ต้อนรับช่วงท้ายปีกันหน่อย(ใช่แล้วเราดองไว้คั้งแต่ปีที่เเล้ว55)ความจริงแล้วช่วงนี้ตัวเราเคลียดมากเพราะเรียนอยู่อยู่ม.6แถมเรื่องนี้ก็เขียนดราฟไว้ตั้งเเต่ช่วงปิดเทอมกลัวว่าจะไม่ได้อัพก่อนที่อะไรๆมันจะยุ่งไปกว่านี้เอาเป็นว่ามาเขียนรีวิวคลายเคลียดจากการปั่นพอร์ตไม่เสร็จดีกว่า55
อาจจะต้องเรียกว่าเป็นรีวิวสั้นๆด้วยหนังที่เอามาเเนะนำ เนื้อเรื่องค่อนข้างมีรายระเอียดก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้ทุกคนอินแต่เอาเป็นว่าถ้าอ่านรีวิวแล้วลองไปดูตามแล้วกันเนาะเพราะหนังทุกเรื่องที่เราจะแนะนำต่อไปนี้อาจไม่ใช่เหนังเศร้าแต่เราคิดว่าเป็นหนังที่ทำให้เราร้องให้แล้วก็มีความสุขไปพร้อมๆกัน
ประมาณว่าดูจบแล้วแม้ว่าน้ำตาจะอาบแก้มแต่ก็ยังอยากจะยิ้มต่อไปอีกซักชั่วโมง เราประทับใจมาก
หลายๆเรื่องก็ดูซ้ำๆเกือบสิบรอบ เก็บไว้ดูฮีลตัวเองเหมือนโรคจิตที่เวลาน้ำตาไหลแล้วมันมีความสุข 55
secret life of walter mitty
เรื่องย่อ :ชายวัยกลางคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตซ้ำซากจำเจในห้องฟิล์มอันอุดอู้ ของบริษัทนิตยสาร Life
คราวซวยมาเยือนเมื่อบริษัทถูกซื้อไปแปรรูปเป็นนิตยสารออนไลน์ ทำให้ต้องมีการปฏิรูปองค์กร ซึ่งมาพร้อมการไล่พนักงานที่ไม่จำเป็นออก เรื่องราวดูยังไม่เลวร้ายเท่าไหร่นัก เพราะหน้าที่ของมิตตี้ คือการรับผิดชอบรูปของนักถ่ายภาพชื่อดังนามว่าฌอน (ฌอน เพนน์) ที่ทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นมาร่วม 16 ปี แต่ความซวยซ้ำซ้อนเกิดขึ้นเมื่อรูปที่ 25 ที่ต้องใช้ลงในหน้าปกนิตยสารฉบับสุดท้ายเกิดหายไป และมันเป็นความรับผิดชอบของมิตตี้ มิตตี้ต้องออกเดินทางตามหาฟิล์มหมายเลข 25 ซึ่งกำหนดอนาคตชีวิตการทำงานของเขา โดยไม่รู้เลยว่าการเดินทางครั้งนี้จะเปลี่ยนชีวิตเค้าไปตลอดกาล
รีวิว : เป็นหนังที่สร้างแรงบันดาลใจมากๆเรื่องนึงเราคิดว่าเป็นหนังที่ต้องดูซักครั้งในชีวิตเลยนะ ดูจบแล้วอยากลุกขึ้นมาทำอะไรซักอย่างเหมือนได้เพิ่มพลังชีวิตอะไรประมาณนั้น โดยตัวหลักของเรื่องเลยคือพระเอก มิตตี้ในความคิดเราเราว่าเค้าเป็นคนติสๆเข้าถึงยากเป็นคนมีจินตนาการที่สุดโต่งคิดนั่นนู่นนี่ในหัว เข้ากับคนไม่เก่งไม่กล้าทำอะไรใหม่ ทำงานที่เดิมมา16ปีเหมือนชีวิตเดินอยู่บนเส้นตรง จนกระทั้งต้องออกไปตามหาฟิล์มหมายเลขที่25 เป็นหนังที่พล็อตเรื่องฟังดูธรรมดามากแต่เนื้อเรื่องแปลกมาก55 เราว่าตัวหนังมันไม่ได้มีจุดพีคจุดเศร้าแบบทำให้ร้องไห้เลยนะแต่มันเป็นความปลาบปลื้มมากกว่า ตัวหนังพยายามให้เราซึมซับมันมาเรื่อยๆ จนตอนในตอนสุดท้ายน้ำตามันก็ไหล และตอนจบของหนังเรื่องนี้เราว่ามันดีมากมันดีจริงๆ ดีมากๆอยากให้ทุกคนได้ดู
ปล.ภาพในเรื่องสวยมาก และเพลงประกอบเพราะมากกกทุกเพลง
Biri Gal
