เขายกนิ้วขยับแว่นบนสันจมูก ก่อนปิดหน้าสมุดบันทึกส่วนตัวที่ลอกหมายกำหนดการฉบับจริงของกรมวัง จิบกาแฟจากแก้วกระเบื้องสีขาวเป็นครั้งสุดท้าย แล้วลุกขึ้นจัดสูทไหมดำให้เข้าที่ นาฬิกาบนผนังชี้เข็มที่ตีสี่สามสิบเจ็ดนาที ในหัวคำนวณระยะเวลาและขั้นตอนต่าง ๆ ตามรายงานบนกระดาษที่เพิ่งอ่านไป เขาเดินตรงไปยังประตูไม้โอ๊กใหญ่ เคาะนิ้วในถุงมือสีขาวหนัก ๆ บานประตูเปิดออกอย่างรวดเร็วราวแผ่นไม้หนาทึบไร้น้ำหนัก ชายหนุ่มที่รออยู่สามคนโค้งศีรษะให้ เขาก้าวออกจากห้องและรับกระเป๋าหนังจากผู้ช่วยคนหนึ่ง ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินไปตามโถงหินอ่อนสีดำทะมึน อากาศภายในเย็นเยียบแม้จะอยู่ในกลางหน้าร้อน เสียงรองเท้าหนังดังกึกสะท้อนไปมาตามระยะทาง เสมือนเสียงเส้นเอ็นเทพไททันลั่นอยู่ใต้เทือกผา
นี่คือวันที่ยาวนานของสมุหราชวังซีเอนเทีย
และวันสำคัญของอาณาจักรลูซิส
เขาตื่นตั้งแต่ตีสองหลังเข้านอนตอนสี่ทุ่มคืนวาน ต่อด้วยเข้าประชุมเตรียมความพร้อมกับบรรดาเจ้าพนักงานกรมวังตอนตีสองครึ่ง โทรศัพท์ติดต่อกับฝ่ายต่าง ๆ จนถึงตีสาม และตรวจความเรียบร้อยทุกอย่างในพระราชวังหลวงจนตีสี่ยี่สิบ หลังจากนั้นจึงให้เวลาตัวเองพักหายใจสักสิบห้านาทีสำหรับเตรียมกระโจนเข้าสู่ห้วงแห่งความโกลาหลของพระราชพิธีและพิธีกรรมต่าง ๆ ตลอดวัน
ซากปรักหักพังของอินซอมเนียยังซ่อมแซมไม่แล้วเสร็จแม้จะเร่งมือมาตลอดหนึ่งปีครึ่ง เรื่องนี้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญประการหนึ่งที่เขาต้องใส่ใจ แต่เหนืออื่นใด บรรดาบุคลากรต่าง ๆ ที่เพิ่งกะเกณฑ์เข้าสู่ราชสำนักแทบทั้งหมดล้วนแต่เป็นสามัญชนที่อยู่นอกแวดวงขนบธรรมเนียมต่าง ๆ บรรดาผู้รู้ผู้อาวุโสก็ล้วนล้มหายตายจากไปในศึกกับจักรวรรดิเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน แม้นายพลคอร์จะเคยรับใช้กษัตริย์รัชกาลก่อน แต่ก็เป็นเพียงข้าราชการฝ่ายหน้า ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพิธีกรรมน่าปวดหัวเหล่านี้แต่อย่างใด การตระเตรียมพิธีบรมราชาภิเษกจึงตกหนักมาที่เขาแต่เพียงผู้เดียว ไม่ว่าจะจัดการเตรียมพิธีการต่าง ๆ หรือกระทั่งวางแผนวิเทศสัมพันธ์ติดต่อกับนานาประเทศ รวมถึงข้าราชการในพระราชอาณาเขต เพื่อให้เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ราชบัลลังก์ในตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา
แค่คิดเขาก็อยากกลับบ้านไปต้มมิโสะสาหร่ายกินกับข้าวเงียบ ๆ คนเดียวแล้ว
...
“เฮ้ ท่านสมุห์ฯ...” เสียงร้องเรียกลั่นโถงกลางของสำนักพระราชวัง เขาคิดเตรียมคำตอบไว้ทันทีตั้งแต่ยังไม่ได้ยินประโยคถัดไป “...จะให้พวกเราเอายานไปจอดที่ไหนกัน พิธีจะเริ่มเก้าโมงนี่แล้ว จะให้ลอยอยู่กลางอากาศแล้วกระโดดร่มลงมาเซอร์ไพรส์งั้นเหรอ?”
“ขออภัยในความไม่สะดวกด้วยนะครับ ผู้พันบิ๊กส์” เขาสูดหายใจลึก โค้งศีรษะทักทายชายวัยกลางคนในเครื่องแบบสีขาว ตัวแทนจากสาธารณรัฐกราเลียที่เพิ่งรวมตัวขึ้นใหม่หลังการล่มสลายของจักรวรรดินิลฟ์ไฮม์เมื่อสิบเอ็ดปีก่อน เขาลอบส่งสายตามองหาเพื่อนคู่หูชุดแดงที่มักมาด้วยกันเสมอ แต่ก็ไม่พบวี่แวว “พวกเราจัดที่จอดยานสำหรับราชอาคันตุกะไว้ที่เขตแฮมเมอร์เฮด และมีรถรับส่งพร้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอด…”
“อา...” เสียงอีกฝ่ายอ่อนลง แต่ยังคงแข็งขืนอยู่ ท่าทีเปลี่ยนมาใช้ไพ่คนรู้จักมักจี่ ทำทีเป็นเดินเข้ามากระซิบใกล้ ๆ อย่างคุ้นเคย “แหม่ ตั้งแต่เป็นสมุหราชวังนี่เคร่งขรึมขึ้นนะคุณอิกนิส คือท่านเจ๊...เอ่อ...ท่านประธานาธิบดีไม่ค่อยชอบนั่งรถเท่าไหร่น่ะ ถ้ายังไงช่วยซิกแซกให้พวกเราหน่อยซี”
เขาผ่อนลมหายใจช้า ๆ แผ่นหลังรู้สึกถึงการจับจ้องของผู้ช่วยอีกสามคนตลอดเวลา แต่แน่นอน...สมุหราชวังอย่างเขาย่อมต้องธำรงตนให้เป็นแบบอย่างอย่างดีที่สุด--ในฐานะข้าราชบริพารรับใช้ใกล้ชิด อีกทั้งความรู้สึกต่อต้านอาณาจักรนิลฟ์ไฮม์ยังไม่จางไปจากใจชาวลูเซียนนัก เขาควรเว้นระยะห่างกับเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของอีกรัฐในที่สาธารณะน่าจะเหมาะสมกว่า
อาราเนียเองคงเข้าใจ หรือไม่...เมนูเนื้อปลากะพงอบมะเขือเทศไลเดนน่าจะพอทุเลาปัญหาระหว่างประเทศในมื้อส่วนตัวได้บ้าง
“ตอนนี้พื้นที่ในอินซอมเนียใช้เป็นพื้นที่ของพระราชพิธี อีกอย่าง...ถ้ากระเบียดกระเสียนจัดให้ เกรงว่ากระบวนต้อนรับท่านประธานาธิบดีไฮวินด์จะขลุกขลักไม่สมเกียรติและมีปัญหาเรื่องการรักษาความปลอดภัย ต้องขออภัยและขอรบกวนให้ผู้พันนำยานไปจอดในจุดที่เตรียมไว้ แล้วพวกเราจะดูแลคณะ
ของกราเลียเป็นอย่างดีครับ คุณรีเวลลี...รบกวนติดตามท่านผู้พันไปที่แฮมเมอร์เฮดแล้วจัดการดูแลให้ดีที่สุด อย่าให้มีอะไรขาดตกบกพร่อง ตอนนี้ผมคงต้องเสียมารยาทขอตัวไปจัดการเรื่องพระราชพิธีก่อนนะครับ” รอยยิ้มและน้ำเสียงเป็นทางการชนิดไม่รั้งรอคำตอบเป็นท่าลิมิตเบรกที่ใช้ได้ผลเสมอ
เขาทิ้งผู้ช่วยไว้ก่อนเดินแยกมากับเจ้าหน้าที่ชายอีกสองคน มุ่งหน้าต่อไปยังกรมองครักษ์ พันเอกบิ๊กส์เป็นแค่น้ำจิ้มในวันที่ยาวนานนี้ ยังมีอีกหลายคณะที่ไม่อาจใช้ความสนิทสนมเป็นเครื่องมือเจรจา กลเม็ดเด็ดพรายและค่าประสบการณ์ที่สะสมมาตลอดสิบกว่าปีคงต้องควักออกมาใช้ให้หมดในวันนี้กระมัง
สงสัยซุปมิโสะจะไม่พอ...อาจต้องมีเนื้อปลาทราเวลลีย่างเกลือแกล้มสักหน่อย
“คุณอิกนิสครับ...” คราวนี้เป็นเสียงเด็กหนุ่มที่คุ้นเคย แต่เขาไม่คาดหวังว่าจะได้พูดคุยกับอีกฝ่ายในวันนี้ อย่างน้อย...ก็ไม่ใช่คำขานเรียกชื่อต้นแบบนี้
“ว่ายังไงสิบเอกเฮสเตอร์”
เขาหันไปยืนตรง ไขว้มือไว้ด้านหลัง ส่งยิ้มเย็นระดับเดียวกับผนังหินอ่อนรอบข้างขณะมองชายหนุ่มผมสีน้ำตาลหม่น สูทสีดำดูโคร่งกว่ากรอบร่างของเจ้าตัว
“เอ่อ คุณ... อ่า…ขอประทานโทษครับ ผมหมายถึงท่านสมุหราชวังครับ...ผมมีเรื่องจะรายงาน ขอรบกวนเวลาสักครู่ได้มั้ยครับ?” เขาสัมผัสได้ถึงความประหม่าของเด็กหนุ่มผู้ที่อายุเพิ่งจะถึงเกณฑ์เข้ารับราชการไม่นาน ความขัดสนในช่วงที่ผ่านมาทำให้ราชสำนักไม่มีเวลาตระเตรียมเรื่องพิธีการให้พร้อมกว่านี้ เป็นเขาต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษทัลค็อต
“ว่ามาเลยสิบเอกเฮสเตอร์ ผมยังมีเรื่องต้องไปจัดการต่อ”
“อ้อ เอ่อ...ครับ คือว่า...จะแจ้งท่านว่ากรมพระแสงทูลเชิญกล่องบรรจุพระแสงมายามาถึงแล้วครับ ตอนนี้ตั้งอยู่ในห้องเก็บของฝั่งตะวันตกของท้องพระโรงครับ...”
