา
อีกหนึ่งเล่า...หลั่งน้ำตา
‘เพลานั้น เราจะได้พบกัน...’
ผิว่าต้องร่ำไห้ใต้หมื่นแสงจันทร์
ผิว่าต้องพรากจากกันนับพันราตรี
‘...หนึ่งพันราตรี’
.
.
ค่ำคืนคืบคลานเข้าปกคลุมพระราชวัง
ความงุ่นง่านรำคาญจิตเริ่มทอดเงาตระหง่านเหนือโต๊ะเสวยพระกระยาหารค่ำมื้อสำคัญในเสด็จพระองค์หญิงทรงละพระหัตถ์จากช้อนเงินดึงผ้าไหมแก้วขึ้นคลุมซีกพระพักตร์ล่างตามเดิมพยายามมิถอนหายพระทัยใต้นั้นแลปรับสุรเสียงมิให้ผู้ฟังระคายหูจนเกินไป
“เจ้าชาย...ทรงมิสำราญหรือหม่อมฉันเห็นว่าทรงหาได้แตะซุปไม่...”
“...”
เจ้าหญิงเม้มปาก “เลนทิลนี่อร่อยนะเพคะหรือว่าทรงแพ้ถั่ว? หรือ...พระองค์ไม่โปรดที่มีแต่ผักแลธัญพืช ตายจริง! ขอประทานอภัยด้วยเพคะ พ่อครัวคงปรุงมาแต่จานโปรดของหม่อมฉันมิได้รังสรรค์จานเนื้อมาเพื่อเจ้าชายบ้างเลย แย่จริงๆ หม่อมฉันจะให้นางกำนัลรี่ไปบอกในครัวให้เดี๋ยวนี้... นาซีม!”
เจ้าของนามขานรับ
ปราดมาจากหน้าประตู
“ว่ากระไรเพคะ”
นางฉีกยิ้มสู้นัยน์เนตรโตหวานซึ่งกำลังส่งกระแสสายตาดุๆพ้นผ้าคลุมหน้าออกมา
“มื้อนี้พ่อครัวคนไหนจัดอาหารให้เรา มิได้นึกถึงเจ้าชายอาลีเลยหรือไร...”
“อ...เอ่อ...”
นาซีมหลบสายตาเจ้าหญิง
หันไปมองเจ้าชายร่างเล็ก
เล็ก...ชนิดที่สูงประมาณไม่เกินข้อศอก
สองพระหัตถ์ทำจากไม้กำรอบช้อนโลหะ
มีเพียงพระศอแลพระพักตร์พ้นขอบชามซุป
ริมฝีปากขีดด้วยสีไม่มีช่องลิ้มรสชาติด้วยซ้ำ
“นาซีม!”
“เพคะ!” เผลอสะดุ้งเบาๆ “หม่อมฉันจะรีบไปบอกในครัวให้เดี๋ยวนี้เลยเพคะ รอเดี๋ยวเดียวเจ้าค่ะ”
สองขาเรียวสับกันลนลานไปเปิดประตู
“อุ้ย!”
สะดุ้งรอบสอง เพราะใบหน้าที่เจอกะทันหัน
“ไม่ตกใจเลยเจ้าค่ะ...ไม่เลย”
มือนางลูบอกปลอบตนเองยกใหญ่
คนมายืนจ่ออยู่ใกล้เกินไปอมยิ้ม
“ข้าผิดเองขอโทษที”
“หลบหน่อยค่ะท่าน ข้ามีเรื่องด่วนต้องไปจัดการให้เจ้าหญิง”
“จัดพระกระยาหารให้เจ้าชายน้อยใหม่? ไม่ต้องหรอกนาซีม ยังไม่เข็ดกับการถูกเจ้าหญิงแกล้งปั่นหัวเล่นอีกหรือ...”
นางกลอกตา“รู้ค่ะแต่ไม่เล่นตามน้ำได้ด้วยหรือเจ้าคะท่านวิลลาร์ด”
“นาซีมทำไมยังไม่ไปอีก!”
นาซีมสะดุ้งรอบที่สาม
ภายในไม่ถึงสิบนาที
“ไปเดี๋ยวนี้เพคะ!”
คนที่ประตูยังขวางเธอไว้
ส่ายหน้ายืนยันว่าไม่ต้องไป
“ใครขวางเจ้าไว้เราจะสั่งตัดหัว...”
วิลลาร์ดแสร้งทำตาโตสะพรึงใส่นาซีม
ค่อยๆ แทรกตัวเข้ามาในห้องส่วนพระองค์
แต่หยุดยืนเมื่อขยับขาเดินไปไม่เกินสองก้าว
แม้นเป็นถึงพระพี่เลี้ยงคนสนิทแต่ก็เป็นบุรุษ
จึ่งมิอาจ, แลมิเคยรุดเข้าไปได้ไกลกว่านี้
เพราะทรงเติบใหญ่ มิใช่เด็กน้อยอีกต่อไป จักใช้เพลาสองต่อสองด้วยกันในห้องส่วนพระองค์เฉกเช่นเมื่อก่อนตอนยังทรงมิรู้เดียงสาหาได้ไม่ นั่นคือสาเหตุของกฎสองก้าวที่เขาตั้งขึ้นเองในใจ แลเป็นสาเหตุเดียวกับที่นาซีมยังต้องยืนอยู่ด้วยกันตรงนี้
“หากเจ้าชายอาลีทรงเอาพระทัยยากนัก ให้กระหม่อมกราบบังคมทูลเชิญพระองค์ท่าน’เด็จออกจากอาบับวาเสียวันพรุ่งเลยดีไหมพ่ะย่ะค่ะ เจ้าหญิงมีนา”
ผ้าคลุมไหมแก้วสั่นน้อยๆ, หากผู้ใดจักเห็นว่าทรงแย้มพระสรวลอยู่ใต้นั้น...ย่อมไม่มี
“จะไล่แขกของเราแล้วหรือ”
“ก็ถ้าทรงไม่พอพระทัย...”
“คนนี้ไม่ได้เราหว— ห้าม”
แววพระเนตรของตุ๊กตาเจ้าชายในฉลองพระองค์สีงาช้าง...พร่างพราวด้วยประกายสะท้อนจากแสงแห่งดวงดาราที่ตกกระทบถ้วยโถโอชามบนโต๊ะเสวย เจ้าชายไม้เนื้อแข็งๆ ตัวเย็นชืดมิได้มีมูลค่าราคาหรือสลักเสลาโดยช่างยอดฝีมือจากแดนไกลเหมือนอย่างตุ๊กตาอื่นที่เจ้าหญิงทรงผลัดเปลี่ยนเวียนเล่น หากสำคัญนัก...เพราะคนมอบให้
‘เราต้องอยากได้ตุ๊กตาลิงไปทำไมอะ’
‘เช่นนั้น...ทรงปรารถนาสิ่งใดรับสั่งมาได้เลยกระหม่อม’
‘อะไรก็ได้หรือ’
‘กระหม่อม’
‘ทำเจ้าชายให้เราได้ไหม’
‘กระหม่อมมิใช่ช่างมีฝีมือแต่จะพยายามเต็มที่แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ’
เพราะคนบางคนตั้งใจทำให้, นานมาแล้ว
“ได้เพลาเข้าบรรทมแล้วกระหม่อม ราตรีสวัสดิ์”
นาซีมได้ฤกษ์ทำหน้าที่สุดท้ายก่อนเข้านอน เบามือกับการแกะพระหัตถ์เจ้าชายอาลีออกจากช้อนอย่างรู้งาน และยกถาดอาหารไปเก็บ โดยมีวิลลาร์ดตามหลัง จังหวะงับประตูปิดของมือใหญ่เนิบช้า...
พอให้แสงจันทราสาดลอดเป็นคราสุดท้าย
พอให้พระพายโชยพัดเสียงกระซิบรำพัน
เพียงผะแผ่วแว่วผ่านหู
หากซึมลึกสู่หัวใจ
“ราตรีสวัสดิ์...วิลลี่”
.
.
‘อย่างไรเราก็ไม่’เษกสมรสกับเจ้าชายที่ไหนอยู่แล้วจะต้องไปร่วมโต๊ะเสวยทำไม’
‘เป็นรับสั่งขององค์สุลต่านกระหม่อม...’
‘อะไรๆก็คำสั่งพ่อ...วิลลี่ไปนั่งเป็นเพื่อนเราหน่อยเราไม่อยากไปนั่งเปื่อยคนเดียวอ้ะ’
‘ไม่เหมาะกระหม่อม’
‘เราจ้าง’
‘จ้างด้วยอะไรหรือกระหม่อม’
‘เราจะเป็นเด็กดีไม่ซนวันนึง’
‘เช่นนั้นกระหม่อมคงไม่ต้องไปเพราะทรงทำไม่ได้แน่นอน’
‘วิลลี่!’