เรื่องย่อ :เรื่องราวของเด็กหญิงที่ชื่อว่า “คุโด้ ซายากะ” สาวน้อยผู้ร่าเริง สนใจในแฟชั่น แก่นเซี้ยว และเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เธอไม่เคยตั้งใจเรียนในชั้นเรียนแม้แต่น้อย ทำให้เธอขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงที่ไม่เอาไหน และเรียนได้เป็นที่โหล่ๆของชั้นเรียนทุกคนต่างคิดว่าเธอเป็นเพียงแค่คนที่ไม่สามารถพัฒนาตัวเองขึ้นมาได้อีกแล้ว มีเพียงคนเดียวที่เข้าใจและให้กำลังใจเธออยู่เสมอ นั่นคือแม่ของเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะโดนเชิญผู้ปกครองอยู่บ่อยครั้ง แต่แม่ก็ไม่เคยที่จะดุด่าว่ากล่าวแม้แต่น้อย แม่ของเธอจะชอบพูดอยู่เสมอว่า ลูกสาวเป็นคนดี และภูมิใจในตัวลูกสาวจนกระทั่งวันหนึ่ง เธอได้ไปเรียนกับอาจารย์สอนพิเศษที่ชื่อว่า “สึโบตะ” อาจารย์คนนี้เป็นคนที่ทำให้ซายากะอยากเข้ามหาวิทยาลัยอันดับต้นๆของญี่ปุ่น และการได้ไปเรียนพิเศษครั้งนี้ก็ได้เปลี่ยนชีวิตของซายากะไปตลอดกาล
รีวิว : เรื่องนี้บางคนอาจจะไม่อิน เเต่ด้วยตอนนี้สถานการณ์ในชีวิตค่อนข้างใกล้เคียงบอกได้เลยว่าอินมาก ความจริงแล้วมันเป็นหนังให้เเรงบันดาลใจให้เราลุกขึ้นมาทำอะไรซักอย่าง ทำให้เราเชื่อว่าสิ่งที่คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้มันเป็นไปได้เสมอถ้าเราคิดจะทำ ในตัวหนังมีหลายฉากที่ทำให้เราอินจนน้ำตาไหล เพราะมีอุปสรรค์หลายอย่าง ตัวซากายะเองก็ยอมเเพ้กับมันหลายครั้ง แต่ทุกครั้งเธอก็ลุกขึ้นมาทำมันใหม่เสมอ และผู้คนรอบตัวของซากายะก็เป็นพลังบวก มันเหมือนกับว่าเราได้รับมันมาด้วย ทั้งคุณครู ทั้งแม่ ทั้งเพื่อน ดีจนแบบคิดว่าคงหามันไม่ได้ในชีวิตจริง5555ตัวหนังให้ข้อคิดในการพัฒนาตัวเองได้ดีมาก ถ้ากำลังท้อเราว่าก็เป็นหนังอีกเรื่องที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น
เรื่องย่อ : เป็นเรื่องราวอันน่าประทับใจของ แซม ดอว์สัน (ฌอน เพนน์) พ่อผู้ซึ่งมีปัญหาทางสมอง ของเด็กหญิงที่ชื่อ ลูซี่ (ดาโคต้า แฟนนิ่ง) เขาเลี้ยงดูเธอ จากความช่วยเหลือของกลุ่มเพื่อนที่ไม่ธรรมดาของเขา และเมื่อลูซี่มีอายุได้เจ็ดขวบ ซึ่งพัฒนาการทางปัญญาของเธอ กำลังก้าวล้ำหน้าผู้เป็นบิดา ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ถูกคุกคาม จากการเข้ามาแทรกของนักสังคมสงเคราะห์ ที่ต้องการดูแลลูซี่แทนแซม
รีวิว: เรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องที่ร้องหนักที่สุดเเล้ว ร้องตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบเรื่องเลย ร้องหนักแบบตาแดง หน้าบวม จนแม่ถามว่าเป็นบ้าหรอ แต่ก็ตอบไม่ได้เพราะสะอื้นอยู่ 55 อาจจะเพราะมีหลานเป็นโรคแบบนี้ด้วยมั้งมันเลยทำให้เราอินมาก เอาจริงๆเลยนะถ้าพูดตามที่เราคิดจริงๆโดยไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของตัวละคร ยังไงลูกก็ควรได้รับการดูเเล การสนับสนุนที่ดีกว่านี้ แต่ถ้ามองจากมุมมองที่อ่อนไหวของความเป็นมนุษย์เองเเล้วมันยากมากเลยที่จะทำทุกอย่างให้ถูกต้องโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของตัวละครเลย เป็นหนังที่กินใจมากๆๆๆๆ
