เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
johndoroommoonwnt
mark lee's problem





  • ผมสมรสกับเธอเมื่อสิบปีก่อนไม่ใช่เพราะรัก 
    ไม่ใช่เพราะเงินทองแต่เพราะลูกในท้อง ทำให้ต้องรีบเร่งงานวิวาห์

    ยอมรับโดยตรงว่าผมไม่ใช่พ่อและสามีที่ดี ขาดตกบกพร่องในหน้าที่จนไม่อาจนับ เราไม่ใช่ครอบครัวที่อบอุ่น แม้ไม่มีการทะเลาะกันในบ้านแต่ก็รู้ดีว่ามันหนักหนากว่านั้น เนิ่นนานหลายปีกระทั่งหย่าร้างกับภรรยา ผมจึงได้สิทธิ์เลี้ยงดูลูกชายอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องร้องขอต่อศาลใด เป็นความพอใจทั้งสองฝ่ายที่ตกลงกันหลังแยกทาง เงินจำนวนหนึ่งแลกกับชีวิตลูกชายที่จะตกอยู่ในความดูแลของผม โชคดีที่แม่ของเขาเลือกอย่างแรกแทนที่จะเป็นอย่างหลัง ท้ายที่สุดแล้วเด็กชายตาน้ำข้าวถึงได้อยู่ด้วยกันมาตลอดจนกระทั่งอายุสิบขวบ

    ผมให้ทุกอย่างที่หามาได้ ของเล่นที่เด็กวัยเดียวกันกับเขาพิศมัย หรือไม่ก็รองเท้าคู่ใหม่ที่เขาโปรดปราน มันเป็นเพียงของที่ดึงดูดรอยยิ้มเขาไว้เพียงชั่วคราว เมื่อผมก้าวขยับเข้าใกล้ก็กลายเป็นตัวเองที่ทำลายรอยยิ้มนั้น

    หรือบางที อาจเป็นเพราะผมเองที่ไม่ใช่พ่อที่ดีพอให้เขา

    เราตกลงกันว่าจะหาพี่เลี้ยงสำหรับดูแลเขาในยามที่ผมไม่อยู่ มาร์คไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกมาว่าตกลง ผมเปิดรับสมัครในทุกช่องทาง คัดเลือกโดยลูกชายเป็นส่วนใหญ่ แต่เพราะรู้ว่าจุดประสงค์ที่เข้าหาผมคืออะไร มาร์คเลยไม่พอใจพี่เลี้ยงที่ผ่านมาเลยซักคน  

    วุ่นวายไปหลายเดือน ทะเลาะกันจนโดนปิดประตูใส่หน้าไปหลายครั้ง สุดท้ายแล้ว เด็กชายก็ยื่นข้อเสนอข้อใหม่มาให้  

    ข้อเสนอที่ว่านั้นคือพี่เลี้ยงคนใหม่ ต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น

    พอเป็นแบบนี้ กลายเป็นผมเองที่ดูหมดหวัง เตรียมทำใจยอมรับและทิ้งทุกอย่างเพื่อให้เวลากับเขา กระทั่งสายของวันถัดมา พี่เลี้ยงคนใหม่ก็ปรากฎตัวที่ประตูบ้าน ผมสีน้ำตาลแนบกับใบหน้ายามมันเปียกไปด้วยเหงื่อ แก้มสองข้างแดงปรั่งเมื่อประทะกับอุณหภูมิสูง น่าประหลาดใจที่แม้ในวันที่อากาศร้อนจัดเขาก็ยังยิ้มออกมาอย่างสดใสและทักทายอย่างอารมณ์ดี

    "สวัสดีครับ ที่นี่ใช่บ้านคุณจอห์นนี่ไหมครับ"

    "ผมจอห์นนี่"  ดวงตาของเขาเบิกขึ้นเล็กน้อย ไม่นานคนตรงหน้าก็ยืดหลังตรง ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางๆออก
    มาแทนที่จะเป็นยิ้มกว้างแบบในทีแรก

    "ผมโดยอง มาจากเว็บสมัครงานครับ"