“แล้ว…?” เขาเลิกคิ้วเฝ้ารอฟังว่ามีปัญหาใดที่ตนเองต้องแก้ไข
“อา...ไม่มีอะไรแล้วครับ ผม...มาแจ้งท่านเท่านี้ครับ” เด็กหนุ่มสิ้นกระแสคำพูดทว่าใบหน้ายังอมทุกข์ไม่จาง เขาตัดสินใจว่าหากรั้งรออยู่จนตกเย็นก็คงไม่มีทางได้รู้เรื่องราว
“พวกคุณไปรอที่หน้าห้องท่านสมุหราชองครักษ์ก่อน เดี๋ยวผมตามไป” เขาหันไปสั่งผู้ติดตาม ทั้งสองพยักหน้ารับและล่วงหน้าไปก่อน เขาหยุดรอให้ระยะห่างพอกั้นเสียงได้จึงหันกลับมาหาเด็กหนุ่ม “เป็นอะไรไปทัลค็อต?”
“คุณอิกนิสครับ...” จู่ ๆ ดวงตาสีเทาที่เงยขึ้นมองเขาก็เริ่มชื้น “ผม...ผมทำไม่ได้หรอกครับ...” เสียงสะอื้นของทัลคอตจู่โจมขมับและก่อตัวเป็นไมเกรนระดับหนึ่งในทันที
“ใจเย็น ๆ นายพูดเรื่องอะไรเนี่ย?”
“คุณอิกนิสครับ หาคนมาทำแทนผมเถอะครับ ผมกลัวว่า...ถ้าต้องเดินออกในท้องพระโรงต่อหน้าคนเยอะขนาดนั้น ผมต้อง...ผมต้องทำดาบมายาร่วงกลางงานแน่ ๆ ครับ” ทัลค็อตกำมือแน่น ตัวสั่นเทา สีหน้าเหมือนฝายกั้นน้ำตาใกล้จะแตกอยู่รอมร่อ เขาสูดหายใจลึกพลางยกนิ้วขยับแว่นให้เข้าที่ ก่อนจะจับบ่าอีกฝ่ายไว้มั่น บีบเบา ๆ เหมือนครั้งแรกที่เขาแจ้งให้เด็กหนุ่มทราบว่ากษัตริย์ต้องการคนมาทำงานในสำนักพระราชวัง ตอนนั้นเจ้าตัวก็ทำหน้าคล้ายจะเป็นลม
“ฟังนะทัลค็อต ยังพอจะจำพระดำรัสในวันที่เธอติดยศได้มั้ย? -- การจะก้าวเดินไปยืนเบื้องหน้าผู้อื่น ไม่ใช่เพราะเรารู้ว่าเราเข้มแข็งกว่าใคร แต่เพราะเรารู้ว่าเราต้องการปกป้องใคร -- นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เธอมายืนอยู่ตรงนี้ยังไงล่ะ เธอมีคนที่อยากปกป้อง คนที่อยากดูแล การเอาชนะความกลัวเพื่อทำบางสิ่งให้ลุล่วงก็เช่นกัน เธอรู้ดีว่าพวกเรากำลังมุ่งหน้าไปทางไหน และพระองค์ก็อยากให้เธอเป็นคนเดินนำพวกเราในวันนี้นะ”
เด็กหนุ่มนิ่งฟัง แววตาจมดิ่งลงไปในความคิดเหมือนกำลังค่อย ๆ ค้นทวนภาพความทรงจำตามคำบรรยาย เมื่อนั้นเองที่ดวงตาสีเทาค่อย ๆ เติมประกายทีละน้อย ก่อนเจ้าตัวจะถอยหลังก้าวหนึ่ง ทำ
วันทยาหัตถ์ ปอยเล็ก ๆ ของหยดน้ำจับอยู่ตรงแพขนตาและรอยยิ้มเต็มภาคภูมิ
เขาพยักหน้าและยิ้มให้กำลังใจ
ในวันนี้ แผ่นหลังของเด็กน้อยที่เติบโตอย่างเข้มแข็งดูสูงพอ ๆ กับกำแพงพระนคร
นายมีพรสวรรค์ในการใช้คำพูดนะ -- กลาดิโอเคยทักเมื่อนานมาแล้ว แต่นี่เป็นคราวแรกที่เขารู้สึกภูมิใจกับมันจริง ๆ
แต่จะยังไงก็ตาม เช้านี้คงต้องได้กาแฟสักแก้วก่อนแล้ว
“เฮ้! อิกกี้” ในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงที่รอคอย--แม้จะไม่ใช่ในแบบที่ต้องการก็ตาม
“อรุณสวัสดิ์ครับท่านสมุหกลาโหม ท่านสมุหราชองครักษ์” เขาโค้งอย่างนอบน้อมเมื่อเดินมาถึงส่วนงานราชองค์รักษ์ เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนที่ล่วงหน้ามาก่อนกำลังยืนรออยู่ข้าง ๆ ร่างกำยำของจอมพลคอร์และกลาดิโอลุส ชุดพิธีการสีดำตามราชประเพณีทำให้ทั้งคู่ยิ่งดูสูงใหญ่อย่างพยนตร์ยักษ์โบราณ
“ได้นอนบ้างหรือเปล่าน่ะนาย” กลาดิโอลุสเอ่ยทัก
เขายิ้มพยักหน้ารับน้อย ๆ แต่สายตาลอบมองกระดุมสองเม็ดบนที่ปลดอยู่อย่างขัดใจ กลาดิโอลุสเป็นคนคงเส้นคงวาเสมอ...
“ขอบคุณที่ดูแลทุกอย่างนะอิกนิส เดี๋ยวฉันรับไม้ต่อเรื่องรักษาความปลอดภัยพระนครเอง” นายพลคอร์เอ่ย แม้ตอนนี้ตำแหน่งของทั้งสองจะไม่ต่างกันมากนักดังเช่นแต่ก่อน ทว่าคำชมก็ทำให้เขารู้สึกใจชื้นขึ้นมาหลายส่วน
“ขอบคุณครับ ไม่ทราบว่าภารกิจเป็นอย่างไรบ้างครับ”
“เรียบร้อยดี ต้องขอบใจกลาดิโอลุสเขา”
“ฉันสนุกดี แต่พวกซาโบเทนเดอร์นี่น่าปวดหัวชะมัด วิ่งเอาฉันหอบ” กลาดิโอลุสหัวเราะเสียงดัง เขาอยากจะถลนตาใส่อีกฝ่ายเหลือเกิน นี่ไม่ใช่กริยาอันเหมาะสมต่อหน้าเจ้าหน้าที่ใหม่ ๆ ที่กำลังฝึกความประพฤติเลยสักนิด แต่ก็นั่นแหละ... ถ้ามีการจัดประกวดว่าใครตื่นเต้นในพระราชพิธีนี้ที่สุด เขามั่นใจว่ากลาดิโอลุสคงคว้าตำแหน่งหนึ่งในสามอันดับแรกไปอย่างแน่นอน
ยอมให้อภัยสักครั้งก็แล้วกัน
“ฉันรบกวนเวลาพวกเธอมากแล้ว คงต้องขอตัวไปหาโมนิกาก่อน ไม่ต้องห่วงเรื่องกองทหารเดินสวนสนามนะ เดี๋ยวฉันจะตรวจดูให้แน่ใจอีกครั้งตามที่เธอขอ”
“ขอบพระคุณครับ แล้วพบกันในท้องพระโรงครับ” เขาโค้งศีรษะให้นายพลผู้ได้รับฉายาว่า ผู้เป็นอมตะ ชายผู้นี้ก็คงเป็นอีกคนที่ติดอันดับหนึ่งในสามเช่นเดียวกับกลาดิโอลุส เจ้าตัวเคยพลาดไม่อาจปกป้องกษัตริย์เรจิสผู้พ่อไว้ได้ เมื่อถึงคราวที่ราชบัลลังก์แห่งอินซอมเนียกำลังจะมีสายเลือดลูซิสขึ้นครองอีกครั้ง คงจะช่วยปลดความรู้สึกผิดเมื่อคราวนั้นไปได้ไม่น้อย
“โธ่...อิกกี้ ไม่ต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นก็ได้” ฝ่ามือหนาฟาดบนแผ่นหลังเหมือนการูล่าวิ่งกระแทก
“ผมเข้าใจว่างานมงคลแบบนี้ใคร ๆ ก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดา แต่ไม่คิดว่าท่านสมุหองครักษ์...”