‘ฝ่าบาท’
.
.
“...บาท...ฝ่าบาท”
สุรเสียงไม่คุ้นเคยกระตุกเจ้าหญิงมีนาออกจากภวังค์ ฟองภาพอดีตเมื่อหลายปีก่อนแตกสลายหายไปในบัดดล หลงเหลือแต่เพียงภาพปัจจุบันของเจ้าชายต่างเมืองตรงหน้า
องค์ที่มิรู้เท่าใด...จากองค์แรกในครานั้น
“...ทรงมิสำราญหรือ มิเห็นเสวยหรือตรัสสิ่งใดเลย”
เจ้าชาย...นามว่ากระไรนะ?
จ้องหน้าอยู่ได้
องค์สุลต่านกระแอม “เรื่องปกติน่ะ ไม่ได้เบื่ออาหารหรือเบื่อท่านหรอก แค่มีนาเป็นเด็กไม่ค่อยพูด...”
นาซีมเกือบหัวหลุดจากบ่าหากกลั้นขำมิทัน
เจ้าหญิงพูดน้อยทรงถลึงเนตรใส่นางเงียบๆ
แม้นในยามดุ...เจ้าชายยังละสายตาไม่ได้
แม้นเจ้าชายจากดินแดนใกล้ไกลใดใดจักได้ยลเพียงดวงเนตรคู่นั้น ต่างกลับไปด้วยอาการตกหลุมรักพระเนตรกลมโตราวจันทราเต็มดวงแสนหวาน ซึ่งแม้มักทอดมองอย่างเย็นชา...ก็ยังตรึงตราตรึงใจมิรู้ลืม
เพียงเสียงเลื่องลือเล่าอ้างถึงดวงตาเท่านั้น ก็ดึงดูดเจ้าชายจากทุกสารทิศมาเยือนได้พร้อมของขวัญปัณณาการมากมาย ซึ่งนานวันยิ่งมิทำให้เจ้าหญิงทรงรู้สึกอันใด...
นอกจากตนถูกหลอกใช้โดยพระบิดา
เป็นนกน้อยในกรงทองให้ชายเชยชม
เป็นตุ๊กตาหน้าชื่นอกตรมให้ยลโฉมไปวันๆ
“ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากสุดปลายโถงห้องเสวย
เสียงทุ้มต่ำอันคุ้นเคยที่เจ้าหญิงรอคอย
“วิลลาร์ด มีอะไรรึ”
“ได้เพลาเจ้าหญิงมีนาทรงศึกษาดนตรีต่อแล้วกระหม่อม”
“ทรงเล่นเครื่องดนตรีอะไรหรือ” เจ้าชายยังทรงพยายาม...
“อูด...กระหม่อม” วิลลาร์ดตัดบท
เจ้าหญิงรีบลุกขึ้นถอนสายบัวให้ทั้งสองพระองค์อย่างลวกๆ แล้วเสด็จตามพระพี่เลี้ยงออกไปในทันใด แม้นรีบร้อนสักเพียงไหน ร่างเล็กแบบบางของพระองค์ก็ยังคงความสง่างามไว้ให้ราชองครักษ์รายทางได้ชื่นชม
ก่อนกระโดดเข้าใส่แผ่นหลังสูงตระหง่าน
ยามเมื่อพ้นทาง...ไร้สายตาคู่ใดจับจ้อง
“เจ้าหญิง!”
พระพี่เลี้ยงอุทานกึ่งดุ
“มาช่วยชีวิตเราได้ทันเวลาพอดีเลย! เกือบตายแล้ว”
แต่คนซนเป็นลิงน่ะสนใจฟังเสียเมื่อไร...
“ทรงตรัสเกินไปหรือเปล่าตายเตยอะไรกัน”
“ตายจริงๆ! เบื่อตาย...อึดอัดตาย...เราจะบ้าเคยนั่งเป็นตุ๊กตาไม่มีชีวิตเป็นหลายชั่วยามรึป่ะ ไม่เคยก็อย่ามาหาว่าเราพูดเกินจริง”
“ยังไม่ชินอีกหรือกระหม่อม แล้วก็ลงไปเสียทีเถอะพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า มันไม่งาม”
น้ำเสียงจริงจังทำให้ทรงยอมอย่างว่าง่าย ไต่ลงมาจากแผ่นหลังกว้างใหญ่ใต้ชุดผ้าแพรเนื้อลื่นสีมหาสมุทร ก่อนขยับพระหัตถ์น้อยปลดผ้าคลุมหน้าออกจากข้างพระปราง...
หมับ!
มือใหญ่คว้าข้อแขนบางเอาไว้ได้ทันการ
“...”
มือเล็กชะงักปล่อยปลายผ้าที่ตั้งใจจะปลด
วิลลาร์ดปล่อยมือจากพระพาหาเพื่อคว้ามุมผ้าคลุมหน้าเอาไว้แทน รั้งมันกลับขึ้นไปปิดบังพระพักตร์ของเจ้าหญิงดังเดิม
“เผลอไม่ได้นะกระหม่อม...”
พระพักตร์ต้องห้าม
ผู้ใดจักยลมิได้เลย
“เราหายใจไม่ออกนี่...” ทรงบ่นพึมพำใต้ผ้าคลุมไหมทอมือแสนสวย แต่ไม่สะดวกสบายทางเดินอากาศ
“ถ้าเช่นนั้น...”
ยื่นมือมาใกล้ปลายพระนาสิกโด่ง
จรดนิ้วโป้งแลนิ้วชี้ลงไปจับปลายผ้าส่วนล่าง
พระขนงโก่งสวยดุจคันศรขมวดฉงน
จ้องคนเพิ่งห้ามพระองค์เปิดผ้างงๆ
ก็ไหนว่า...?
“วิลลี่!!!”
พระพี่เลี้ยงมิได้ช่วยปลดผ้าคลุมออก
แต่ดึงผ้าขึ้นไปบังพระเนตรพระองค์แทน
พระหัตถ์น้อยรัวตีมือเขาเสียยกใหญ่
วิลลาร์ดระเบิดหัวเราะ
“แบบนี้จะได้หายใจสะดวกไงกระหม่อม”
“ยัง...ยังไม่หยุดตลกอีก! เราจะสั่งตัดมือเจ้าแง...”
“หยุดแล้วๆกระหม่อมหยุด...”
คนตัวโตกลั้นขำจนไหล่สั่น
ก่อนกลับเข้าสภาวะจริงจัง
บรรจงจัดผ้าคลุมหน้าให้เจ้าหญิงตามเดิม
“...”
ราวกับผ้าคลุมลอยเข้าที่ทางของมันได้เอง
มือใหญ่ๆ คู่นั้นจับผ้าได้เบาเสียจนไม่น่าเชื่อ
“ขอบใจนะ...”
พระพี่เลี้ยงยิ้มรับ
แม้ไม่รู้...ตนคู่ควรกับคำนั้นหรือเปล่า
เพราะบางครั้ง...ไม่แน่ใจตัวเองนัก
ว่าต้องปกป้องเจ้าหญิงมีนาตามหน้าที่
หรือแท้จริง...เขาเป็นเพียงคนเห็นแก่ตัว
อยากเก็บรอยยิ้มนั้นไว้,
...เป็นของตนแค่คนเดียว
.
.
‘ไม่เห็นยุติธรรม ทำไมเราต้องเรียนเย็บปักถักร้อย นางกำนัลก็ตัดชุดให้เราอยู่แล้ว’
‘จะได้ทรงเป็นผู้มีความละเอียดอ่อนประณีตบรรจงกับทุกสิ่งอย่างไรกระหม่อม’
‘ทำไมต้องเรียนจัดดอกไม้’
‘จะได้ทรงมีความอดทน รักธรรมชาติ...’
‘ทำไมเราต้องเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง เก็บหน้าไว้ใต้ผ้าคลุม เก็บเสียงไว้ในลำคอทั้งที่หลายครั้งเรามีอะไรอยากพูดตั้งมากมาย...’
‘ฝ่าบาท...’
‘ทำไม...เราต้องเป็นเจ้าหญิงด้วยล่ะ วิลลี่’
.
.
รัตติกรอ่อนแรงล้า...ราตรีมืดมนอนธการ
แสงสว่างวาวโรจน์จากคบเพลิงส่องให้ทหารองครักษ์มองเห็นได้ไม่เกินระยะสองฝ่ามือรอบกายตนเอง ซ้ำความง่วงหงาวหาวนอนยังโจมตีหนังตาหน่วงหนักจนเกือบปิดสนิทคงง่ายนัก หากโจรสักคนจะโจนร่างข้ามผ่านกำแพงพระราชวังเข้ามา
ฟึบ!