    "ผมทราบ เคยเห็นคุณในรูปที่ยื่นมาพร้อมกับใบสมัคร"  แค่ในยามนี้เขาดูต่างออกไป ผมยาวกว่าในรูปถ่ายสองนิ้ว แถมแก้มทั้งสองข้างก็อวบอูมกว่า  เขาตัวสูงเท่าหัวไหล่ มองดูแล้วเหมือนเด็กชายมากกว่าชายหนุ่ม

    "เข้ามาข้างในก่อนสิ" ผมเอ่ยออกไป ได้รอยยิ้มจางๆเป็นการตอบรับก่อนจะเห็นเงาบนพื้นเดินตามหลังมาอยู่ไม่ไกลตา 

    "คุณเรียนอยู่หรือเปล่า"

    "อ่า ผม..เรียนไม่จบครับ"

    "แล้วตอนนี้ว่างงานหรอ หรือทำงานพิเศษอย่างอื่นอยู่"

    "ผมมีงานที่ร้านอาหารตอนกลางคืนครับ ตั้งแต่หนึ่งทุ่มจนถึงหลังเที่ยงคืน"

    "ทำทุกวันหรือเปล่า"

    "เสาร์-อาทิตย์ครับ" เขาว่าเมื่อเลื่อนเก้าอี้นั่งลงในฝั่งตรงข้าม ยืดตัวตรงอย่างเช่นเคยราวกับคิดว่าผมจะรับเขาเข้าทำงานเพราะประเมินจากบุคลิก  

    "คุณหยุดวันไหน" เขานิ่งเงียบ มีความกังวลซ่อนอยู่ในแววตาคล้ายไม่กล้าเอ่ยคำตอบ เนิ่นนานจนผมเริ่มอึดอัดจึงเอ่ยโดยไม่อาจทนรอ

    "ไม่มีวันที่หยุดหรอ แปลว่าคุณก็ไม่ได้พักผ่อนน่ะสิ"

    "ก็ได้พักผ่อนอยู่บ้างครับ"

    "ผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าคุณดูแลลูกผมได้" ผมว่าเสียงเรียบ ใช้แววตามองประเมินเขาอย่างไม่ปิดบัง 

    "จะไม่กลายเป็นว่าทำให้ลูกชายผมลำบากกว่าเดิมใช่ไหม ถ้าสุขภาพคุณไม่พร้อมขึ้นมา" 

    "..."

    "ออกจากงานเก่าได้ไหม"

    "ครับ?"

    "ผมจ่ายให้มากกว่าเดิมสองเท่า ให้คุณพักที่นี่ ห้องเดียวกับลูกชายผม"

    เขาไม่ตอบคำถาม แต่ผมก็อนุมานกับตัวเองว่าเขาตกลงโดยใช้หลักการเดียวกันกับที่ใช้กับลูกชายในปกครอง

    "เริ่มงานพรุ่งนี้เช้า รบกวนคุณมาก่อนเจ็ดโมงเพราะลูกชายผมต้องรีบแต่งตัวไปโรงเรียน"








             ผมรู้ว่ามาร์คนิสัยเหมือนใครก็ตอนที่เสียงอะไรบางอย่างแตกกระจายในห้องอาหาร เมื่อสบกับดวงตากลมผู้สร้างความเสียหายถึงได้รู้สึกคล้ายว่าตัวเองกำลังส่องกระจก ไม่ค่อยแปลกใจที่มาร์คแสดงกิริยาแบบนั้น  คล้ายกับเขากำลังสร้างบททดสอบวัดใจ หรือไม่ก็เป็นการกวนประสาท เราจ้องตากันในความเงียบ เด็กชายปัดจานข้าวทิ้งระหว่างมื้ออาหาร อาเจียนออกมาจนพี่เลี้ยงคนใหม่ใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม โดยองปิดปากอุทานก่อนช้อนลูกชายผมแนบอก มาร์คล้มลงนอนแผ่กับพื้น เบิกตากว้างก่อนชักเกร็ง มีสายตาเรียบนิ่งของผมทอดมองอย่างเหนื่อยหน่าย 

    "โรคเรียกร้องความสนใจ"

    "คุณ— "