“โอเค ๆ ฉันทำตัวดี ๆ ก็ได้ แล้วนายมาที่นี่มีธุระอะไรหรือเปล่า?”
เขากระแอมเล็กน้อย จัดเสื้อให้เข้าทรงก่อนจะผายมือไปยังผู้ติดตามทั้งสองที่ยืนทำหน้าพิพักพิพ่วนอยู่ด้านหลังนานมากแล้ว “นี่คือคุณเปตริคกับคุณอาเมอริก ทั้งคู่เป็นวิศวกรด้านพลุไฟจากเขตกาลาห์ดที่พวกเรารออยู่”
“อ้อ! พวกนาย...ที่ขบวนรถไฟตกรางเพราะวิ่งชนเบฮีมอธน่ะนะ?”
ทั้งสองพยักหน้ารัวเร็วยิ่งกว่าโจโกโบะจิกกินอาหาร
“โฮ่...ลำบากหน่อยนะ แต่ก็ขอบใจที่มา”
“ทั้งสองคนเพิ่งมาถึงเมื่อวานตอนสามทุ่ม ผมเลยไม่มีเวลาพาพวกเขาไปดูสถานที่ที่เราจัดไว้ให้ ถ้ายังไง...รบกวนท่านช่วยจัดหาคนดูแลและให้พวกเขาเตรียมพร้อมสำหรับงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำคืนนี้ได้ไหม”
“โอเค เดี๋ยวฉันจัดการเอง… เอาละ! เปตริก อาเมริก เชิญก่อนเลย” กลาดิโอลุสเปิดประตูห้องทำงานของตนออกกว้างเพื่อให้ทั้งสองเดินเข้าไปด้านใน แต่ก่อนที่เจ้าตัวจะตามเข้าไป ชายร่างสูงกลับโน้มตัวมากระซิบเบา ๆ “เฮ้...อิก โทษทีนะ ฉันตื่นเต้นไปหน่อย แล้วก็ยังไม่คุ้นด้วย ฉันยังกลัวอยู่เลยว่าจะเผลอเรียกน็อ--ฝ่าบาท--เห็นมั้ย”
“ไม่ต้องห่วง แกลดดี้” เขายกมือขึ้นตบต้นแขนเพื่อนสนิท รอยยิ้มน้อย ๆ เหยาะตรงมุมปาก แต่แววตานั้นจริงจังยิ่งกว่าคำพูดไหน ๆ “ฉันเองก็ตื่นเต้นว่ะเพื่อน...”
...
เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ตีสี่ห้าสิบ… ใกล้ได้เวลาปลุกพระบรรทม... เขาจึงเอ่ยให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทั้งหมดของกรมวังผู้เป็นฟันเฟืองสำคัญในวันนี้ ก่อนอนุญาตให้แต่ละคนแยกย้ายไปประจำจุดต่าง ๆ เมื่อทุกคนเดินออกจากห้องหลังท้องพระโรง เขาจึงเดินไปหยิบแฟ้มพระราชดำรัสบนชั้นวางริมผนัง
ด้วยนิสัยเดิม ๆ ปลายนิ้วนั้นเผลอกรีดเปิดปกกำมะหยี่สีดำเลื่อม แผ่นกระดาษสีขาวงาช้างประทับตราลัญจกรกะโหลกราชันย์ลายทองอยู่ด้านบนสุด ข้อความจารประทับเป็นพระปฐมบรมราชโองการที่เขาช่วยร่างให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ เนื้อความหยอดความอุ่นเกินบรรยายลงในอกแม้จะอ่านทวนเป็นรอบที่สิบกว่าแล้วก็ตาม... ตัวอักษรที่บรรจุระยะเวลาสิบปีแห่งความเหนื่อยยากและความหวัง เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ไหลย้อนมาสู่ความทรงจำทีละบรรทัด สิบปีแห่งความมืดมิด... การเดินทางของพวกเขาทั้งสี่... วันเวลาในรัชกาลก่อน... จนถึงวันที่เขาพบเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่ง คนที่พ่อของเขาแนะนำว่านี่คือรัชทายาท
เขายิ้ม
อดีตเป็นสถานที่แปลกประหลาด คล้ายม่านหมอกแห่งความทรงจำค่อย ๆ แต่งแต้มทุกอย่างให้งดงามยิ่งขึ้น ราวกับฟิลเตอร์ในกล้องของพรอมพ์ เขายิ้มให้ทั้งความสุขและเศร้า ความสูญเสียและความยินดี ทุก ๆ สิ่งไหลรวมเป็นกระแสธารเดียวที่เรียกกันว่าชีวิต
และในวันนี้เอง ชีวิตของเขาดำเนินมาถึงจุดสำคัญอีกครั้ง
หน้าที่ของผู้อภิบาลรัชทายาทกำลังจะสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ และเป็นครั้งแรกที่เขาจะได้ชื่อว่าข้าราชบริพารอย่างเต็มความหมายของคำ
ทั้งเป็นเกียรติและสมปรารถนา
“ทำไมนายถึงติดตามฉันมาขนาดนี้กัน?” เป็นคำถามที่ตัวเขาเองก็เคยตอบไม่ได้ รู้แต่ว่าเป็นเพียงหน้าที่ที่พร่ำสอนกันมาในตระกูล ดังนั้นเขาจึงไม่เคยตอบอะไรไปมากกว่าทำสิ่งที่ตัวเองต้องทำให้ดีที่สุด
“ซีเอนเทีย แปลว่า--ข้าพเจ้ารู้--หน้าที่ของเธอจึงต้องรู้แม้ในสิ่งที่องค์กษัตริย์ไม่อาจเห็น จงเป็นดวงตาของพระองค์ จงเป็นตะเกียงให้พระองค์แม้ในยามที่มืดมิดที่สุด...” แม่บอกแก่เขาในวันที่จะเข้าเฝ้าในพระราชวังหลวงเป็นครั้งแรก เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองทำหน้าที่นั้นได้ดีแค่ไหน คำถามยังคงค้างคาใจอยู่เสมอว่าทำไมเขาถึงอดทนมาได้ขนาดนี้ อะไรที่ทำให้เขาเชื่อมั่นในเด็กชายคนหนึ่ง...เด็กชายที่ไม่มีทีท่าจะเติบโตเป็นบุรุษที่สมบูรณ์เสียด้วยซ้ำ
"คำว่า จงรักภักดี มีคำว่า รัก อยู่นี่ จะเรียกมันอย่างนั้นก็ได้ ฉันไม่หึงหรอกน่า" อาราเนียเองก็เคยหยอกเอินเขาในมื้อค่ำครั้งหนึ่ง "ไร้สาระน่ะครับ" เขาตอบ...แบบปากไม่ตรงกับใจ ทั้งสองสิ่งมีเส้น
บาง ๆ ขีดกั้นไว้ และนั่นทำให้เขาปวดหัวมานานพอควรกับความยอกย้อนของจิตใจเช่นนี้
“ขออนุญาตครับท่านสมุหราชวัง”
เขาปิดแฟ้มเมื่อได้ยินเสียงเคาะบนบานประตูก่อนขานรับ เจ้าหน้าที่กรมวังเปิดประตูเข้ามายืนประกาศชื่อแขกตามมารยาท “ท่านผู้ว่าออรุมแห่งเมืองเลสทัลลัมและคู่สมรสขอเข้าพบครับ”
“อื้ม เชิญเข้ามาเลย” เขายืนขึ้น ยิ้มกว้างพร้อมกางแขนต้อนรับเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนาน เจ้าหน้าที่กรมวังถอยออกไปให้หญิงสาวและชายหนุ่มผมบลอนด์เดินเข้ามาแทน ทั้งสองสวมชุดพิธีการที่ดูไม่ค่อยจะสบายตัวเท่าไร “เป็นไงบ้าง คุณซินดี้? พรอมพ์? ไม่คิดว่าจะมาเร็วขนาดนี้นะเนี่ย...อีกตั้งหลายชั่วโมงกว่างานจะเริ่ม”