ยิ่งตอนลูกกอดพ่อไม่ปล่อยนะสภาพน้องก็คือแบบนี้เลย
hidden figures
เรื่องย่อ :เรื่องราวที่ไม่ได้รับการเปิดเผยสุดทึ่งของแคทเธอรีน จอห์นสัน (ทาราจิ พี. เฮนสัน), โดโรธี วอห์น (ออคทาเวีย สเปนเซอร์) และแมรี่ แจ็คสัน (จาเนล โมเน่) สาวแอฟริกัน-อเมริกันผู้ชาญฉลาดที่ทำงานให้ NASA โดยทำหน้าที่เป็นผู้ระดมสมองในภารกิจหนึ่งที่ยิ่งใหญุ่สุดแห่งประวัติศาสตร์: การส่งมนุษย์อวกาศ จอห์น เกล็นน์ เข้าสู่วงโคจร ซึ่งความสำเร็จนี้จะสร้างความเชื่อมั่นของคนในประเทศให้กลับคืนมา โดยต้องเดินทางรอบ Space Race และเปลี่ยนแปลงโลก หญิงสาวผู้ชาญฉลาดได้ก้าวข้ามผ่านทุกเพศและทุกเชื้อชาติ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นต่างๆ คิดฝันการใหญ่
รีวิว ความจริงเรื่องนี้เราเพิ่งมารู้จักได้ไม่นานเพราะตามดูจาก #หนังเก่าที่ชอบ ในบทวิตเตอร์คือรู้สึกว่าตัวเองพลาดมากๆๆๆๆ เพราะมันดีมาก นอกจากจะเล่าถึงการเหยียดผิวในสมัยนั้นแล้ว มันยังมีอะไรบางอย่างที่ปลุกความเเข้งแกร่งของเราขึ้นมาอ่ะ อย่างกับยาอายุวัฒนะ 55 แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆนะ ดูเเล้วเหมือนจะอยากไปแตะดวงจันทร์ทำนองนั้นเลย อยากลุกมาสู้แบบว่าเท่มาก เป็นหนังที่เท่มาก และซึ้งมากมีหลายฉากเลยที่ทำเราน้ำตาคลอ จากการที่ตัวนางเอกเองโดนเหยียดต่างๆนาๆด้วย ขนาดที่อยู่ในองกรอย่างนาซ่าเเล้วนะ เรื่องนี้เราแนะนำมาก ยิ่งดูเรื่อง The help ต่อจะดีมากๆ
the blind side
เรื่องย่อ :สร้างมาจากหนังสือชื่อ The Blind Side: The Evolution of a Game* โดย Michael Lewis ซึ่งเป็นชีวิตจริงอันน่าทึ่งของ Michael Oher (ออกเสียงว่า ออร์) หนุ่มนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลอาชีพและครอบครัวบุญธรรมของเขา
ไมเคิล ออร์ เกิดและเติบโตในเมืองเม็มฟิส รัฐเทนเนสซี เป็นลูกคนหนึ่งในบรรดา 12 ของคุณพ่อที่เป็นแกงส์เตอร์และถูกยิงตาย กับคุณแม่ที่ติดโคเคนงอมแงม เขาโตมาในสภาพที่ไม่มีใครดูแล ไม่มีเสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย หรือสุขภาพอนามัยที่เด็กคนหนึ่งควรได้รับ ไม่มีใครเอาใจใส่ไมเคิลในเรื่องการศึกษา เขาย้ายโรงเรียน 11 ครั้งในรอบ 9 ปี ครูปล่อยให้เขาเลื่อนชั้นไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีใครอยากจ้ำจี้จำไชด้วย
รีวิว : เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ทัชใจเรามากๆ เป็นหนังชีวประวัติที่ดีมากนะแต่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ไม่รู้จะอธิบายยังไงอ่ะ สำหรับเรามันเหมือนเป็นหนังที่ถ้าดูตอนหมดกำลังใจก็จะรู้สึกมีหวังขึ้นมา เหมือนมันจุดประกายเล็กๆว่าชีวิตมันคงจะไม่ได้เเย่ไปตลอด ซักวันมันก็คงจะมีช่วงเวลาที่เป็นของเราจริงๆงี้
ความจริงแล้วมีอีกหลายเรื่องเลยไว้ครั้งหน้าจะมาแนะนำหนังที่เราชอบอีกนะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in