และเขาเข้ามาแล้ว
จากกิ่งไม้สูงด้านนอกสู่กำแพงวังชั้นใน ม้วนร่างตลบผ่านองครักษ์ข้างคบเพลิงที่ยืนสัปหงก หลบไปตามเงาเสาค้ำจุนโครงสร้างปราสาทสูงตระหง่านอย่างชำนาญเส้นทาง ฝ่าเท้ายันขอบกระถางดอกไม้พุ่งตัวขึ้นไปเกาะขอบผนังอีกชั้นและอีกชั้น ฝ่าดงหนามของสวนกุหลาบข้างเฉลียงห้องส่วนพระองค์ของเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์แห่งอาบับวา
“...”
หนุ่มน้อยสะกิดปลายหนามเล็กแต่แหลมคมออกจากนิ้วโป้ง ก้มลงดูดเบาๆ ตรงที่เลือดไหล ใช้มืออีกข้างแงะมุมหน้าต่างสีทองสลักลวดลายวิลิศมาหราให้แง้มเปิดออกอย่างเงียบเชียบ
ส่งตัวเองลอดผ่านช่องนั้นเข้าไป
“...ฮ....”
เสียงครืนครางดังผะแผ่วในความวังเวง
ผู้บุกรุกชะงักฝีเท้า
เพื่อฟังเสียงอุ้งทั้งสี่ให้ชัด
นวลแสงสีเงินสาดไล้เข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดไว้ เผยลวดลายบนตัวสัตว์นักล่าร่างเปรียวปราด ซึ่งกำลังน้วยนาดเข้ามาหา...
ไม่ทันได้คิดหรือหายใจ
เจ้าสี่เท้าตัวใหญ่กระโจนใส่เขาทันที
โฮก!
ฝ่ายสองเท้าได้แต่ดิ้นไป...ร้องไป
อ้อนวอนให้มันเลิกเลียหน้า
“คิดว่าตัวเล็กๆ อยู่หรือไง ปุยฝ้าย!”
เจ้าชีตาร์ครางในลำคออย่างพอใจยามได้ยินชื่อตน ตะปบใบหน้าคนข้างใต้ด้วยอุ้งเท้านุ่มๆ หยอกเย้าเล็กน้อย ก่อนยอมให้เจ้าตัวกลิ้งหนี คนเป็นอิสระยีหัวเอ็นดูมัน ยันตัวลุกขึ้น เดินข้ามห้องของเจ้าหญิงมีนาอย่างรู้เป้าหมายและทิศทางดี
เพื่อไปเปิดตู้เสื้อผ้า
ตู้ไม้สักเคลืองบสีงาช้างสลักทองอัดแน่นไปด้วยฉลองพระองค์แสนสวยหลากสีสัน เขาไล้มือผ่านผ้านุ่มลื่นเหล่านั้นแล้วสุ่มหยิบมาชุดหนึ่ง
“ปุยฝ้าย ห้ามแอบดู...”
เจ้าชีตาร์ล้มกลิ้งลงนอน ก่ายอุ้งเท้าหน้าขึ้นปิดตาที่มองเห็นในเวลากลางคืนโดยธรรมชาติไว้ ระหว่างเจ้านายปลดชุดสามัญชนร่วงหล่นลงกองแทบเท้า
แลคลุมพระวรกายเล็กบางด้วยชุดเจ้าหญิง
“เปิดตาได้”
ก๊อก ก๊อก
คนเพิ่งแต่งตัวเสร็จสะดุ้งเฮือก
กระโดดไปนั่งโต๊ะใกล้ๆ
จุดเทียน คว้าหนังสือมากาง
“เจ้าหญิง?”
“อือ ไม่ได้ลงกลอนเข้ามาสิ”
อย่างเชื่องช้า...ผู้มาเยือนแง้มประตูเปิด
“ดึกป่านนี้แล้วยังไม่เข้าบรรทมอีกหรือกระหม่อม...”
“อ่านอะไรเพลินๆ อยู่น่ะวิลลี่”
หนึ่ง...
สอง...
มีนานับในใจ
กึก...
พระพี่เลี้ยงหยุดตนเองณจุดเดิมเช่นทุกครา
มองเจ้าหญิง...ยังทรงพระอักษรอย่างใจเย็น
มองเจ้าปุยฝ้าย...รายนี้เริ่มอยู่ไม่สุข
มันงกเงิ่นงุ่นง่านเหมือนกำลังคาบอะไรจากพื้นหน้าตู้ฉลองพระองค์ไปเก็บให้พ้นสายตา
มีนาเองเริ่มรู้ตัวว่าเจ้าจอมเปิ่นข้างหลังกำลังทำอะไรก็หลบสายตาวิลลาร์ดเป็นพัลวัน แม้ภายนอกจะนั่งนิ่งแต่ในใจนั้นทรงเอาพระบาทก่ายพระนลาฏไปนานแล้ว
“เจ้าหญิงมีนา...”
น้ำเสียงนั้นไม่ดุ แต่รุนแรงต่อพระทัยนัก
ยิ่งอ่อนเพียงใด ยิ่งถ่วงพระทัยเพียงนั้น
“พระบาทถลอก ทรงรู้พระองค์หรือเปล่า...”
“...”
“กระหม่อมจะไปตามนาซีม”
ปิดหนังสือที่แสร้งอ่านอยู่นานลงในที่สุด
“อยู่นี่แหละ”
“แต่แผล...”
“ไม่ได้มีที่เดียวนี่ด้วย...” มีนาบีบนิ้วตัวเองที่ถูกหนามกุหลาบตำโลหิตสดหยดลงบนปกหนังสือ “รอเจ้าไปตามนาซีมเราจะติดเชื้อตายก่อนน่ะสิ กล่องปฐมพยาบาลในห้องเราก็มี มาทำให้หน่อย”
วิลลาร์ดยังยืนนิ่งงันดั่งหินผา
คนตัวเล็กยิ่งห่อเหี่ยวถอนหายใจ
“เจ้าเคยสนุกกว่านี้จำตัวเองได้หรือเปล่า วิลลี่ เราว่าเราเองก็ชักลืมช่วงเวลาเช่นนั้นไปเยอะแล้วเหมือนกัน โตแล้วไม่สนุกเลย”
เจ้าไม่รู้หรอกว่าเราเผลอดีใจแค่ไหน
ที่เจ้าแกล้งเราด้วยผ้าคลุมหน้าเมื่อกลางวัน
ที่เจ้าทำให้เราเผลอคิด...
...ว่าได้เจ้าในอดีตกลับคืนมาบ้าง
เพียงเพื่อมาเจออะไรเช่นนี้ทิ่มแทงหรือไงนะ?
“ฝ่าบาททรงมิใช่เด็กๆ อีกแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ เจ้าหญิงต้องทรงมีพระจริยวัตรงดงามเสมอ ทรงจำที่กระหม่อมสอนไม่ได้หรือ...”
“แล้วเราไม่เรียบร้อยตรงไหน”
ตรัสเสียงห้วนยืดพระองค์ตรง
พระหัตถ์ซ้อนทับบนพระเพลาประชดประชัน
เชิดพระหนุใส่พระพี่เลี้ยงคนสนิทเล็กน้อย
แจงหมายเหตุ “ตอนออกไปเราเป็นแค่อะลาดินเด็กหนุ่มชาวบ้านธรรมดา...ไม่นับ”
วิลเม้มปาก “แต่อะลาดินไม่มีอยู่จริงนะกระหม่อม”
“เจ้าหญิงมีนาก็ไม่มีจริงเฉกเช่นกัน”
มีก็แต่เจ้าชายมีนา
ผู้ทรงติดอยู่ในกรงชีวิตจำแลง
แสร้งว่าเป็นเจ้าหญิงเท่านั้น
“ฝ่าบาท นั่นเพราะเจ้าหญิงทรงไม่อาจเป็นสุลต่าน เมื่อไม่อาจเป็นสุลต่านย่อมไม่มีใครคิดลอบปลงพระชนม์ดังเช่นพระเชษฐาของพระองค์...เราเข้าใจตรงกันนานมาแล้วมิใช่หรือกระหม่อม”
“แต่เจ้าหญิงไม่มีใครได้ยินเสียง...”
ไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นใด
แม้แต่กับเรื่องของตนเอง
เป็นดั่งตุ๊กตาให้พระบิดาชักใย
มีแต่คนยลโฉมโลมด้วยสายตา
เป็นแค่นกน้อยถูกขังในกรงทอง
มีปีกหากไร้ซึ่งอิสระจะโบยบิน
มีไปทำไม?