“หวัดดีอิกกี้--” พรอมพ์โต้โผเข้ากอดเขาแน่นเหมือนทุกครั้ง “พวกเราอยากมาทักทายนายก่อนน่ะ ท่าทางจะเหนื่อยน่าดูเลยนะงานนี้”
ซินดี้เดินช้า ๆ ตามมา เขาสังเกตข้ามบ่าพรอมพ์โต้ครู่หนึ่งก่อนจะคลายกอดและเดินไปหาหญิงสาว ชุดคลุมยาวของเธอเผยรอยนูนที่บ่งบอกข่าวดี “ไม่เห็นบอกกันเลยสักคำนะครับ...” น้ำเสียงเขาตื่นเต้นเป็นพิเศษ
“แหม ยิ้มเหมือนวิญญาณแม่นมเขาสิงเลยนะคะ”
“อย่าไปแซวเขาซี่ ถึงอิกกี้จะดุ แต่จริง ๆ แล้วหมอนี่รักเด็กมากเลยนะรู้มั้ย ไม่อย่างนั้นจะตามติดน็อกต์ได้เป็นสิบ ๆ ปีเหรอ”
เขาเลิกคิ้ว คำแก้ต่างดูจะเป็นอีกคำแซวเสียด้วยซ้ำ แต่กระนั้นเขาก็ไม่คิดจะปฏิเสธข้อกล่าวหาจากทั้งสองสามีภรรยาแต่อย่างใด ในเมื่อทั้งหมดล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น เช่นเดียวกับข่าวพระราชินีทรงพระครรภ์ที่ทำให้เขายิ้มแบบนี้เมื่อสามเดือนก่อน ต่อให้งานวุ่นขึ้นแค่ไหน เขาก็มีเวลายิ้มให้ภาพเจ้าตัวเล็กคลานต้วมเตี้ยมในหัวเสมอ
“ระวังเถอะพรอมพ์ น็อกต์ที่นายเรียกกำลังจะขึ้นนั่งบัลลังก์ลูซิสอยู่ไม่กี่ชั่วโมงแล้วนะ เดี๋ยวท่านราชองครักษ์ก็เอาสันดาบเคาะหัวเอาหรอก” เขาทำท่าขู่ แต่พรอมพ์โต้กลับยิ้มกว้างเหมือนเดิม
“ไม่ต้องห่วงนะคุณสมุห์ฯ ยังไงวันนี้ฉันก็ไม่ขโมยซีนงานสำคัญของพระราชาหรอก เดี๋ยวรอให้เสร็จงานแล้วฉันจะกราบทูลท่านเอง” ซินดี้ทำท่าป้องปาก ต่อให้ดำรงตำแหน่งสำคัญแค่ไหน ซินดี้ก็เป็นแบบนี้ไม่เคยเปลี่ยน--ซึ่งก็ดีแล้วสำหรับโลกนี้--ซินดี้ที่สุภาพเรียบร้อยคงแปลกพอ ๆ กับซาโบเทนเดอร์ที่อยู่นิ่ง ๆ นั่นแหละ
“ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะย้ายมาอยู่ที่อินซอมเนียนะ จะได้ให้แพทย์หลวงที่ดูแลพระครรภ์พระราชินีช่วยดูแลเธอด้วยเลย”
“ไม่เอาหรอกพ่อสมุห์ฯ” ซินดี้หัวเราะเสียงใสก้องไปทั้งห้อง มือเท้าสะเอวในท่าประจำของเธอ “งานที่เลสทัลลัมยุ่งจะตาย แล้วคิดเหรอว่าคุณตาจะยอมปล่อยให้หลานเขาเกิดนอกหูนอกตาน่ะ”
“จริงสินะ ลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย ว่าแต่คุณซิดสบายดีใช่มั้ย?” เขานึกถึงใบหน้าเหี่ยวย่นเคราเฟิ้มและดวงตาสีเทาคมกล้า ภาพของช่างซ่อมรถในตำนานยังคงติดตาอยู่เสมอแม้ไม่ได้เจอกันเป็นปี ๆ
“ไม่ต้องห่วง ถึงจะเดินเหินไม่สะดวก แต่ยังมีแรงตะโกนเรียกฉันได้ทั้งวันเลย” พรอมพ์โต้ชิงตอบขึ้นมา เขาเองก็พอจะทราบมาว่าพักหลัง ๆ เพื่อนสนิทต้องรับหน้าที่ดูแลสาขาของอู่ซ่อมรถทั้ง 12 แห่งทั่วเอออสแทนคุณซิดและซินดี้ เป็นงานที่หนักเอาการ แต่เขาไม่เคยได้ยินอีกฝ่ายปริปากบ่นว่าเบื่อสักครั้งเดียว ทุกคราวที่โทรมา เจ้าตัวมีแต่บอกว่างานเยอะแค่ไหน แต่น้ำเสียงภูมิใจที่เจืออยู่ก็ทำให้เขาหายห่วงได้เสมอ
หรืออาจจะกลัวเมีย -- กลาดิโอลุสเคยเสนอไว้ ซึ่งก็น่าคิดอยู่ แต่จะอย่างไรก็ตาม ในสายตาของเขานี่คงเป็นรางวัล ณ ปลายทางของพรอมพ์โต้ เป็นการค้นพบคุณค่าของตนในการทำเพื่อคนอื่น ๆ
“ดีแล้ว...” เขาตอบเพียงเท่านั้น ก่อนจะกดโทรศัพท์หาเจ้าหน้าที่กรมวังฝ่ายดูแลแขกเมือง “ระหว่างนี้เดี๋ยวฉันให้คนพาพวกนายไปพักก่อนก็แล้วกัน ฉันต้องขอตัวไปเข้าเฝ้าแล้ว”
“ได้เลย แล้วเจอกันในงานนะอิกกี้”
“ขอบใจที่มาเยี่ยมนะพรอมพ์ คุณซินดี้ แล้วเจอกัน”
เขาเปิดประตูให้ทั้งสองเดินตามเจ้าหน้าที่ที่เรียกมา พลางมองแผ่นหลังที่เดินเคียงข้างกันไป วูบหนึ่งเขาตระหนักถึงกระแสความคิดที่หยุดไปก่อนหน้า... ความคิดที่ฟุ้งขึ้นมาตอนอยู่เพียงคนเดียว... คำถามนั้นลดความสำคัญไปโดยไม่รู้ตัวเพียงเพราะได้เห็นหน้าเพื่อนที่ห่างกันไปนาน
นั่นสินะ...
เขาชักอยากทำอาหารมื้อพิเศษตอบแทนอาราเนียหน่อยแล้ว
...
บรรดาราชองครักษ์สี่คนที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องบรรทมโค้งคำนับให้เขา ทั้งหมดเป็นกลุ่มที่กลาดิโอลุสเลือกเองกับมือจากอดีตราชองครักษ์ในรัชกาลก่อน คนหนึ่งเดินมาเปิดประตูให้ เขาจึงยิ้มทักทายให้ก่อนจะเดินผ่านเข้าไปสู่ห้องทรงพระอักษร
ในห้องมีโต๊ะสำหรับทรงงาน พระเก้าอี้ชุดสำหรับพักผ่อนพระอิริยาบถ ชั้นหนังสือเรียงเป็นแถว กลางห้องปูพรมทรงกลมผืนใหญ่ปักเป็นรูปท้องฟ้าสีน้ำเงินและดวงดาวพราวพราย ฝีมือปักละเอียดประณีตจนไม่ค่อยจะมีใครกล้าเดินเหยียบ รวมถึงตัวเขาเองด้วย เพดานด้านบนเป็นจิตรกรรมวาดใหม่ เขียนเป็นเรื่องราววีรกรรมของกษัตริย์เรจิสและการเดินทางของพวกเขาทั้งสี่ ที่มุมหนึ่งเขาเห็นตัวเองกำลังขับรถพระที่นั่งเรกาเลีย หน้าตาผิดประหลาดจนเขานึกขำ
ฉันไม่ได้จมูกโด่งขนาดนั้นสักหน่อย -- เขาอยากประท้วงกับน็อกทิสแบบนี้เหลือเกิน
ณ มุมห้องด้านหนึ่งเป็นโต๊ะทำงานเล็ก ๆ ของทหารมหาดเล็กที่ประจำอยู่ตลอดสำหรับรับพระราชโองการและพระเสาวนีย์ของทั้งสองพระองค์ เขาเดินตรงไปหาทหารมหาดเล็กที่ประจำอยู่ในตอนนี้ เธอกำลังก้มหน้าง่วนพิมพ์เอกสาร เมื่อหญิงสาวสังเกตเห็นเขา เธอจึงยืนขึ้นต้อนรับด้วยรอยยิ้มกว้าง เหมือนพี่ชายของเธอไม่มีผิด
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณอิกนิส”
“อรุณสวัสดิ์อีริส ทั้งสองพระองค์ตื่นบรรทมแล้วหรือยัง?”
หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูท่ากำลังเรียบเรียงถ้อยคำให้ถูกต้องตามแบบแผน “พระราชินีทรงตื่นแล้ว ตอนนี้กำลังอ่านหนังสืออยู่ ส่วนฝ่าบาทยังบรรทมอยู่ที่พระแท่นค่ะ”
“ตื่นสายกระทั่งในวันพระบรมราชาภิเษกงั้นเหรอ...” ชายหนุ่มยกนิ้วขึ้นจัดแว่น ดวงตาเรียวรีหรี่ลงเล็กน้อย
“เอ่อ...จะให้ฉันเข้าไปกราบทูลถามพระราชินีไหมคะ?”
“ไม่เป็นไร เธอกำลังยุ่งกับงานอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“แค่ตรวจรายการสิ่งของสำหรับจัดในห้องเด็กก่อนจะให้พระราชินีลูน่าทรงตรวจน่ะค่ะ”
“อืม จัดการให้เรียบร้อยก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันเข้าไปเฝ้าเอง ถ้ามีอะไรแล้วจะเรียกนะ”
“ค่ะ เอ่อ... คุณอิกนิสคะ...” หญิงสาวเอ่ยเรียกก่อนที่เขาจะหันไป “คือ... วัน ๆ ฉันไม่ได้ค่อยได้ทำอะไร รู้สึกตัวเองไม่เป็นประโยชน์ยังไงก็ไม่รู้...”
เขาหัวเราะเบา ๆ ยกแฟ้มกำมะหยี่ขึ้นเคาะศีรษะอีกฝ่ายเบา ๆ ดังแปะ “เธอนี่นะ...อย่าทำตัวเป็นทัลค็อตคนที่สองสิ พระราชินีลูน่าทรงออกปากขอเธอมาเป็นมหาดเล็กประจำพระองค์เอง หน้าที่แบบนี้ยังถือว่าไม่สำคัญอีกเหรอ”
“ก็มัน…” คิ้วสีน้ำตาลเหมือนตัวบุ้งขมวดแทบจะเป็นปม
“แน่ล่ะ...งานแบบนี้ไม่ได้ออกแรงหรือเห็นเป้าหมายชัดเจนอย่างเวลาที่เป็นนักล่า...” เขาเริ่มโอวาท ในใจก็นึกถึงวันแห่งความมืดที่ทุกคนต้องดิ้นรนเอาตัวรอดจากปีศาจของอาร์ดีน เป็นสิบปีแห่งความสิ้นหวัง แต่ความรู้สึกที่ได้ถือมีดและหอกขับไล่ปีศาจพวกนั้นยังคงสูบฉีดอยู่ในเลือดเขาเช่นกัน “แต่หน้าที่ในพระราชวังนั้นหนักและเหน็ดเหนื่อยยิ่งกว่า เพราะเธอไม่ได้ทำแค่เพื่อรักษาชีวิตตัวเองหรือคนในทีม แต่สิ่งที่เธอกระทำส่งผลโดยตรงต่อชีวิตและความเป็นปกติสุขของคนในอาณาจักรทั้งหมด นี่จึงไม่ใช่หน้าที่ที่ใครจะทำก็ได้ แต่พระองค์เลือกแล้วว่าต้องเป็นคนที่ทรงไว้ใจและมีความสามารถเพียงพอ”
อีริสเงียบไป เขาปล่อยให้หญิงสาวคิด ปล่อยให้ดวงตาสีน้ำตาลไล่ไปตามลายปักบนพื้นพรมกลางห้อง ทุกสิ่งไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ทุกคนมีจังหวะก้าวเดินของตนเอง เหมือนดวงดาวเหล่านั้นที่มีเส้นทางโคจรของมัน
“หรือถ้าเธออยากให้ฉันกราบทูลพระราชินีให้...”
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยากจะพูดเรื่องนี้ด้วยตัวเองมากกว่า...หลังจากฉันคิดให้ถี่ถ้วนดีแล้ว” เธอก้มหน้ามองแฟ้มกำมะหยี่ในมือของเขา สังเกตได้ว่าจุดโฟกัสตกอยู่ที่ลายลัญจกรหัวกะโหลกราชันย์สีทองกลางหน้าปก
เขาแอบยิ้มน้อย ๆ ให้เธอและตนเอง
“เอ้อ ฉันถ่วงเวลาคุณอิกนิสไว้นานไปแล้ว ขอโทษด้วยจริง ๆ ค่ะ”
“ไม่เป็นไร กังวลเรื่องอะไรก็บอกฉันได้เสมอนะ”
“ค่ะ...ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวโค้งให้เขาเป็นมุมฉาก
“ฉันขอเข้าเฝ้าก่อนนะ” เขาตอบก่อนเดินแยกออกมา เมื่อไกลจากระยะได้ยินของอีกฝ่ายจึงค่อยลอบถอนหายใจไม่ให้เสียงดังไปนัก
การให้กำลังใจคนอื่นนี่เหนื่อยจริงหนอ
“ทูลกระหม่อม--” เขาเคาะบานประตูไม้สูงตระหง่านซึ่งฉาบด้วยรักสีดำ ก่อนจะผลักลูกบิดสีทองเปิดเข้าไปด้านใน ห้องทรงพระอักษรเชื่อมต่อกับโถงเสวย ผนังตรงข้ามทางเข้าเป็นระเบียงเปิดสู่ทิวทัศน์ของพระนครอินซอมเนีย หน้าต่างกระจกแก้วบานสูงเป็นเครื่องกั้นลม ด้านนอกมีชานศิลายื่นออกไปสำหรับทรงประทับพักผ่อน ผนังด้านซ้ายต่อกับห้องพระบรรทม ด้านขวาต่อกับห้องที่เดิมเคยใช้สำหรับประชุมองคมนตรี แต่ตอนนี้ปรับให้เป็นห้องสำหรับพระโอรส (หรือพระธิดา)
ในโถงเสวยตกแต่งให้ดูอบอุ่นต่างจากส่วนอื่น ๆ ของพระราชวังหลวง กษัตริย์น็อกทิสโปรดให้จัดเป็นพิเศษตามแบบพระตำหนักเดิมในเทเนบราย ด้านในจึงผูกม่านสีฟ้าและทาผนังเป็นสีขาว พรมสีเทาขลิบฟ้าและทองปูลาดจนเต็มห้อง ที่ราวชานระเบียงปลูกดอกซีลเลบลอสซัมสีฟ้าอ่อนเป็นแถว โบกพลิ้วตามลมตัดกับขอบฟ้าสีดำที่เริ่มจะเรื่อรางด้วยเส้นขลิบสีส้ม กลางโถงนั้นมีร่างหญิงสาวกำลังนั่งอ่านหนังสือ เมื่อเขาก้าวไปยืนด้านในประตู เธอก็รีบวางหนังสือและยืนขึ้นต้อนรับ
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณอิกนิส วันนี้คงต้องลำบากหน่อยนะคะ”
สุรเสียงใสเหมือนระฆังแก้ว พระพักตร์สุกสว่างดังดวงจันทร์คืนเพ็ญ กรอบกายสูงสง่าเหมือนหงส์นำฝูง ในยามเช้ามืด อาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ที่ทรงสวมก็แจ่มกระจ่างพอ ๆ กับดาวประจำเมือง พระหัตถ์คู่ประสานกันเบื้องหน้าเรียวโค้งนวลเนียนเหมือนงาช้าง ปอยผมสีทองอ่อนมัดมวยขึ้น รัดเกล้าเงินวงบางวางครอบดุจวงแหวนดาวเสาร์ สตรีผู้เป็นดวงแก้วแห่งอาณาจักรเทเนบราย เป็นตะเกียงส่องสว่างแก่ชาวโลก บัดนี้กำลังจะกลายเป็นมณียอดมงกุฎแห่งอาณาจักรลูซิส
“ถวายพระพรพระเจ้าข้า” เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งบนพรม ค้อมศีรษะลงหมดจิตหมดใจ
“ตามสบายเถอะค่ะ แล้วก็พูดกับฉันตามปกติได้แล้ว ที่นี่ไม่มีใครนอกจากพวกเรา” เธอเดินเข้ามาฉุดแขนของเขาให้ลุกขึ้น ชายหนุ่มพยักหน้ารับและปล่อยให้ตัวเองยืนขึ้นเต็มความสูงตามแรงรั้ง เพียงแค่ยืนใกล้เธอ เขาก็รู้สึกอบอุ่นราวโลกนี้ไม่เคยมีเรื่องร้ายใด ๆ มาก่อน
“ผมเข้ามาเพื่อทูลท่านว่า งานที่ข้างล่างจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว ถ้าทั้งสองพระองค์พร้อมเมื่อใดก็สามารถลงไปได้ทุกเมื่อครับ”
“ขอบคุณมากค่ะ คุณอิกนิส ฉันทานอาหารเรียบร้อยแล้ว คิดว่าจะแอบลงไปเจอพี่ชายกับคณะที่มาจากเทเนบรายแบบเงียบ ๆ ก่อน ถ้ายังไง...รบกวนคุณอิกนิสช่วยปลุกน็อกทิสหน่อยนะคะ เดี๋ยวฉันจะรีบกลับมาก่อนพิธีรับแขกเมืองจะเริ่ม” เธอยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปาก ทำท่าบุ้ยใบ้ให้เก็บเป็นความลับ สีหน้าท่าทางของเธอไม่เปลี่ยนไปจากที่เขาเคยเห็นเมื่อสิบกว่าปีก่อนเลย
“รับทราบครับ” เขาโค้งศีรษะ “ผมแนะนำว่าให้รับสั่งอีริสให้พาเสด็จไปทางลิฟต์ส่วนพระองค์ก็ไม่น่าจะต้องทักทายกับใครมากครับ”
“ขอบคุณค่ะ...” เธอยิ้มและเดินผละจากเขาไปทางประตู แต่ก็ชะงักเท้าไว้ก่อนจะจับลูกบิด ดวงตาสีฟ้าหันมามองเขาอย่างไม่แน่ใจนัก “อ้อ...ฉันมีเรื่องจะปรึกษานิดหน่อยค่ะ เรื่องของอีริส...ไม่แน่ใจว่าฉันตัดสินใจถูกหรือเปล่า เหมือนเธอจะไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนักที่ต้องมาทำงานใกล้ ๆ ฉัน ถ้ายังไง...”