    "เขาชอบทำแบบนี้เวลาได้พี่เลี้ยงคนใหม่" สิ้นประโยคก็คล้ายลูกชายได้รับการรักษา เขาหยุดนิ่งไม่ไหว
    ติง จ้องมองกลับมาก่อนขยับตัวลุกนั่ง 

    "เป็นแบบนี้ ถึงไม่ค่อยมีใครทนได้นานซักคน"

    "แม่ไง"

    "แล้วตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหนล่ะ" ผมถามออกไป แต่หากย้อนเวลากลับไปได้จะไม่ถามแบบนั้น แววตาของเด็กชายไหวสั่น เขาลุกขึ้นยืนเต็มเท้า เดินกระทืบย่ำเสียงดังก่อนปิดประตูใส่หน้าอย่างที่ชอบทำเวลา
    ทะเลาะกัน

    "โดนให้ท้ายจนเคยตัว"

    "อาจจะเสียใจจริงๆก็ได้นะครับ" โดยองเอ่ยเสียงเบา เขายังคงไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงเปลี่ยนพี่เลี้ยงไม่ต่ำกว่าห้าคนในหนึ่งเดือน  







    ไม่คิดว่าจะอดทนขนาดนี้

           ในทีแรก ผมคิดว่าเขาคงไม่ต่างจากใครๆ เท่าที่ประเมินด้วยสายตา เขาดูอ่อนแอกว่าลูกชายตัวดีของผมด้วยซ้ำ ข้อดีที่มองเห็นเป็นอย่างแรกของโดยองคือเขาเป็นคนใจเย็น นิ่มนวล และประนีประนอมเก่ง ทุกครั้งที่เกิดศึกในบ้าน จะเป็นพี่เลี้ยงโดยองเสมอที่คอยห้ามศึกนั้น  เขาไม่เข้าข้างผมหรือมาร์ค ไม่บอกว่าใครเป็นฝ่ายชนะแต่จะตักเตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม อบรมลูกชายผมเสียจนนึกว่าเป็นลูกแท้ๆของเขา หนึ่งเรื่องที่ต้องเอ่ยปากชมบ่อยครั้งคือฝีมืออาหารของโดยองดีเกินคาด เด็กชายที่ว่ากินยากก็ยังเก็บกวาดอาหารเสียจนหมดจาน แม้ไม่ได้จ้างเขาให้มาเป็นพ่อบ้าน แต่ดูเหมือนงานนั้นจะกลายเป็นผลพลอยได้ที่ดีทีเดียว

    "อยากเติมข้าวหรือเปล่าครับ"

    "ไม่" เด็กชายเอ่ยห้วน เบือนหน้าหนีจากพี่เลี้ยงของตัวเองเมื่อสิ้นวลี ทว่าเมื่อสบตากับผมเขาถึงได้ชะงักไปชั่วขณะ

    "พ่อสอนว่ายังไงเวลาพูดกับผู้ใหญ่"

    "พี่โดยองยังไม่ใช่ผู้ใหญ่นี่"

    "เขาโตกว่า" ผมตอบเรียบนิ่ง รวบช้อนส้อมไว้ข้างจานก่อนจะหันไปคุยกับพี่เลี้ยงสมัครเล่น "หัดเตือนบ้าง ถ้าดื้อก็ตีได้เลย ผมอนุญาต"

            นั่นเป็นคำขู่ที่พ่อแม่ทุกคนเคยพูด ผมเองก็เหมือนกัน เพียงแต่ไม่เคยลงมือด้วยตัวเองเลยซักครั้ง ไม่แน่ใจว่าผมสอนเขาผิดหรือไม่หากเทียบกับพ่อแม่คนอื่น เพราะแบบนั้นถึงได้เฝ้าโทษตัวเองเสมอว่าไม่ใช่บิดาที่ดีพอให้มาร์คได้