“อดทนอีกนิดกระหม่อม เมื่อพระบิดาของพระองค์ทรงประกาศรัชทายาท ทั้งโลกจะได้รู้จักเจ้าชายมีนา”
เจ้าชายมีนา...ผู้ยังอยู่ในพระครรภ์ ณ วันที่พระเชษฐาทรงถูกลอบปลงพระชนม์โดยจับมือใครดมไม่ได้
เจ้าชายมีนา...ผู้ซึ่งโชคชะตาได้กำหนดตั้งแต่ก่อนประสูติ ว่าจะต้องถูกพระบิดาปกป้องไว้ใต้พระยศของพระราชธิดา
ถูกเลี้ยงดูดุจเจ้าหญิง ทั้งที่จริงเป็นเจ้าชาย
เล่นตุ๊กตากับนางกำนัล แทนเรียนฟันดาบ
แอบคร่ำเครียดเรียนการเมืองการปกครอง
เพียงเพื่อไปนั่งเงียบต่อหน้าเจ้าชายทั้งหลาย
มีพระพี่เลี้ยงเป็นเพื่อนจริงๆ แค่คนเดียว
บางครั้งพี่ชายแล บ่อยครั้ง...ก็พ่อ
หรือควรนับปุยฝ้ายกับเจ้าชายอาลีด้วยดี?
“เรารู้ เราแค่เบื่อเล่นตุ๊กตาแล้ว”
“แต่กระหม่อมปล่อยให้เสด็จออกนอกวัง ประพาสตลาดเช่นสามัญชนอีกไม่ได้ มันไม่ปลอดภัย...”
“ทีหลังไปกับเราสิ”
พระเนตรโตใสจ้องแป๋ว
วิลลาร์ดต้องเฉไฉไม่ทนมอง
“ถ้าอยากเสด็จนักกระหม่อมจะจัดราชองครักษ์ไปอารักขาสักกอง”
“กองร้อย?”
“กองทัพ”
“พอ ขี้เกียจเถียงด้วย แล้วเราจะนอน”
“เยี่ยม...อันนี้ได้กระหม่อม”
“ส่งเราเข้านอนหน่อย”
“ฝ่าบาท นี่ห้องบรรทม—“
“อุ้มเราไปส่งที่เตียงหน่อย ก็วิลลี่ไม่ยอมรีบทำแผลให้ ตอนนี้เราเจ็บเท้ามากไม่มีแรงเดินแล้ว”
พระพี่เลี้ยงเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก
ทรงมิใช่เจ้าหญิงน้อยแล้วนะกระหม่อม...
“วิลลี่!”
เลี้ยงเรามาตั้งแต่เล็ก
แค่นี้จะยืนเก้กังทำไม
“ไม่อุ้มเราโดดใส่ละนะ”
คนเท้าเจ็บถอยกรูดไปตั้งท่า
“ฝ่าบา—!”
และกระโดดใส่อย่างว่าจริงๆ
มือใหญ่รวบเอวบางไว้ได้ถนัดด้วยเคยมือ
ตัวเบาไม่หนักขึ้นจากตอนเด็กเท่าใดด้วยซ้ำ
“คิดว่ายังทรงตัวเล็กตัวน้อยเหมือนก่อนหรือไร...อีกอย่างถ้าเล่นตอนกระหม่อมยังหนุ่มอาจพอทนได้ไม่ทรงสงสารข้อเข่ากระหม่อมบ้างหรือ”
“บ่นอะไรฟังไม่รู้เรื่อง จานอนแล้ว...”
พูดพร่ำพลางปิดเปลือกตาเช่นคนหลับ
หากลักยิ้มข้างแก้มกลับบุ๋มลงไปชัด
รอยยิ้มชอบใจ...น่ามันเขี้ยว
รอยยิ้ม...ที่มีเขาคนเดียวเคยได้เห็น
หลับเถิดเจ้าชายน้อยของกระหม่อม
อย่าครุ่นคิดกังวลพระทัยใดๆ อีกเลย
ได้โปรดโบยบินให้เต็มกำลังในนิทรานั้น
เช่นที่ยังมิอาจทำในความจริงอันโหดร้ายนี้
“ราตรีสวัสดิ์ วิลลี่...”
กระซิบงึมงำหลับตาลง
ทั้งที่ข้อพระบาทยังพาดอยู่บนตักแกร่งของคนกำลังทำแผลให้ วิลลาร์ดลอบยิ้มอ่อนโยนในความมืด ถือวิสาสะคว้าพระหัตถ์น้อยๆ มาจุมพิตแผ่วเบา
“ราตรีสวัสดิ์...”
นกน้อยของกระหม่อม
.
.
บุหลันลอยเลื่อน
อีกหนึ่งราตรีคล้อยเคลื่อนเข้าครอบงำมหานครอาบับวา อีกครา...นกน้อยได้สะบัดปีกหลีกลอดกรงทองออกมาท่องไปในเมืองของตน เมืองที่เขารัก ผู้คนที่เขาต้องปกครองดูแลทุกข์สุขต่อจากพระบิดา เจ้าชายที่ดีต้องเตรียมพร้อมก่อนวันนั้นจะมาถึง...เขาจำคำสอนของพระพี่เลี้ยงได้แม่นนัก
“เจ้าดูเหมือนคนหลงทางที่มีจุดหมาย”
มีนาสะดุ้งโหยง เกือบร้องออกเสียง
ชายที่เป็นแค่เงาขยับเข้ามาใกล้แสงจันทรา แลค่อยปรากฏโครงร่างชัดเจนเป็นมนุษย์คนหนึ่ง หนวดเคราดกดำแต่งเป็นทรงขับให้ใบหน้านั้นดูดุเกินจริง ชายเสื้อคลุมสีแดงคล้ำเนื้อกำมะหยี่สะบัดพลิ้วน้อยๆ ตามแรงลมซึ่งโบกพัดยอดหอคอยผุพังแห่งนี้
“ท่านเป็นใคร?”
“กลับวังเถอะนี่ไม่ใช่ที่วิ่งเล่นสำหรับเจ้าหญิง”
“พูดเรื่องอะไรของท่—“
“มีนา...ใช่หรือไม่”
ถือวิสาสะเชยปลายคางเขาขึ้น
ด้วยมือข้างที่ไม่ได้ถือไม้เท้า
ว่าแต่...คนวัยนี้ที่ไหนถือไม้เท้ากัน?
“ดวงตาสวยล้ำสมคำร่ำลือ...”
มีนาผุดลุกขึ้นยืนถอยออกห่าง
“เรากลับละ...”
“ลาก่อนและเสียใจด้วยเจ้าหญิง...”
เสียใจ...เรื่องอะไร?
แม้นมิได้เอื้อนถาม
หากถูกสาปให้นิ่งฟังคำตอบ
“เจ้าชายอีกพระองค์กำลังมา...”
.
.
‘เจ้าชายอีกพระองค์กำลังมา...’
คราแรกได้ฟัง เขาคิดเพียงว่าเจ้าชายจากแดนไกลที่ใดสักแห่งคงยกกระบวนพยุหยาตรามายลพระสิริโฉมเจ้าหญิงมีนาอีกกระมัง จึงมิได้เก็บมาใส่จิต
เพิ่งเข้าใจก็ยามนี้
ยามที่ทั้งวังวุ่นวายเตรียมพร้อมสำหรับพระมเหสีองค์ปัจจุบันของพระบิดาซึ่งกำลังจะมีพระประสูติกาลรัชทายาทให้อาบับวา แลแม้ใจหนึ่งพยายามบอกตัวเองมิให้ฟุ้งซ่านคิดเรื่อยเปื่อยเช่นไร สัญชาตญาณลึกๆ กลับร่ำร้องก้องตะโกนว่าพระองค์คงได้พระโอรสเป็นแน่
‘เจ้าชายอีกพระองค์กำลังมา’
เสียงชายแปลกหน้าถือไม้เท้าแว่วดังอยู่ซ้ำๆ
“ทรงกังวลอะไรหรือกระหม่อม”
เสียงทุ้มดังขึ้นข้างกาย
มีนากัดริมฝีปากล่างจนช้ำแตก
เลิกเดินไปเดินมา
เลิกเฝ้ารอในสิ่งที่รู้อยู่แล้ว
“เราจะได้น้องชาย”
“พระองค์ไม่รู้หรอ—“
วิลลาร์ด—อันที่จริงทั้งท้องพระโรง— เงียบเสียงลงในฉับพลันทันใด เพราะโสตประสาทพร้อมใจกันเงี่ยฟังเสียงเล็กๆ เสียงหนึ่ง...แว่วดังอยู่ไกลๆ
เสียงของทารกน้อยที่ดังนำเสียงประกาศก้องท้องพระโรง
“พระโอรสประสูติแล้ว!”
พระพี่เลี้ยงของเจ้าหญิงเกือบอ้าปากค้าง
อยากถามว่าทรงทราบได้อย่างไร
แต่พระองค์มิทรงอยู่ให้ถามแล้ว
.
.