“เรื่องนี้ผมทราบแล้วครับ--” เข้ายิ้มให้ความมั่นใจอีกฝ่าย “ด้วยนิสัยของอีริส เมื่อถึงเวลา เธอคงจะเข้ามากราบทูลด้วยตัวเอง แล้วเวลานั้นก็จะทรงทราบว่าต้องทรงตัดสินใจอย่างไรครับ”
ราชินีลูน่าเอียงพระพักตร์เล็กน้อย ดวงตาฉายแววสนเท่ห์ครู่หนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ๆ เหมือนดอกไม้แรกผลิ “ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมน็อกทิสถึงบอกว่าพึ่งคุณได้เสมอ"
"น็อก--พระองค์พูดเช่นนั้นหรือครับ" เขาแปลกใจนิด ๆ แต่รอยยิ้มของพระราชินีลูน่าเป็นจริงยิ่งกว่าคัมภีร์ศาสนาใด ๆ
"ค่ะ...เขาบอกว่าถึงคุณจะดุ ขี้บ่น เจ้าระเบียบ และติดกาแฟ" เสียงพระสรวลเบา ๆ แทรกกลาง "แต่ก็เป็นคนที่เชื่อถือได้เสมอค่ะ"
"อา..." จู่ ๆ เขาก็รู้สึกอยากหันหน้าหนีไปทันที แต่กริยาแบบนั้นคงถือว่าไม่สุภาพเป็นอย่างมากแม้จะทรงอนุญาตให้เป็นกันเองแล้วก็ตาม "ความจริงแล้ว...คนที่พึ่งพาได้มากกว่าคือพระองค์นั่นแหละครับ"
"ฉันเหรอคะ?"
"ใช่ครับ ผมหมายถึง...ในตอนที่เราเพิ่งจะถูกนิลฟ์ไฮม์โจมตีใหม่ ๆ ความเสียสละของพระองค์ท่านเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้พวกเราก้าวต่อไป ผู้คนที่เราพบต่างก็ยังมีความหวัง ไม่ยอมสยบต่ออาร์ดีนก็เพราะพระองค์เดินทางช่วยเหลือพวกเขาไปทั่วทุกที่ ฝ่าพระบาทน็อกทิสเองก็นึกถึงพระองค์อยู่ตลอดเวลา ผมเชื่อว่าพระราชินีเป็นคนที่ฝ่าพระบาทน็อกทิสอยากพึ่งจริง ๆ มากกว่าครับ"
"แต่เขาตามหาฉันเจอก็เพราะคุณอิกนิสนำทางนี่คะ ฉันรู้นะคะ...อุมบราเล่าให้ฉันฟังตลอดเลย" รอยยิ้มสดใสแกมซุกซนทำให้เขาชักไม่แน่ใจว่าเธอสื่อสารกับเจ้าตูบดำตัวนั้นได้จริงหรือเปล่า แต่อิกนิส ซีเอนเทียเป็นคนมักน้อยในเรื่องคำชม ได้ยินแค่นี้เขาก็ปลาบปลื้มแล้ว
"ขอบคุณนะคะที่อยู่ตรงนี้ แล้วก็...” เธอเว้นจังหวะ หันกลับมาหาเขาตรง ๆ มือทั้งสองประสานกันก่อนจะโค้งศีรษะให้ “ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งจริง ๆ ค่ะ”
ความอุ่นร้อนปริ่มขึ้นในอกพร้อมกับความตกใจ ร่างกายที่ประคับประคองความเยือกเย็นไว้ได้ตลอดกลับสั่นเทิ้มนิด ๆ หัวตาผ่าวปวดเมื่อท่อน้ำตาบีบรัด เขาสูดหายใจลึกและฝืนกั้นทุกอย่างไว้ที่ขอบตา ขาข้างหนึ่งทรุดลงบนพรมอีกครั้ง ศีรษะค้อมลงจนอกแทบเบียดกับหัวเข่า
“เป็นเกียรติของกระหม่อมแล้ว” เขาได้ยินเสียงหัวเราะน้อย ๆ ของราชินี ดวงตาเบื้องหลังแว่นยังจับจ้องอยู่ที่พื้นพรม กลัวว่าถ้าเงยหน้าขึ้นเพียงนิด ความปีติที่สะกดไว้จะไหลรินออกมา
“เป็นเกียรติของฉัน ของน็อกทิส และของอาณาจักรของเราทั้งสองจริง ๆ ค่ะ คุณอิกนิสเป็นสมุหราชวังที่ดีที่สุดที่ฉันเคยเจอเลยล่ะค่ะ”
เมื่อทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เขาเดินไปยังประตูห้องพระบรรทม ผนังสองข้างติดพระบรมฉายาลักษณ์ของกษัตริย์เรจิสและพระราชินีออเลีย ฝ่ายพระราชินีนั้นสิ้นพระชนม์ตั้งแต่เมื่อมีพระประสูติกาลพระโอรสไม่นาน เขาจึงไม่รู้ว่าภาพที่วาดออกมานั้นถูกต้องหรือไม่ ส่วนฝ่ายพระราชา เขาจำได้ติดตา แววพระเนตรอ่อนล้าแต่แหลมคม ทรงเป็นกษัตริย์เคราะห์ร้ายที่โชคชะตากำหนดให้ต้องสูญเสียทุกสิ่งรวมถึงพระชนม์ชีพ โดยมิทันได้เห็นพระโอรสกอบกู้อาณาจักรและทำลายล้างคำสาปพันปีของอาร์ดีนลงได้ ดวงพระเนตรสีเทาเปี่ยมเมตตาจับจ้องราวกับยังทรงอยู่ ณ ที่นี้ คอยเฝ้าดูเขาและทุก ๆ คน
“เราไม่ขอให้พวกเธอนำทางลูกชายเอาแต่ใจคนนี้ เราขอแต่เพียงให้เธออยู่เคียงข้างเขา” โองการสุดท้าย--ไม่สิ คำขอสุดท้ายยังแว่วติดหู เป็นคำพูดของกษัตริย์เรจิสก่อนที่พวกเขาจะเดินทางออกจากอินซอมเนีย และเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ยินพระสุรเสียงเปี่ยมเมตตานั้น
“กระหม่อมทำตามที่รับสั่งแล้ว...” เขาพูดเบา ๆ ก่อนยกมือขึ้นเคาะประตูและเปิดเข้าไปด้านใน ทอดตามองไปยังพระแท่นบรรทม ไม่มีร่างพระราชาอยู่บนเตียง มีเพียงเสียงน้ำไหลจากห้องน้ำ เขาเห็นฉลองพระองค์แขวนเรียงอยู่บนราวใกล้ห้องน้ำ ท่าทางจะเลือกไม่ถูก เขาจึงเดินเขาไปหยิบเชิ้ตดำเย็บเป็นริ้วระแนงตามแนวกระดุม เสื้อกล้ามเนื้อบางที่ไม่ร้อนมาก กางเกงแสล็กส์สีดำที่ผ้าทิ้งตัวหน่อย เวลาเดินจะได้ดูสง่า ผ้าพันคอและถุงมือสีขาวเหมือนที่กษัตริย์เรจิสโปรดทรงอยู่เสมอ แล้วก็ถุงเท้ากับกางเกงใน...อืม ยังไงก็ต้องเลือกตัวที่นุ่มไว้ก่อนแล้วกัน
"เฮ้...อิกกี้ กำลังรออยู่เลย" เสียงพระราชาดังขึ้นทันทีเมื่อประตูห้องน้ำเปิดออก "แต่งตัวให้หน่อยสิ"
"ตื่นสายนะฝ่าบาท ไม่เกรงใจกระหม่อมก็เกรงใจพระราชินีหน่อยสิ" เขาเสียดสีพลางหยิบฉลองพระองค์ทั้งหมดตามพระราชากับผ้าเช็ดตัวผืนเดียวของพระองค์ไป
"บ่นไร' ฟ้ายังไม่สว่างเลย ฉันตื่นให้ก็ดีแล้ว" น็อกทิสหยุดเท้าที่หน้ากระจก เขาจัดการเช็ดตัวให้และเริ่มต้นสวมทีละชิ้น อีกฝ่ายยืนนิ่งเป็นพิเศษเหมือนเด็กเอาแต่ใจ แต่เขาก็ยินดีทำให้เพราะรู้ดีว่าวันเวลาแห่งความเป็นเด็กนั้นสั้นนัก
"คุณคอร์กลับมาถึงแล้ว ภารกิจเรียบร้อยดี พรอมพ์โต้กับคุณซินดี้ก็เหมือนกัน ดูเหมือนทั้งคู่จะมีข่าวดีบอกฝ่าบาทด้วยนะ" ชายหนุ่มรายงานเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นขณะกลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ละเม็ด
"รู้แล้ว นายคิดว่าพรอมพ์ปิดปากเรื่องตื่นเต้นแบบนั้นได้นานแค่ไหนกัน หมอนั่นแอบโทรมาบอกฉันตั้งแต่วันแรกที่รู้เลย" เสียงตรัสเนือย ๆ เพราะความง่วงแต่ยังคงเจือความดีใจอยู่ลึก ๆ
"ก็เดาไว้ไม่ผิด แต่คุณซินดี้ยังไม่รู้นะว่าพระองค์รู้ อย่าไปเผลอพูดให้พรอมพ์เดือดร้อนละกัน"
"รู้แล้วน่า..." น็อกทิสยกแขนทั้งสองข้างขึ้นระหว่างที่เขาเอื้อมแขนสอดเข็มขัดหนังให้ "นี่ อิกกี้..."