           ผมเชื่อว่ามินฮยองไม่ใช่เด็กมีปัญหา เพียงแต่เขาพยายามทำทุกอย่างที่คิดว่าเด็กมีปัญหาสมควรที่จะทำ  อาทิตย์ก่อน อาจารย์ปกครองโทรตามผมไปพบที่โรงเรียน แต่เพราะไม่สามารถทิ้งงานตรงหน้าไปได้ถึงได้โยนหน้าที่นั้นไปให้พี่เลี้ยงคนใหม่ โดยองกลายเป็นพี่ชายจำเป็นยามถูกเรียกพบผู้ปกครอง ได้ความว่ามีปัญหากันเพียงเพราะล้อเรื่องสถานะของผมและภรรยาคนเก่า มันเกิดขึ้นซ้ำๆ ยอมรับว่าผมจนหนทาง ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร ในเมื่อเรื่องทั้งหมดไม่ใช่เรื่องโกหก 

    "นับวันยิ่งก้าวร้าว"

    "ไม่หรอกครับ" ผมขมวดคิ้ว  เงยหน้าจากเอกสารจ้องมองคนที่ยืนกลางห้อง  วางปากกาประสานนิ้วมือสองข้างเข้าด้วยกันก่อนพักมันไว้บนโต๊ะ 

    "เรื่องที่เด็กคนนั้นล้อเป็นเรื่องจริง ฉันเลิกกับเมียแล้ว ไม่ใช่ว่าเด็กนั่นปั้นน้ำเป็นตัวเสียหน่อย"

    "ผมทราบครับ แต่สำหรับเขา มันคงเป็นเรื่องจริงที่เจ็บปวด" 

    "ยังไงซักวัน เขาก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้อยู่ดี" ผมเอ่ยเสียงเรียบ ไม่วันใดก็วันหนึ่งที่เขาเติบโตขึ้น เรื่องราวทุกอย่างคงกลายเป็นเรื่องปกติของเขาเหมือนที่ผมรู้สึกในตอนนี้

    "จริงๆแล้ว ผมแค่จะบอกว่ามาร์คพยายามปกป้องตัวเองจากเรื่องพวกนั้น"

    "ด้วยการไปทำร้ายร่างกายคนอื่น?"

    ผมตั้งคำถาม ผิดหวังนิดหน่อยที่พี่เลี้ยงตรงหน้าดูจะไม่เข้าใจ เขาเม้มริมฝีปาก ถอนหายใจคล้ายเหนื่อยอ่อน ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะผมหรือลูกชาย ทว่าเมื่อแผ่นหลังนั้นเตรียมจะหายไปจากบานประตูถึงได้รู้คำตอบว่าแท้จริงแล้วเขาเหนื่อยหน่ายเพราะผมเอง 

    "คุณอาจจะลืมคิดเรื่องนี้ไป แต่ผมแค่อยากบอกไว้ว่าคนอื่นที่คุณว่า เขาทำร้ายหัวใจลูกชายคุณก่อนนะครับ"

    หรือบางที ผมอาจจะประเมินเขาต่ำไป




     



    พวกเขาฉลาด 

    ผมหมายถึงมาร์คและพี่เลี้ยงคนใหม่ โดยองรู้ว่าตัวเองควรปฏิบัติตัวแบบไหนยามอยู่กับเด็กชายมินฮยองเพียงลำพัง เขาโอนอ่อนเสมอเมื่อลูกชายก้าวร้าว ท่าทีใจเย็นและแววตาอ่อนโยนกำราบมินฮยองให้พ่ายแพ้ ไม่ในนาทีนั้นก็ไม่กี่ชั่วโมงถัดมาจะเห็นความสำนึกผิดเจือปนอยู่ในแววตา ท้ายที่สุดไม่นานเกินรอก็กลายเป็นเด็กชายที่ต้องเดินกลับไปหาพี่เลี้ยงของตัวเองอย่างจำยอม

    เช้าจวบเย็น พี่โดยองคือคำเดียวที่ผมได้ยินจากปากเขาบ่อยๆครั้ง ไม่ว่าจะกินหรือนอน พี่เลี้ยงคนโปรดจะต้องอยู่เคียงชิดใกล้ เขากลายเป็นเด็กดีเมื่อมีพี่เลี้ยงข้างกาย ทว่าพออยู่ใกล้ผมครั้งใดก็กลับกลายเป็นลูกชายตัวแสบเหมือนเดิม