“ท่านรู้ได้อย่างไร”
รู้...ก่อนพระนางตั้งครรภ์เสียด้วยซ้ำ
ชายผู้ทำนายอนาคตลูบคางครึ้มด้วยเคราของตนไปมา กระชับไม้เท้าในมือเล่นด้วยความเคยชิน ตัดสินใจตอบเจ้าชายตามตรง
“ข้าเห็น...สิ่งต่างๆ”
ดวงตาของมาร์วันเห็นปัจจุบัน
ความฝันยามหลับใหลมักเป็นอดีต
จิตยามมีสมาธิของเขา...บอกใบ้อนาคต
“เช่นนั้น...ท่านเห็นอะไรอีกบ้าง...”
“เห็นอะไร...ที่หมายถึงอนาคตของพระองค์น่ะหรือ? ฝ่าบาท”
นัยน์ตาเรียวคมจ้องมีนาจนทะลุปรุโปร่ง
“ท่านมิได้เกิดมาเพื่อปกครอง...”
มีนาโกรธ
ทว่า...คิดอีกทีเรื่องนั้นอาจชัดเจนตั้งแต่เขาถูกโชคชะตาจองจำให้เป็นเจ้าหญิงบนหอคอยงาช้างแล้วก็ได้ และเขาจงใจมองข้ามมันไป หลงเชื่อฟังคำสั่งพระบิดา คิดว่าหากอดทนจนอายุครบยี่สิบตามที่พระองค์สัญญา เขาจะได้คืนพระยศเจ้าชายซึ่งถูกพรากไปแต่เกิดและขึ้นเป็นรัชทายาท
จากบรรยากาศการเมืองในวังตลอดหลายเดือนตั้งแต่พระมเหสีทรงตั้งครรภ์เขาควรยอมรับเสียทีว่านั่นไม่เคยใช่ทางเลือก
และที่สงสัยมาตลอด ว่าพวกขุนนางอยู่เบื้องหลังคำสั่งของพระบิดาที่ให้เขาเป็นเพียงเจ้าหญิงใบ้ไร้ตัวตน...คงเป็นเรื่องจริง
“แต่ท่านเปลี่ยนมันได้...”
เจ้าชายผู้ถูกปล้นสิทธิ์ในบัลลังก์หันขวับ
“มีถ้ำแห่งหนึ่งกลางทะเลทรายมากมายด้วยสมบัติในนั้นมีตะเกียงน้ำมันอยู่...”
ตะเกียงน้ำมัน?
“หนทางแสนลำบากพาใครสักคนไปด้วยใครก็ได้ที่เจ้าไว้ใจ...เจอกับข้าที่นั่น”
“เดี๋ยว! ท่านยังไม่บอกเลยว่าถ้ำอยู่ที่ไหน?”
มาร์วันยกยิ้มน้อยๆ ก่อนหายตัวไปในเงามืด
คล้อยหลัง...มีนายินเสียงลอยอ้อยอิ่งในหัว
“หากชะตา ‘ยินยอม’ ให้ท่านเปลี่ยน ดวงดาราจักนำพาท่านไปเอง...”
.
.
‘พวกขุนนางไม่ยอมถอยแน่ เราเสี่ยงอีกไม่ได้ ฝ่าบาท นี่เป็นหนทางเดียวที่จะปกป้องพระราชโอรสองค์น้อย...’
‘...หากเขาเป็นพระโอรส’
‘กระหม่อมเชื่อว่าต่อไปเขาจะเข้าใจ ว่าที่พระองค์ทรงเห็นด้วยกับกระหม่อม—‘
‘ไม่วิลลาร์ด...ให้เขาเข้าใจว่าเป็นความคิดข้า’
‘แต่สุลต่านข้า...’
‘เขาจำเป็นต้องมีใครสักคนเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจในชีวิตอันโดดเดี่ยวภายภาคหน้า เป็นทั้งเพื่อน พี่ชาย เป็นครู...เป็นได้แม้กระทั่งพ่อ ข้าอาจเป็นพ่อก็จริง แต่ก็เป็นสุลต่าน เกรงว่าข้าจะเป็นคนนั้นไม่ได้ ข้าล้มเหลวตั้งแต่อาลีถูกลอบสังหารแล้ว...’
‘...’
‘เจ้าต้องปกป้องเขา วิลลาร์ด’
‘ด้วยชีวิต...กระหม่อม...’
.
.
นี่ไม่ใช่นิทานเกี่ยวกับเจ้าชายที่ใครอยากฟัง
วันเกิดเขากลายเป็นเจ้าหญิง
อายุได้ยี่สิบเขากลายเป็นอากาศธาตุ
เจ้าชายผู้ไม่เคยได้เป็นเจ้าชาย
พระราชโอรสองค์ใหม่ประสูติราตรีก่อน รุ่งขึ้นองค์สุลต่านอุ้มเจ้าตัวน้อยออกพบปะประชาชนอาบับวาท่ามกลางเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญ ในที่สุดก็ทรงมีพระโอรสให้ราษฎรชื่นใจ ให้บัลลังก์มั่นคงไม่คลอนแคลนเหมือนยี่สิบปีที่ผันผ่าน
ยี่สิบปี...ที่รัชทายาทอันดับหนึ่งอดทนรอ
ทั้งที่แท้...ไล่ไขว่คว้าความสูญเปล่าตลอดมา
จากเจ้าหญิงที่ไม่มีอะไรเลย
สู่เจ้าชายที่ไม่มีวันมีอะไรขึ้นมาได้
“ฝ่าบาท...กระหม่อมเข้าไปได้ไหม...”
“...”
มีนานอนนิ่งมองเพดานมาหลายชั่วยามแล้วด้วยหัวใจอันแหลกสลาย...มันร้าวราน แต่สงสัยก้อนเนื้อบ้านี่คงยังรับความเจ็บปวดได้อยู่ เพราะมันมีแต่รู้สึกเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกวินาทีที่ยังหายใจ แทนที่จะเริ่มชินชา
ประตูเปิดออกช้าๆ, เขาไม่ได้สนใจ
วิลลาร์ดก้าวเข้ามาด้านในสองก้าว
“อย่าทรงเคืองพระทัยพระบิดาเลยนะกระหม่อม—“
“ไปยืนอะไรตรงนั้น...”
“...?”
“เราไม่ใช่เจ้าหญิงแล้ว ไม่เห็นหรือไร...”
พระพี่เลี้ยงเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย
“พระเกศา...”
มีนาตัดผมยาวสลวยทิ้งจนสั้นเฉกเช่นบุรุษ
ไม่มีค่าอันใดต้องแสร้งเป็นเจ้าหญิงอีกแล้ว
“ทำไมชอบยืนเฝ้าหน้าประตูนัก เป็นหมาหรือ นี่วันเกิดเรา ช่วยให้ของขวัญด้วยการมาอยู่ใกล้ๆ เราหน่อยได้ไหม...”
ยิ่งเราโต ท่านยิ่งห่างเราออกไปทุกที
ยิ่งท่านรักษาระยะห่าง เราก็ยิ่งโหยหา
ทั้งเพื่อนเล่นตุ๊กตาขี่ม้าส่งเมือง
พี่ชายที่คอยจูงมือไม่ให้น้องพลัดหลง
ครูสอนความรู้ผู้กล้าตีเด็กไม่ตั้งใจฟัง
ความอบอุ่นใกล้เคียงพ่อที่สุดเท่าที่จะมีได้
ทุกคนในตัวเจ้าค่อยๆ หล่นหายไปตามเวลา
เพื่ออะไรกัน
ทูนเจ้าชายรัชทายาทขึ้นสู่บัลลังก์หรือ?
ตอนนี้บันไดทุกขั้นที่เจ้าช่วยเราสร้างมาน่ะ...
พังทลายลงหมดแล้ว ไม่เห็นหรือไร?
หยุดดันเราขึ้นที่สูง ผลักตัวเองลงต่ำเสียที
ช่วยกลับมาเดินเคียงข้างเราเหมือนเดิม
เป็นไหล่ให้เราพักพิง
เป็นแผ่นหลังให้เราปีนป่าย
เป็นอ้อมแขนที่โอบอุ้มเราไว้ตลอดไปได้ไหม
“ได้สิกระหม่อม...”
ได้เสมอ
แท่นบรรทมเสด็จพระองค์ชายยวบลงเพราะน้ำหนักคนตัวโต วิลลาร์ดเกร็งกล้ามเนื้อท่อนขาจนรู้สึกได้ เพียงเมื่อศีรษะของเขาเลื่อนขึ้นไปหนุนตัก มีนาหลับตาลง รู้สึกผ่อนคลาย อบอุ่นปลอดภัย เหมือนทารกน้อยในอ้อมกอดพ่อแม่
พระหัตถ์น้อยเอื้อมจับมือใหญ่วางบนศีรษะตน เจ้าของมือหลุดยิ้ม มิอาจต้านทานอาการออดอ้อน ลูบหัวกล่อมเด็กในปกครองด้วยเอ็นดูเหลือคณา
นิ้วมือสอดสางเรือนผมหนานุ่มไปมา
ม่านนัยน์ตาสีเข้มขยายขึ้นเมื่อนึกอะไรได้
“มีนา...ตัดผมแล้วยังไม่ได้ออกไปให้ใครเห็นใช่ไหม...”