"ครับ?"
"วันนี้มาถึงจนได้นะ"
เขาเงยขึ้นมอง กษัตริย์ของเขายังคงฉายสีหน้าเรียบ ๆ แบบที่เป็นอยู่ปกติ แต่สมุหราชวังอย่างเขาเข้าใจดี...ไม่สิ เพราะอยู่มาจนต้องเข้าใจกันต่างหาก
"มาถึงแล้วครับ...พระบิดาจะต้องภูมิใจแน่"
"อืม..." น็อกทิสสนทนาด้วยความเงียบเสมอตั้งแต่เด็ก เป็นชายที่ดูเหมือนจะเข้าใจง่าย เต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายและไม่สนใจอะไร แต่ลึก ๆ แล้วนั้นรู้ว่าชีวิตต้องเดินไปในเส้นทางไหน ดวงตาที่หับปิดจึงไม่ได้ต้องการจะเบือนหนีโลก หากเพราะต้องการปิดซ่อนคนอื่นจากความเศร้าของตนต่างหาก ใครหลายคนคิดว่าการขึ้นเป็นกษัตริย์เป็นเรื่องที่น่าใฝ่หา แต่มักลืมไปว่าวันที่ลูกขึ้นเป็นพระราชาคือวันที่พระบิดาตายจากไป
"นายจัดการทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วเนอะ" ไม่ใช่คำถาม เป็นเพียงการตอกย้ำอย่างไม่มั่นใจ อิกนิสตระหนักว่านี่คือภารกิจสุดท้ายของเขาในฐานะผู้อภิบาลเจ้าชาย
"ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยครับ พระองค์ทำทุกอย่างได้ดีที่สุดแล้ว"
น็อกทิสพยักหน้ารับน้อย ๆ เขาสวมผ้าพันคอให้อีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว จึงเดินไปลากเก้าอี้ตัวเล็กมาให้พระราชานั่งเพื่อสวมถุงพระบาทและฉลองพระบาท ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจับจ้องเมื่อเขารูดถุงเท้าคู่ยาวขึ้นไปใต้ขากางเกง
"อิกกี้...นายกับอาราเนียเป็นไงบ้าง" คำถามนั้นทำให้เขาชะงักเล็กน้อย พระราชาไม่เคยเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเขา เพียงแต่รับรู้ว่ามีความสัมพันธ์บางอย่างดำเนินไประหว่างสมุหราชวังกับประธานาธิบดีของประเทศในอีกฝั่งทะเล นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายแสดงความสงสัย
"ไม่มีอะไรสลักสำคัญครับ ทุกอย่างยังดำเนินไปตามทางของมัน"
"งั้นเหรอ..." ถุงเท้าสวมเสร็จแล้ว ต่อไปก็เป็นรองเท้า "แล้วพวกนายจะแต่งงานกันมั้ย"
เขายิ้ม ยิ้มให้กับทั้งความแอบเอาแต่ใจของพระราชาและความใจอ่อนของตัวเอง แน่นอนว่าเขาเคยคุยเรื่องนี้กับอาราเนียมาก่อน--เชื่อสิ ฉันรู้จักพวกเธอดี ผู้ชายน่ะมีพื้นที่บางอย่างที่ผู้หญิงไม่มีวันเข้าถึง แต่ในทางกลับกัน ผู้หญิงก็มีพื้นที่ที่เธอเตรียมไว้ให้ผู้ชายที่เธอรักเสมอ--นั่นเป็นคำตอบอย่างเป็นมิตรของเธอ...เสน่ห์ของเธอ
"ครับ แต่คงไม่ใช่ในระยะเวลาอันใกล้ คงต้องรอให้วาระของอาราเนียหมดลงก่อน แล้วหลังจากนั้นเธออาจจะคิดเรื่องซื้อบ้านสักหลังในแถบกัลดีน"
"อ้อ...งั้นนายจะทำงานที่นี่ต่อไปอีกใช่มั้ย--คือ...ฉันไม่ได้จี้อะไรนะ แค่คิด ๆ ล่วงหน้าไว้ ถ้าเกิดนายลาออกไปอยู่กับครอบครัว ฉันคงจะหาคนมาทำงานแทนนายยากน่าดู"
"ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะยืนอยู่เคียงข้างพระองค์เสมอ" เขาผูกเชือกรองเท้าเส้นสุดท้ายเสร็จแล้วจึงลุกขึ้นยืนและประคองพระราชาให้ลุกขึ้นประทับยืนด้วยเช่นกัน สีหน้าเรียบเฉยกลายเป็นยิ้มน้อย ๆ เหมือนวันที่เขายอมรับผักจากจานอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก
"ขอบใจนะอิกกี้ ขอบใจจริงๆ"
...
