ประตูเหล็กยืดถูกดึงลงปกคลุมบานประตูไม้ เสียงยามกระทบพื้นของมันเหมือนกับออดดังบอกเวลาเลิกงานอย่างสมบูรณ์
ภัณฑารักษ์หนุ่มยื่นสมุดรายงานประจำวันคืนให้พนักงานรักษาความปลอดภัยหลังลงนามเรียบร้อย ยกมือไหว้ลาผู้อาสุโสกว่า ก่อนจะกระชับกระเป๋าสะพายข้าง เดินเรื่อยๆไปยังรถเต่าสีครีมที่จอดไว้ตรงลานด้านหลังอาคาร ติดเครื่องและบังคับมันเคลื่อนออกจากพิพิธภัณฑ์
ถนนสายหลักขาเข้าเมืองในช่วงเย็นดูเบาบางหากเทียบกับอีกฝั่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยแพไฟสีแดงเบียดแออัด แต่ก็ยังขยับได้ทีละนิด ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเบาะ นิ้วเคาะตามจังหวะเพลงที่เปิดจากโทรศัพท์มือถือ ปากขยับฮัมเพลง บรรเทาความเบื่อหน่ายบนท้องถนนให้ตนเอง แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว ส่งเสียงในลำคออย่างหงุดหงิดเมื่อเสียงเพลงถูกหยุดด้วยสายเรียกเข้า
"ว่า?" ทักเสียงเนือย รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครแม้ไม่ได้เหลือบมองชื่อแสดงบนหน้าจอ
คนที่โทรเข้ามาในเวลานี้ มันก็มีอยู่กลุ่มเดียว
ภาวนาให้เจ้าพวกนั้นชวนไปกินข้าว ดูหนัง สังสรรค์ เพราะวันนี้ก็ล้าจากการสะสางทะเบียนโบราณวัตถุมากพอแล้ว
ไม่อยากจะรับอะไรหนักๆ มาถ่วงน้ำหนักศีรษะเพิ่ม
แต่เหมือนคำวิงวอนในใจของเขาจะถูกปัดตกไป
"ออบซิเดียนว่ะพี่แสง มาเมื่อกี้เลย" เสียงของคนที่เป็นเหมือนน้องชายสายเลือดเดียวกันเหมือนเข็มทิ่มลูกโป่งแห่งความหวังอย่างไม่ไยดี แสงแรกฟุบหน้ากับพวงมาลัย ก่อนเงยขึ้นมาพยักหน้ารับตามความเคยชินทั้งรู้ว่าปลายสายไม่เห็น
"เอามาให้กี่โมงวะจักร กูเข้าเมืองไปซื้อของ ตอนนี้ติดอยู่ตรงขาเข้า"
"เหมือนเดิมพี่" จักรินทร์ตอบ คนแก่กว่าส่งเสียงตอบรับในลำคอ
"โอเค เดี๋ยวกูรีบซื้อของแล้วกลับไปเตรียมรอรับ คราวนี้แบบไหน"
"เรเปียร์"
"ท่าทางรอบนี้เงินจะเข้าอื้อ เตรียมติดต่อช่างซ่อมฝ้าได้เลย"
"ผมก็ว่างั้นพี่ ท่าทางจะเป็นเด็กดีมาตลอด เสียงท่านพ่อตอนโทรมาร้อนรนน่าดู 'เอามันไปที ผมจ่ายให้คุณไม่อั้น' พี่ต้องมาฟังเอง ลนสุดๆ" น้ำเสียงน้องชายฟังเย้ยหยันไม่ปิดบัง ขณะคนพี่ส่งเสียงหึแผ่วเบาในลำคอ
"แต่เราก็หากินกับความลนของเขาไม่ใช่หรอ หืม เป็นน้ำดับไฟสุมทรวง"
"แล้วก็ทำให้จมน้ำได้เหมือนกัน" จักรินทร์รับขันๆ "ผมไปเคลียร์เอกสารลูกความต่อนะพี่ ช่วงนี้เหนื่อยหน่อยนะ พี่เหมไม่อยู่"
"เออ คิดถึงมันแทบใจจะขาดแล้วเนี่ย" แสงแรกหัวเราะน้อยๆ บอกลาคนในสายแล้วหันมามองท้องถนนเบื้องหน้าที่เริ่มมีสภาพเดียวกับอีกฝั่งของเกาะกลางถนน
เสียงเพลงที่หยุดชะงักกลับมาเล่นอีกครั้ง นิ้วเคาะตามจังหวะ ส่งความคิดลอยไปถึงสิ่งที่รอคอยอยู่ยังสถานที่ซึ่งเป็นทั้งที่ทำงานและบ้าน
เรเปียร์...คราวนี้จะเป็นแบบใดกัน
หอคอยยอดแหลมทั้งสี่ยอดดูโดดเด่นเมื่อมีพระจันทร์เต็มดวงเป็นฉากหลัง แสงแรกพารถเต่าสีฟ้าอ่อนคู่ใจผ่านประตูรั้วเหล็กดัดเข้าสู่อาณาเขตคฤหาสน์แบบโกธิคที่ดูใหญ่โตและแผ่กลิ่นอายเยือกเย็นเข้มขึ้นตามระยะที่รถแล่นเข้าไปใกล้และจอดสนิทตรงด้านหน้า
ถึงกระนั้น...ที่นี่ก็เป็นที่อยู่อาศัยของเขามาเกืิอบทั้งชีวิต และเรียกได้เต็มปากว่าเป็นบ้าน
ชายหนุ่มก้าวลงจากรถ ยิ้มทักทายและยกมือไหว้ลุงยามที่ตนเพิ่งเจอไม่กี่ชั่วโมงก่อนอีกครั้ง