“นาซีมรู้นางเป็นคนเก็บเศษผมให้กับคนอื่นอีกคนสองคนมั้ง...”
สองมือใหญ่ดันเจ้าของแผ่นหลังเล็กขึ้นนั่ง
“ทรงอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว!”
“วิลลี่เดี๋ยว! ทำไม...”
“ไม่มีเวลาแล้ว เชื่อใจกระหม่อมไหม...”
วิลลาร์ดยื่นมือออกมาขอ...
ความไว้ใจที่มีนามีให้ตลอดมา?
พระหัตถ์น้อยของเจ้าชายยื่นให้, มิลังเล
ปั้ก!
พลันนั้น เกาทัณฑ์พลันพุ่งผ่านช่องว่างระหว่างใบหน้าของทั้งคู่เส้นยาแดงผ่าสิบหก พระพี่เลี้ยงกระชากพระกรเจ้าชายออกวิ่ง ลูกธนูอีกดอกเฉียดปลายเท้ามีนาไปเพียงนิด อีกหลายดอกเริ่มพุ่งตามมาปักเต็มประตู ขณะวิลลาร์ดอุ้มร่างเล็กลอดผ่านช่องหน้าต่างออกทางเฉลียง ก่อนปีนตามออกไป
โดยมิต้องแนะนำอันใด เจ้าชายกระโดดโหนไต่ลงไปตามเฉลียงหลายชั้นอย่างรวดเร็ว มีนาชำนาญเส้นทางอยู่แล้วจากการลักลอบออกไปเที่ยวเล่นนอกกำแพงวังเป็นประจำ วิลลาร์ดเองด้วยซ้ำต้องคอยตามเจ้าชายในทุกฝีเก้า แต่อย่างน้อยก็เหมาะแล้วที่เขาได้ระวังหลังให้
เพียงความลับว่าเป็นเจ้าชายรั่วไหล
ก็ถูกมุ่งหมายเอาชีวิตเช่นคราพระเชษฐา
แลยังกระทำลงโดยอุกอาจมิต่างกัน
.
.
หนึ่งพระพี่เลี้ยง หนึ่งเจ้าชายหลุดรอดกำแพงวังออกมาได้สำเร็จ มีนารู้จักที่ซ่อนตัวดีๆ ให้ใช้เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนออกเดินทางด้วยสภาพชาวบ้านธรรมดาสามัญ ท่ามกลางทะเลทรายกว้างใหญ่ไพศาลสุดลานสายตาจักกวาดถึง
แต่นี่จักมิใช่การหนีตลอดไป
เขาต้องการเปลี่ยนชะตาตนเอง
‘ถ้ำกลางทะเลทราย’
‘ตะเกียงน้ำมัน’
คำพูดของมาร์วันยังวนเวียนอยู่ในหัว
“กระหม่อมคิดไปเองหรือทรงดูหลงทางอย่างมีจุดหมาย?”
มีนาหันขวับ มือยังคอยบังคับสายจูงอูฐ
‘เจ้าดูเหมือนคนหลงทางที่มีจุดหมาย’
แต่มิได้เอื้อนเอ่ยอันใดตอบกลับ
ทอดสายตามองหมื่นพันล้านเม็ดทราย
แสงดาวพราวพร่างสว่างไสวไล่เป็นทาง
‘...ดวงดาราจักนำพาท่านไปเอง’
ไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใด
เขามั่นใจว่าตนกำลังมาถูกทิศ...
.
.
มีนาคิดว่าตนเจอถ้ำนั้นแล้ว
รอบข้างมีแต่ทราย...ไร้เงามาร์วัน
“แน่ใจนะกระหม่อมว่าจะเข้าไป...”
คนเพิ่งผูกอูฐเสร็จสิ้นเอ่ยทัก ไม่วางใจ
“อาจจะรออยู่ในถ้ำ?” ทรงพึมพำกับองค์เอง
“ใครหรือกระหม่อม”
“...”
มีนามิเอ่ยตอบว่ากระไร เอื้อมเท้าข้างหนึ่งออกไปลองย่ำผืนทรายหน้าถ้ำเบาๆ มันยวบยาบน้อยกว่าคาดไว้จึงค่อยๆ บรรจงสับเท้าอีกข้างตาม ก่อนสลับฝีเท้าก้าวไปเรื่อยๆ ถ้ำดูปกติดีทรายไม่ดูด ไม่เห็นแววอันตรายจากสิ่งอื่น
วิลลาร์ดตามหลังเขามาติดๆ
จนบ่ากว้างเสมอศีรษะคนตัวเล็ก
เสียงกระซิบกระซาบสะท้อนผนังถ้ำมาแผ่วๆ
“มาร์วัน?”
ไร้เสียงตอบรับ
ถ้อยกระซิบยังแว่ว...แลดังขึ้นทีละน้อย
‘พวกขุนนางไม่ยอมถอยแน่...’
มีนาสะดุ้ง วิลลาร์ดยื่นแขนมากั้นไม่ให้เจ้าตัวเล็กตกลงไป ต่างคนต่างไม่รู้สึกเลยว่าพื้นรอบข้างลดน้อยลงเหลือเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด มาเห็นอีกคราก็ตอนกลายเป็นยอดแคบๆ ของภูเขาสูงชันไปเสียแล้ว
‘...เราเสี่ยงอีกไม่ได้ ฝ่าบาท นี่เป็นหนทางเดียวที่จะปกป้องพระราชโอรสองค์น้อย...’
นั่นไม่ใช่เสียงมาร์วัน
มันคุ้นหู เพียงติดอยู่ที่ปาก
‘...หากเขาเป็นพระโอรส’
‘กระหม่อมเชื่อว่าต่อไปเขาจะเข้าใจ...’
ประโยคเหล่านั้นขุดรื้อความทรงจำของวิล
อดีต...ที่ต่อให้ย้อนกลับไปเขาก็คงทำซ้ำ
แต่บางที, คนข้างกายอาจไม่ควรได้รับรู้
‘ว่าที่พระองค์ทรงเห็นด้วยกับกระหม่อม—’
มีนาขมวดคิ้วมุ่น
คล้ายนึกออกแล้วว่าเสียงใคร
เพียงไม่อยากเชื่อ
‘ไม่วิลลาร์ด...ให้เขาเข้าใจว่าเป็นความคิดข้า’
เช่นเดียวกับวิลลาร์ด
ที่ไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ยิน
หัวใจที่สลายอยู่แล้ว มิควรต้องสลายซ้ำอีก
“วิลลี่...?”
แววเนตรสับสนรื้อค้นคำแก้ตัวในดวงตาอีกคู่
หากแต่เขาไม่มีให้
‘แต่สุลต่านข้า...’
‘เขาจำเป็นต้องมีใครสักคนเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจในชีวิตอันโดดเดี่ยวภายภาคหน้า เป็นทั้งเพื่อน พี่ชาย เป็นครู...เป็นได้แม้กระทั่งพ่อ ข้าอาจเป็นพ่อก็จริง แต่ก็เป็นสุลต่าน เกรงว่าข้าจะเป็นคนนั้นไม่ได้ ข้าล้มเหลวตั้งแต่อาลีถูกลอบสังหารแล้ว...’
“พอแล้ว!!!”
มีนาตะคอกสุดเสียง
แต่เสียงกระซิบเล่นวนมิสิ้นสุด
“บอกให้พอไง!!!”
เกร็งคอร้องตะโกน สะอื้นตัวโยนจนทรุดเข่าลงกองแทบเท้าตนเอง ลำคอแห้งเหือดราวกำลังสำลักทะเลทราย ขอบตาร้อนผ่าวแต่ไร้ซึ่งน้ำตาให้ไหล จุกจนพูดไม่ออก ร้องไม่ได้...คล้ายถูกกระทุ้งด้วยค้อนตีเหล็กหน่วงหนักเข้ากลางลำตัว
“ยี่สิบปี...”