    "ไหน พี่ขอดูสมุดพกหน่อย" ผมชะงักเท้าที่กำลังเดินผ่านห้องลูกชาย เสียงพี่เลี้ยงเล็ดลอดออกมาจากประตูไม้ที่ปิดไม่สนิท เขานั่งบนเก้าอี้บุหนัง พับเสื้อผ้าให้ลูกชายในขณะที่เจ้าตัวกำลังนั่งเล่นรถบังคับอยู่กับพื้น  

    "มาร์คครับ—"

    "เทอมนี้ไม่ได้ที่หนึ่ง" เสียงเครื่องยนต์จากของเล่นดังเป็นระยะ โดยองหยุดพับผ้า แต่มาร์คไม่ได้หยุดเล่นรถบังคับในมือ แววตาของเขาหมองลง แม้พี่เลี้ยงไม่ทันสังเกตเห็นแต่ในมุมที่ผมมองอยู่ตรงนี้กลับชัดเจนทุกอย่างแม้กระทั่งความรู้สึก

    "ถ้าไม่ได้ที่หนึ่งจะไม่ได้เจอแม่"

    "พ่อบอกแบบนั้นหรอครับ" เด็กชายพยักหน้า กำรีโมทบังคับไว้ในมือในขณะที่น้ำตาหยดลงพื้นลามิเนต 

    "พี่โดยองไม่บอกพ่อได้ไหม ช่วยโกหกได้หรือเปล่า"

    "ช่วยโกหกไม่ได้ครับ" เขาว่า วางกางเกงตัวโปรดของลูกชายไว้บนเตียงก่อนทรุดกายนั่งลงในระดับเดียวกัน "เอาแบบนี้ไหม เดี๋ยวพี่ช่วยคุยกับคุณพ่อให้ดีไหมครับ"

    "พ่อไม่ยอมหรอก" เด็กชายย้ำ น้ำเสียงสั่นเล็กน้อยยามสูดน้ำมูก "พ่อบอกว่าถ้าไม่ได้ที่หนึ่งจะไม่ได้เจอแม่"

    เขาย้ำอีกครั้ง ผมจำได้ว่าพูดประโยคนั้นไว้เนิ่นนาน นานจนมันเริ่มเลือนลางในความทรงจำ ทว่าลูกชายผมกลับจำได้แม่นมั่นและท่องอย่างขึ้นใจคล้ายมันฝังสลักลึกเกินจะลืมเลือน 

    หรือบางที มาร์คลีไม่ใช่เด็กมีปัญหา แต่อาจเป็นผมเองที่เป็นปัญหาให้กับเขามาโดยตลอด 

    เป็นผมเองที่สร้างบาดแผลให้เขาโดยไม่รู้ตัว 










    ฝันของมาร์คเป็นจริงเมื่อได้พบหน้าเเม่ในสายของวันจันทร์

    ผมยกวันนั้นทั้งวันให้เป็นวันของเขา เที่ยวเล่นจนสำราญ กินเค้กไอติมอย่างที่ใฝ่ฝันกับแม่ของเขาก่อนจะกลับบ้านมาหลับในอ้อมกอดของพี่เลี้ยงด้วยความเพลียจากการเที่ยวเล่นตลอดวัน มินฮยองกลายเป็นเด็กดียามกลับสู่อ้อมกอดพี่เลี้ยง ทว่าครั้งใดที่อยู่กับผมก็กลายเป็นเด็กดื้อคนเดิมที่ไม่เคยเชื่อฟังผมซักครั้ง ไม่เชิงน้อยใจ เพียงแต่เป็นความรู้สึกขุ่นในอกที่ไม่ได้รับความรักตอบกลับได้เท่าคนรอบตัวของเขา เสียงที่พร่ำเรียกพี่เลี้ยงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันกลายเป็นเสี้ยนหนามตำใจตลอดเวลาราวกับโดนแย่งความรักไปทีละน้อยนิด นานวันผมกลับแยกไม่ออกว่าตัวเองต้องการความรักจากใคร

    ระหว่างลูกชาย หรือพี่เลี้ยงคนโปรดคนนั้น

    "หลับไปแล้วหรอ"

    "ครับ เที่ยวสนุกมาทั้งวันก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา"