"งานนอกเวลาหรอแสง" แกถามยิ้มๆ
"ครับลุง ต้องเตรียมรับดีหน่อย เขาจะมาช่วยเราซ่อมเพดาน" แสงแรกตอบกลั้วหัวเราะ ค้อมศีรษะเป็นเชิงลาแล้วแยกเข้าไปด้านใน ผ่านโถงด้านหน้าที่เป็นส่วนของประชาสัมพันธ์และจำหน่ายตั๋วเข้าชม แบ่งสัดส่วนด้วยบันไดแยกสองฝั่งอันแต่ละฝั่งก็จะเป็นนิทรรศการชั่วคราว เปลี่ยนทุกหกเดือน ซึ่งรอบนี้เป็นคราวของอาวุธสำหรับใช้ในการประหารชีวิตจากประเทศต่างๆตรงฝั่งซ้าย และอาวุธที่ใช้ในการแสดงละครประเภทต่างๆ ตรงฝั่งขวา ส่วนนิทรรศการถาวรที่เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ของอาวุธในประเทศไทยนับแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบันจะอยู่ชั้นสามและสี่ของทั้งสองปีก ซึ่งเส้นทางในการชมพิพิธภัณฑ์จะเริ่มจากชั้นสองฝั่งซ้ายที่เป็นนิทรรศการประหารชีิวิต เดินขึ้นชั้นสามและสี่ ข้ามมาปีกขวา ลงไปจบที่ห้องนิทรรศการอาวุธกับละคร ลงบันไดมาพบกับร้านขายของที่ระลึก
นั่นคือส่วนของพิพิธภัณฑ์อาวุธที่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมในเวลาทำการ...
ชายหนุ่มไม่ได้ขึ้นบันไดไปด้านบน หยุดเพียงตรงทางขึ้น ทาบฝ่ามือกับผนังที่ส่งเสียงประมวลผลครู่หนึ่งก็ยุบลง เคลื่อนออกจากกันเผยแผงตัวเลขให้กดรหัสผ่านเข้าไป จากนั้นรอกระทั่งได้ยินเสียงตอบรับรหัสถูกต้อง ตามด้วยผนังเลื่อนเปิดให้เห็นประตูไม้ขัดเงาด้านใน เขาหยิบกุญแจดอกเหลืองดอกใหญ่แบบโบราณขึ้นมา และไขเปิดมัน
ด้านหลังประตูลับคือห้องรับแขกที่ตกแต่งแบบวิคตอเรียน เน้นโทนสีน้ำตาลและขาว เส้นสายอ่อนช้อยของเครื่องเรือนรวมถึงลวดลายต่างๆซึ่งเน้นลายพรรณพฤกษา สร้างความสบายตาและผ่อนคลายปลุกปลอบผู้มาเยือนซึ่งต่างมาพร้อมกับความวิตก ร้อนรน
แสงแรกตรงเข้าไปเปิดประตูเชื่อมห้องติดกันที่เป็นห้องครัวเล็กๆ สำหรับเตรียมเครื่องดื่มและขนมทานเล่น อ่านฉลากที่แปะไว้บนโหลแก้วบรรจุใบชาหลายสิบโหลวางเรียงกันบนชั้นไม้ติดผนัง พิจารณาแล้วเลือกชนิดที่คิดว่าเหมาะกับผู้มาเยือนในค่ำคืนนี้
แขกประเภทเรเปียร์...ต้องคัดสรรสิ่งที่ดีกว่าประเภทอื่นเสมอ เพราะชอบการพะเน้าพะนอ และผู้ดีเก่ามักจิตใจเปราะบางกว่าถ้วยกระเบื้องที่พวกนั้นใช้จิบน้ำชายามบ่าย จึงต้องการให้ปลอบขวัญมากหน่อย
เสียงกริ่งดังขึ้นในขณะที่บรรจงวางทาร์ตผลไม้ชิ้นสุดท้ายลงบนจานพอดี แสงแรกจัดเสื้อผ้าบนตัวให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินผ่านห้องโถงกว้างออกไปรับรถคันหรูสีดำปลอดที่มาจอดเทียบหน้าประตูทิศตะวันตก ยืนรอต้อนรับชายหญิงวัยกลางคนในเสื้อผ้าเรียบหรูที่ก้าวลงจากรถลงมายืนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ในอ้อมแขนของฝ่ายชายมีห่อผ้าสีแดงอยู่ แม้จะพยายามข่มอาการไว้ภายใต้กิริยาสงบ แต่มือที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลาก็สั่นสะท้าน
รอยด่างที่แต้มบนผ้าลินิน หนักเกินจะรับไหว
ภัณฑารักษ์หนุ่มกระพุ่มมือไหว้คนทั้งสองอย่างนอบน้อม ใบหน้าหล่อเหลาราวรูปจำหลักคลี่ยิ้มเยื้อน
"สวัสดีครับ ไวท์ชาเปลยินดีรับใช้"
ลูกตุ้มนาฬิกาโบราณตรงโถงทางเข้าแกว่งไกว ส่งเสียงกังวานครั้นเข็มสั้นบรรจบกับเข็มยาวยังเลขสิบสอง
พิพิธภัณฑ์ในส่วนที่มิให้บุคคลทั่วไปเข้าชม...เปิดทำการแล้ว
TBC.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in