ยี่สิบปี...ที่ต้องคอยคิดทบทวนซ้อนซ้ำว่าทำไม พระบิดาต้องมีรับสั่งที่ใจร้ายกับลูกชายคนนี้ถึงเพียงนั้น ต้องคอยย้ำเหตุผลที่ได้ฟังจากพี่เลี้ยงมาช่วยแก้ตัวว่าทรงเป็นสุลต่านจึงพอหายเคืองได้ไปวันๆ ก็รัชทายาทคือหนึ่งในเสาหลักความมั่นคงที่คอยค้ำยันบ้านเมือง ความปลอดภัยจึงเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด
ยี่สิบปี...ที่เชื่อฟังทุกคำกรอกหูจากคนตรงหน้า ว่าหากยอมเก็บตัวเงียบมุ่งมั่นตั้งใจศึกษาราชการบ้านเมืองอยู่ในมุมเล็กๆ ของตน อดทนมากพอจนถึงวันที่เป็นผู้ใหญ่ จะได้กลายเป็นเจ้าชายรัชทายาทอย่างเต็มภาคภูมิ ไม่มีใครกล้าใช้ความไร้เดียงสามาเป็นข้ออ้าง โค่นลงจากตำแหน่งด้วยความตายเหมือนพระเชษฐาในวัยสิบสองพรรษา
“เจ้าทำเช่นนี้กับเราได้อย่างไร...วิลลาร์ด...”
เสียงกระซิบแสนเครือสั่น
ขาดหาย, กรีดใจคนฟังแหลกลาญ
ยี่สิบปี...มีนาไม่เคยเอะใจเลยว่าคนใกล้ตัวที่สุดจะย้อนกลับมาทำร้ายกันได้สาหัสถึงเพียงนี้ เขามุ่งสงสัยพวกขุนนางฝ่ายตรงข้ามมาตลอดว่าได้บีบคั้นพระบิดา ไม่เคยนึกเลยว่าความคิดที่กักขังเขาไว้ในกรง จะมาจากมือข้างเดียวกับที่คอยดูแลเอาใจใส่ทะนุถนอมนกน้อยข้างในนั้น
คนที่เป็นทั้งเพื่อน พี่ชาย พ่อ ครูคนนี้
หรืออาจไม่ได้เป็นทั้งหมดนั่นเลย
หากไม่ขังเขาไว้ในกรงตั้งแต่แรก
“มีอีกอย่างที่ควรรู้ฝ่าบาท...”
“...”
“กระหม่อมรักพระองค์...ยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง...”
‘เจ้าต้องปกป้องเขา วิลลาร์ด’
‘ด้วยชีวิต...กระหม่อม...’
และมันคงเป็นความรักอย่างผิดๆ ที่ชักนำให้เขามุ่งปกป้องเด็กน้อยในความดูแลอย่างไม่ลืมหูลืมตา เพราะพลาดพลั้งล้มเหลวจากพี่ชายของเจ้าตัวมาแล้วครั้งหนึ่ง จึงตั้งใจว่าจะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์เลวร้ายเกิดซ้ำอีก
มุ่งมั่นตั้งใจกับหน้าที่ของตนเอง
จนลืมไปว่าเด็กน้อยควรได้เติบโต
มิใช่เป็นไข่ในหินตลอดไป
มิใช่เป็นนกน้อยในกรงทองตลอดกาล
ปีกคู่นั้นต้องได้ลองสะบัดโบยบินเอง
พลาดเกี่ยวกิ่งไม้บ้าง เรียนรู้ความเจ็บปวด
ควรได้รู้จักสู้เพื่อตัวเองแลเติบโต
มิใช่ซุกใต้ปีกพ่อนกชั่วนิรันดร์
“ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันเคยคิดจะบอกความจริงกับเราบ้างหรือเปล่า...หรือคิดแค่ว่าเมื่อเราได้เป็นเจ้าชายรัชทายาท ทุกอย่างที่ซุกไว้ใต้พรมก็จะหายไปเอง...”
เคยมีสักเสี้ยวจิตหนึ่งบ้างหรือไม่ที่คิดจะปล่อยเขาเป็นอิสระ ให้เขาได้ต่อสู้ความอยุติธรรมด้วยเสียงของตนเอง ด้วยใบหน้า สติปัญญาความคิดและตัวตนของตนเอง มิใช่ต้องทนก้มหน้านั่งใบ้อย่างคนโง่เขลา เพียงเพราะกลัวคนรู้ว่าเป็นชายแล้วจะถูกสังหาร
จะดีจะร้ายเขาก็เป็นเจ้าของสิทธิ์นั้น
สิทธิที่จะเลือก จะพูด จะคิด
สิทธิที่จะเป็นตัวเองทัดเทียมกับใครๆ
สิทธิที่ไม่ควรถูกผู้ใดพรากไปตั้งแต่กำเนิด
และเขาต้องยอมทนถูกกดอยู่เช่นนั้นนานเพียงนี้ เพราะบุรุษหนึ่งเดียวในชีวิตที่ไว้ใจได้ตีกรอบกำหนดทางเดินไว้ให้
แม้ด้วยความรักและความหวังดี
หากก็ด้วยทัศนคติที่ผิดเพี้ยน
จนส่งผลข้างเคียงอันเกินให้อภัย
“...”
วิลลาร์ดไม่ตอบ
บางทีละอองความคิดเห็นแก่ตัวลึกๆ นั้นอาจเป็นต้นเพลิงที่ลุกลามจนผลาญทำลายทุกสิ่ง
ละอองเล็กๆ...จากต้นกำเนิดความคิดง่ายๆธรรมดาเพียงว่า ‘อยากเก็บรอยยิ้มนั้นไว้เป็นของตนเพียงคนเดียว’ ที่สั่งสมเพิ่มพูนขึ้นทุกวันจน มันพอกปากเขาให้หนัก และเริ่มปล่อยความคิดจะสารภาพให้หลุดลอย
ผลลัพธ์ของมันรุนแรงเหลือพรรณนา
เพราะใช้คำโกหกเป็นเกราะกำบังคนที่รักไว้นานเกินไป เมื่อถึงวัน...ความจริงย่อมกลายเป็นอาวุธโดยมิอาจหลีกเลี่ยง
อาวุธซึ่งทิ่มแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ราวกับจักไม่มีวันถอนคมออกไป
“ได้โปรด...มีนา...”
“...”
“อย่าร้องไห้...”
อย่าเสียน้ำตาให้คนอย่างกระหม่อมเลย
รู้ว่าอีกฝ่ายไม่คู่ควรกับน้ำตา
แต่มันกลับไม่ยอมหยุดไหล
บางอย่าง, บางครั้ง,
ก็มีไว้สำหรับคนไม่คู่ควร
ไม่ว่าน้ำตา หรือว่า...ความรัก
‘ลงโทษเขา...ฝ่าบาท’
ถ้ำกระซิบ
‘เขาขังท่าน...ได้เพลาท่านขังเขาบ้าง’
มาร์วันกระซิบ
‘แค่หยิบตะเกียงขึ้นมา...อธิษฐาน...’
มีนามิได้อยากทำเช่นนั้นร้อยทั้งร้อย แม้มีส่วนเล็กๆแสนเคียดแค้นเสียเต็มประดาก็ตาม ทว่าพื้นที่ที่เหลืออีกทั้งใจ อย่างไรก็ตัดใจทำร้ายคนที่รักกันมากมายไม่ลงคอ
หากหัวใจที่แหลกสลายนั้นเป็นอาหารอันโอชะของผู้ใช้มนตรา
เพียงเศษเสี้ยวส่วนล้านของจิตใจถูกครอบงำไว้ในความมืด...จุดเล็กที่สุดซึ่งกระตุ้นด้วยพลังสะกดก็แพร่กระจายได้ราวเชื้อโรคร้าย
มือเล็กเอื้อมหยิบตะเกียงน้ำมันขึ้นมา
วิลลาร์ดไม่เห็นว่าตะเกียงสีทองในมือมีนาปรากฏขึ้นมาจากที่ใดเมื่อไร ไม่รู้เลยว่าอีกคนจะทำอะไรต่อไป เพราะเสียงของมาร์วันนั้นกระซิบอยู่ข้างใบหูของเจ้าชายผู้อาภัพแต่เพียงพระองค์เดียว
‘อธิษฐาน...ด้วยความเจ็บปวดทั้งหมดที่มี...อธิษฐานสิ...’
ประกายสีทองส่องสว่างรอบวงแหวนในม่านตาดำของมีนา วิลลาร์ดนิ่งงันราวถูกสาป มิอาจเคลื่อนขยับ ได้เพียงสดับรับฟังเสียงพึมพำคร่ำครวญกึ่งจะร่ำไห้ของคนตรงหน้า
“เราไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก...”
ไม่...
“...เจ้าต้องถูกขังโดยไร้ซึ่งความทรงจำว่าเคยเป็นใคร อยู่เพียงเพื่อรับใช้เจ้านาย ไม่มีปากมีเสียง...”
เจ้าชายเอียงหูราวกับคอยฟังใครอยู่
แต่วิลลาร์ดไม่อาจส่งเสียงเรียกสติเขา
“ยามเมื่อความเจ็บปวดในดวงวิญญาณข้าสูญสลาย เพลานั้น...เราจะได้พบกัน...”