    "ใกล้วันเกิดเขาแล้ว" ผมเอ่ยราบเรียบ คิดไม่ตกว่าจะให้สิ่งใดเป็นของขวัญระหว่างของเล่นชิ้นใหม่หรือโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารอย่างเคย "เด็กวัยนี้เขาอยากได้อะไร"

    "ของเล่นล่ะมั้งครับ ตามประสาเด็กๆ"

    "ช่วยเลือกได้ไหม" เขาเลิกคิ้ว เม้มริมฝีปากคล้ายประหม่าแต่ก็พยักหน้าแล้วขยับก้าวเข้าใกล้ 
    หน้าจอไอแพดถูกเปิดค้างในเว็บของเล่นที่ผมติดตามเอาไว้ มาร์คลีไม่ค่อยถูกใจโมเดลสะสม เขาให้ใจหุ่นยนต์และรถบังคับเป็นส่วนใหญ่ และดูเหมือนว่าพี่เลี้ยงข้างกายจะรู้ใจมินฮยองดีกว่าใคร เขาถึงเลือก
    หุ่นยนต์ไอรอนแมนตัวใหม่เป็นของขวัญวันเกิดปีนี้ 

    "ถ้าซื้อแล้วนายเอาไปให้เขาได้ไหม"

    "ทำไมล่ะครับ"

    "ถ้าเป็นพี่โดยองให้ เขาอาจจะชอบมากกว่า"

    "ไม่หรอกครับ" เขาตอบ "ถ้าเป็นของขวัญที่พ่อให้ก็ต้องดีกว่าอยู่แล้ว"

    "งั้นพรุ่งนี้หลังจากส่งลูกที่โรงเรียนแล้วไปซื้อของขวัญกันไหม"

    "ครับ?" เขาเอ่ยเสียงหลง เงยหน้าสบตาก่อนพบว่าเราต่างอยู่ในระยะที่ใกล้กันมากเกินไป ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจและใกล้จนหัวใจที่เคยเงียบสงบกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง เสียงเข็มนาฬิกาเดินย้ำวินาทีที่เราต่างขยับเข้าใกล้ เป็นโดยองที่หลุบตาลงต่ำและเป็นผมที่จ้องมองพี่เลี้ยงคนโปรดด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ไม่ใช่ความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นยามมีรักครั้งแรก ผิดแปลกจากความรู้สึกที่มีให้ผู้หญิงคนไหน 
    และกว่าจะรู้ตัวว่ารู้สึกอย่างไรก็ตอนที่เขาเคลื่อนขยับออกห่างพร้อมผิวเนื้อที่แดงก่ำ  เสียงเก้าอี้ทำงานลั่นเอี๊ยดอ๊าดเมื่อพี่เลี้ยงยืนเต็มความสูง แผ่นหลังบางหายไปจากสายตาเมื่อประตูห้องทำงานปิดลงดังลั่น


    ผมไม่แน่ใจ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่โดยองเข้ามาเติมเต็มส่วนเว้าเเหว่งในชีวิต 

    วินาทีที่รับเขาเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงของลูกชายหรือเป็นโมงยามที่เราได้ใช้เวลาร่วมกัน










    talk : ยังไม่จบนะเตง ขอเวลาแต่งต่ออีกครึ่งปี























Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
malin108 (@malin108)
น้องเปนพี่เลี้ยงที่ดีจังเลย สนใจเปนแม่เลี้ยงบ้างมั้ยคะ
miintare (@miintare)
ม...ไม่ครึ่งปีได้ไหมคะ อยากอ่านต่อ ㅠㅠㅠㅠ
คุณพี่เลี้ยงน่ารัก ความเป็นกาวใจของพ่อลูกที่มีีปัญหาทั้งคู่ ตอนอ่านก็เอาใจช่วยไปด้วยว่าแด๊ดจอห์นจะอ่อนโยนขึ้นเมื่อไหร่ ฮือออ น่ารักมากเลย
inkarth (@inkarth)
โห บรรยายเห็นภาพมากๆเลยค่ะ ความคิดของจอห์นคือเราอ่านและจุกในอกเลย เนื้อเรื่องมันไม่หวือหวาและก็ละเมียดละไมมากเลยค่ะ ชอบนะคะ??