เสียงผู้คนในท้องพระโรงสะท้อนกึกก้อง ดอกไม้สีฟ้าและสีขาวประดับอยู่ทุกชั้นช่อง ผ้าแพรละเอียดสีขาวโปร่งผูกโยงให้ดูเหมือนสรวงสวรรค์ แสงแดดส่องลอดจากหน้าต่างสูงที่สร้างใหม่ยิ่งฉายให้ราชบัลลังก์สิีดำเด่นตระหง่าน พรมแดงปักพระปรมาภิไธยสีทองว่า NOCTIS LUCIS CAELUM CXIV แขวนลงจากหน้าพระแท่นตั้งราชบัลลังก์ แถวกระบวนแขกเมืองยืนต่อเฝ้ารอรับเสด็จออกต่อกันแน่นขนัด เขายืนอยู่ที่มุมหนึ่งใกล้พระแท่น ซึ่งจัดไว้สำหรับมุขมนตรีผู้ใหญ่ในราชสำนัก ข้าง ๆ เขามีคอร์และกลาดิโอลุสนั่งพร้อมกับคนอื่น ๆ
เขามองไล่เรียงกลุ่มแขกเมืองที่ยืนอยู่ด้านหน้า ทั้งหมดเรียงตามลำดับรายชื่อในหมายกำหนดการถูกต้อง สายตาไล่เรื่อยไปจนกระทั่งสบตาเข้ากับอาราเนีย เธอสวมสูทสีแดงเป็นทางการตามฐานะประธานาธิบดี นั่งบนเก้าอี้ที่จัดไว้เฉพาะสำหรับประมุขและผู้แทนแต่ละประเทศ อีกฟากหนึ่งเป็นเจ้าชายเรวุสจากเทเนบราย มีนายกรัฐมนตรีของอัลทิสเชียนั่งอยู่ถัดไป พรอมพ์โต้และซินดี้นั่งอยู่ไกลออกจากกลุ่มผู้ปกครองหัวเมือง
อาราเนียขยิบตาให้เขาเป็นการทักทาย เขายกนิ้วขึ้นจัดแว่นตอบ เธอจึงยิ้มมุมปากน้อย ๆ ก่อนหันกลับไปมองพระราชบัลลังก์ ครู่หนึ่ง อาลักษณ์ที่ทำหน้าเป็นผู้ประกาศลำดับพิธีการก็ออกมายืนหน้าพระแท่นบัลลังก์ ทุกคนจึงเงียบเสียงลง
"เจ้าชายน็อกทิส ลูซิส ไคลัม มกุฏราชกุมารลำดับที่หนึ่งร้อยสิบสี่แห่งพระราชอาณาจักรลูซิส เสด็จแล้ว"
คนทั้งหมดในท้องพระโรงยืนขึ้น เว้นแต่ผู้นำประเทศอื่น ๆ ความพร้อมเพรียงที่เขาจินตนาการมานับร้อย ๆ ครั้งกลับไม่ตื่นเต้นเท่าของจริงแม้เพียงกึ่ง เมื่อกษัตริย์น็อกทิสประทับที่บัลลังก์เรียบร้อย อาลักษณ์จึงประกาศขั้นตอนลำดับต่อไป
"พระนางลูน่าเฟรย่า เฟลอเรต์ ราชกุมารีและพระโหราจารินีแห่งเทเนบราย ประกาศกแห่งอรุณเทวีเอออส เสด็จแล้ว"
ราชินีลูน่าทรงพระดำเนินออกจากฉากลับแลอีกฝั่งหนึ่ง มีนางสนองพระโอษฐ์เดินถือกล่องตามมา ด้วยราชประเพณีแห่งอาณาจักรลูซิส ผู้ที่จะสวมมงกุฎและอภิเษกกษัตริย์ได้จะต้องเป็นพระโหราจารย์จากเทเนบรายเท่านั้น ในครั้งนี้ ยิ่งพิเศษเพิ่มไปอีกเมื่อผู้ที่จะมาสวมมงกุฎให้คือพระราชินีของกษัตริย์นั่นเอง
ราชินีลูน่าหยุดยืนเบื้องหน้าพระราชบัลลังก์ ทรงยิ้มกว้างให้แก่พระสวามี ก่อนจะเอ่ยพระสุรเสียงใสกระจ่างดังทั่วท้องพระโรง
"โอ ชาวเอออสทั้งหลาย บัดนี้ความมืดมิดได้ผ่านพ้นไปแล้ว แสงสว่างคืนกลับ ดวงตะวันดวงใหม่ลอยขึ้น เชื้อสายแห่งราชวงศ์ลูซิสสืบมาถึงลำดับที่หนึ่งร้อยสิบสี่ พระนามแห่งเจ้าชายคือน็อกทิส ลูซิส ไคลัม ทรงเป็นพระราชโอรสแห่งกษัตริย์เรจิสและพระราชินีออเลีย เป็นขัตติยวงศ์ทรงสายเลือดบริสุทธิ์ เป็นวีรบุรุษผู้กอบกู้โลกจากความมืด ทรงปัดเป่าปีศาจร้ายและแผ่พระราชไมตรีแด่ทุกอาณาจักร พวกท่านทั้งหลายที่ประชุมกัน ณ ที่นี้จะรับชายผู้นี้เป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรลูซิส เป็นจอมราชแห่งพระนครอินซอมเนียหรือไม่ หากมีผู้ใดไม่เห็นด้วย ขอให้จงลุกขึ้นและแจ้งเหตุผลของท่านมา"
ความเงียบครู่หนึ่งตามที่คาดไว้ทำให้อิกนิสโล่งอก
"เมื่อที่ประชุมนี้เห็นเป็นเอกฉันท์...เรา--ลูน่าเฟรย่า เฟลอเรต์ โหราจารินีแห่งเทเนบราย ประกาศกแห่งอรุณเทวีเอออส และตัวแทนแห่งชนทั้งหลาย จักกราบบังคมทูลเชิญเจ้าชายเสด็จขึ้นครองราชย์" แล้วพระราชินีก็หันกลับไปหยิบมงกุฎทองคำขาวจากกล่องไม้ในมือนางสนองพระโอษฐ์พร้อมตรัสกับพระสวามีว่า
"เจ้าชายน็อกทิส ลูซิส ไคลัม ท่านจะรับราชสมบัติอันเป็นมฤดกแห่งพระราชบิดา และเป็นของท่านโดยศักดิ์และสิทธิ์อันสมควรทุกประการ ท่านจักปฏิบัติตามเจตจำนงแห่งชาวลูซิสเพื่อชาวลูซิส ธำรงไว้ซึ่งธรรมและหน้าที่ แลราชประเพณีแห่งบุรพกษัตริย์ลูซิส และจงรักต่อเทพเจ้าทั้งหกหรือไม่"
กษัตริย์น็อกทิสปรายมองมาทางเขาและกลาดิโอลุส ถัดไปยังพรอมพ์โต และมาหยุดที่ดวงพระเนตรของพระราชินีลูน่า
"เรารับ"
เมื่อสิ้นพระดำรัส มงกุฎทองคำขาวก็สวมลงบนพระเศียร ชายหนุ่มที่ดูไม่จริงจังกลับกลายน่าเกรงขามราวเทพเจ้ายุคโบราณ สูงสง่าอยู่บนพระราชบัลลังก์ในสรวงสวรรค์ พระราชินีลูน่าก้าวถอยไปเล็กน้อย ก่อนจะคุกเข่าลงเบื้องหน้าพระสวามี
"กษัตริย์ลูซิสพระองค์ใหม่ทรงพระเจริญ"
เสียงโห่ร้องยินดีและถวายพระพรดังกึกก้องไปจนถึงด้านนอก ในอกของเขาสั่นระรัว ข้าง ๆ เขามีเสียงร้องทรงพระเจริญจากคอร์และกลาดิโอลุสดังสนั่นเหมือนเสียงกลอง ดวงตาเบื้องหลังแว่นที่อดกลั้นมาตลอดทั้งวันกลับกลั่นหยดน้ำแห่งความปีตียินดี เขาถอดแว่นออก หลับตา และเช็ดหยดน้ำนั้นออกไป
จงเป็นดวงตาของพระองค์ จงเป็นตะเกียงให้พระองค์แม้ในยามที่มืดมิดที่สุด
ในความมืดหลังเปลือกตานั้น เขาพบตนเองทำหน้าที่ของสมุหราชวังอย่างดีที่สุดแล้ว--------------------------------------------------------------------
"อิกกี้..." เสียงคุ้นเคยปลุกให้เขาตื่น ผิวหนังรู้สึกถึงอุณหภูมิจากแดดที่อุ่นพอประมาณ น่าจะสักเจ็ดโมงครึ่งแล้ว
"ฝันถึงเจ้าชายอีกแล้วเหรอ" มือนุ่มลูบที่แก้มของเขาอย่างอ่อนโยน ตอนนั้นเองถึงรู้สึกว่ารอยหยาดน้ำเปื้อนเป็นทางจากดวงตา
"ครับ..." เขาตอบเพียงนั้น เธอคงเข้าใจดี
"จะให้ฉันลงไปเปิดร้านให้หรือเปล่า" เสียงของเธอถามด้วยความรอบคอบ ไม่มีวี่แววรำคาญใจหรือสงสาร "คุณจะพักต่อก็ได้นะคะ วันนี้ไม่มีของจากที่ไหนมาส่ง แต่พรอมพ์โต้จะมารับคุณไปหาหมอตอนสิบเอ็ดโมง"
"ไม่เป็นไรครับอาราเนีย เดี๋ยวผมลงไปจัดการเอง...คราวนี้ไม่ใช่ฝันร้าย" เขากุมข้อมือเธอ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้น แม้ดวงตาไม่อาจมองเห็นมาเกือบสิบปี แต่เขารู้จักทิศทางบนเรือนร่างของคนรักดีพอ ๆ กับผึ้งรู้จักดอกไม้ เขาจุมพิตเธอเบา ๆ มีกลิ่นกาแฟดำแบบที่เขาชอบ
"คราวนี้ฝันว่าอะไรเหรอ..." อาราเนียถามพลางซบหน้าผากกับเขา นิ้วมือที่คุ้นเคยกับจับหอกกลับนุ่มนวลยิ่งเมื่อเช็ดรอยคราบบนสองแก้ม
"ตอนจบของความฝันน่ะที่รัก...ตอนจบที่มันควรจะเป็น"
บอกไม่ถูกตอนอ่านจบ ว่าอยากจะยิ้มดีไหม หรืออยากจะร้องไห้ ,___, อยากจะยิ้มทั้งน้ำตา เพราะว่าแม้จะเป็นฝันที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะมีได้ แต่มันกลับไม่ใช่ความจริง... ยังดีที่มีอราเนียทั้งความจริงทั้งความฝัน แต่ยังไงก็ ,______, ก็ .....
ในความฝัน เขาได้ปลอบประโลมใจทุกคน ราวกับเป็นสิ่งที่เขาอยากจะทำ อยากจะพูดมาตลอด แต่ไม่เคยมีโอกาส ความสุขในฝันช่างสมจริงแต่สุดท้ายเขาก็ต้องตื่น ,____, ฮืออออ
ขอบคุณสำหรับความรู้สึกทั้งหน่วงและซาบซึ้งนะคะ we all need this once in a while. ขอบคุณมากค่ะ