‘นานเท่าใด?’
มาร์วันรบเร้า
“...หนึ่งพันราตรี”
‘กับอีกหนึ่งพันปี’
เสียงกระซิบบิดเบือนจิตใจ
“...กับอีกหนึ่งพันปี...”
มีนา!
“...กว่าจักได้รับการปลดปล่อย”
‘และแม้เป็นอิสระแล้วเจ้าก็ยังไม่คู่ควรกับเรา...’
หัวใจที่พังทลายเพียงเผลอคิด
หากมาร์วันทำให้แน่ใจว่ามันจะมีผล
เพื่อความสนุกสนานส่วนตัว
สิ้นแรงอธิษฐานดวงแสงสีทองในดวงเนตรแสนสวยวูบดับ ตามด้วยเปลือกตาบางที่ปิดลง มือเล็กปล่อยตะเกียงร่วงหล่นลงข้างตัว ก่อนทั้งร่างที่ถูกหลอกใช้พลังวิญญาณจักถูกแรงล่องหนกระชากร่วงลงจากยอดผาสูงชัน
มีนา!
วิลลาร์ดร้องลั่นเพิ่งขยับตัวได้
กระโจนไขว่คว้าสักเท่าใดก็ไม่เป็นผล
ด้วยร่างเริ่มกลายเป็นเพียงริ้วสลายคล้ายหมอกควัน แลถูกแรงอันมิอาจต้านทานสูบหายลับเข้าไปในตะเกียง...
ตะเกียงน้ำมันบนแท่นสูงใต้ถ้ำสิงห์
ท่ามกลางชั้นหินสลับซับซ้อน สะท้อนเสียงหัวเราะกึกก้องของบุรุษผู้เพิ่งสร้างหลักประกันให้ตนเองได้ ว่าจะมีตะเกียงวิเศษให้ออกตามหา แลใช้เสริมพลังอำนาจของตนให้ล้นฟ้าต่อเนื่องยาวนานในทุกยุคทุกสมัย
ทุกชาติภพสืบไป
.
.
.
เหนือผืนทรายใต้ผืนฟ้านครอัครบาห์
รัตติกาลกลืนม่านเมฆา
ดาษดาราพรายพร่างพราวระยับ
สรรพสิ่งล้วนสุกสกาวสดใสในวันวิวาห์ของสุลต่านจัสมินและอะลาดิน มิว่าสีสันของเสื้อผ้าสีหน้า หรืออารมณ์ความรู้สึกของผู้คน ละอองความปลื้มปิติลอยละล่องจวญจรุงฟุ้งไปในบรรยากาศ ระเรื่อยเอื่อยระเริงเล่นกับท่วงทำนองชวนครื้นเครงจากเครื่องสาย ดนตรีเริ่มเร่งเร้าเชื้อเชิญให้เริงระบำ หากโสตประสาทบางคู่กลับเงียบสงัด
แลแม้นผู้คนมากมายจักคลาคล่ำ
สองวิญญาณก็ยังหากันจนเจอ
อะลาดินกับจีนี่ของเขา
ผู้ผ่านพ้นการผจญภัยมาด้วยกัน
จากเจ้านายกับจินี่ผู้เสกสรรค์พรให้
กลายเป็นเพื่อนยาก...จักหาไหนไม่มี
เป็นพี่ชายจูงน้องไม่ให้หลงทางในบางครั้ง
เป็นครูคอยสอนสั่งให้เชื่อมั่นในตัวเอง
เป็นพ่อคอยปกป้องแต่ก็ปล่อยให้ลองผิดถูก
แม้ร้ายดีอย่างไรยังคอยโอบอุ้มกันและกัน
ทั้งคู่โถมร่างสวมกอด, ผละจาก
ดวงเนตรสองคู่สบพลัน
ทุกความทรงจำหมุนย้อนกลับมาให้สัมผัส
ทุกวินาที, ทุกถ้อยคำ, ทุกความรู้สึก
‘...ทรงปรารถนาสิ่งใดรับสั่งมาได้เลยกระหม่อม’
‘อะไรก็ได้หรือ’
‘กระหม่อม’
‘ทำเจ้าชายให้เราได้ไหม’
‘มาช่วยชีวิตเราได้ทันเวลาพอดีเลย! เกือบตายแล้ว’
‘วิลลี่!!!’
‘แบบนี้จะได้หายใจสะดวกไงกระหม่อม’
‘ยัง...ยังไม่หยุดตลกอีก! เราจะสั่งตัดมือเจ้าแง...’
‘พระบาทถลอก ทรงรู้พระองค์หรือเปล่า...’
‘ฝ่าบาท ทรงมิใช่เด็กๆ อีกแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ เจ้าหญิงต้องทรงมีพระจริยวัตรงดงามเสมอ ทรงจำที่กระหม่อมสอนไม่ได้หรือ...’
‘แล้วเราไม่เรียบร้อยตรงไหน...ตอนออกไปเราเป็นแค่อะลาดินเด็กหนุ่มชาวบ้านธรรมดา...ไม่นับ’
‘ไม่อุ้มเราโดดละนะ’
‘ทำไมชอบยืนเฝ้าหน้าประตูนัก เป็นหมาหรือ นี่วันเกิดเรา ช่วยให้ของขวัญด้วยการมาอยู่ใกล้ๆ เราหน่อยได้ไหม...’
‘ได้สิกระหม่อม’
‘เจ้าทำเช่นนี้กับเราได้อย่างไร...วิลลาร์ด...’
‘กระหม่อมรักพระองค์...ยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง...’
‘เราไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก...’
อะลาดินแย้มยิ้มพริ้มเพรา
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง, วันที่เราพบกันอีกครั้ง
เจ้าเป็นอิสระ, และเข้าใจว่ามันมีค่าแค่ไหน
ส่วนจีนี่เล่า...หลั่งน้ำตา
ได้รับรู้เสียทีว่าเคยทำผิดร้ายแรงอันใด
จึงต้องถูกจองจำให้รับใช้นายเหนือตะเกียง
‘ยามเมื่อความเจ็บปวดในดวงวิญญาณข้าสูญสลายเพลานั้นเราจะได้พบกัน...’
ผิว่าต้องร่ำไห้ใต้หมื่นแสงจันทร์
ผิว่าต้องพรากจากกันนับพันราตรี
‘...หนึ่งพันราตรี...กับอีกหนึ่งพันปี’
ดวงวิญญาณ, เคยพลั้งจองจำกันและกัน
ต่างได้รับการปลดปล่อยจากความเจ็บปวด
ด้วยหัวใจที่อภัยให้กัน
พลั้นนั้นอะลาดิน, หรือมีนา
เพิ่งจำคำสุดท้ายของตนได้
‘...และแม้เป็นอิสระแล้ว เจ้าก็ยังไม่คู่ควรกับเรา ถึงวันนั้นเราจะรำลึกได้ เจ้าจะรำลึกได้...ทุกสิ่งแต่ไม่มีอะไรที่เจ้าจะทำได้อีกแล้ว...เราต้องปล่อยกันและกันไป’
ความรักแท้จริง,
อาจคือการรู้จักให้อิสระอีกฝ่าย
เราอาจไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นของกันและกัน...
เพียงในแง่มุมหนึ่งที่ท่านเคยปรารถนา
แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเราไม่รักกัน
‘ครอบครอง’ เป็นเพียงมิติหนึ่งของความรัก
ก่อขึ้นจากความเห็นแก่ตัว, แสนเปราะบาง
เวลาของความรักในแง่มุมนั้น, มักมีจำกัด
หากเราพบแง่มุมอื่นๆ ในตัวกันและกัน
เราจะพบความจริงที่สวยงามยิ่งกว่า
คือเวลา, สำหรับความรักเช่นนั้น,
มักเป็นนิรันดร์
“ไม่ว่ายังไงท่านจะยังเป็นเจ้าชายสำหรับข้าเสมอ...อะลาดิน”
‘...มีนา’
อะลาดินยิ้มกว้าง
เผยลักยิ้มสดใส
รอยยิ้ม...ที่ไม่ได้เป็นของเขาคนเดียว
แต่อย่างน้อย, ก็สว่างไสว...
มากเกินพอ, สำหรับทุกคน
“ขอบใจนะ...”
‘วิลลี่...’
.
.
THE END.
.
.
.
(#หมายเหตุ จริงๆ รู้สึกว่าจีนี่จะอยู่ในตะเกียงมาหมื่นปีได้นะคะ แต่ว่าหมื่นปีอารยธรรมมนุษย์จะไม่ค่อยสอดคล้องกับเซ็ตติ้งในเรื่อง เลยปรับเหลือพันพอค่ะ แฮ่)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in