4 มิถุนายน 2564
บ่ายวันนี้ไปอัปเดตฟีดแบ็คต้นฉบับมาแล้ว รีแอ็คชันของพี่ ๆ ในกองไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่กังวลไว้ตอนแรก
ขอเล่าย้อนไปถึงตอนเช้าก่อน
สิบโมงสิบห้า สืบเนื่องจากที่เมื่อคืนยังไม่ได้สรุปคอมเมนต์ที่เขียน ๆ ไว้ ตอนเช้าก็เลยมานั่งสรุปคอมเมนต์ จำแนกเป็นข้อ ๆ ตามองค์ประกอบในเรื่อง เพื่อให้พูดแล้วเข้าใจง่าย และสื่อสารได้ตรงจุด ฉันที่ความจำปลาทองโคตร ๆ เลยเหมือนกับใช้วิธีนี้ทบทวนความจำ และกลั่นกรองความกระจัดกระจายทั้งหลายแหล่จนพารานอยด์ว่า 'หรือกุลืมอะไรไปรึเปล่า' อีกทั้งวิธีนี้ยังช่วยป้องกันไม่ให้พี่ ๆ ในกองที่เป็นผู้ฟังฟีดแบ็กต้องพลอยงงไปด้วย
ฉันเป็นคนคิดฟุ้งซ่าน คิดนั่นคิดนี่เยอะแยะ ซับซ้อน จุกจิกบางทีก็งงกับความคิดตัวเองเหมือนกัน แต่เพื่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ฉันจะเอาความวุ่นวายพวกนั้นไปส่งต่อให้คนอื่นไม่ได้ เพราะเขาจะฟังฉันไม่รู้เรื่อง
นี่คือเรื่องหนึ่งที่กังวล
อีกเรื่องที่กังวลก็คือ เดี๋ยวนะ ในเมื่อฉันเป็นคนคิดฟุ้งซ่าน เยอะแยะ ซับซ้อน แล้วฟีดแบ็คที่ฉันมีให้กับต้นฉบับคราวนี้จะเป็นฟีดแบ็คที่ดีหรือเปล่า ถึงแม้ว่าจะปรึกษาเพื่อนไปแล้ววันก่อน แต่จนถึงเมื่อเช้า ฉันก็อดกังวลไม่ได้อยู่ดี เพราะหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา การคิดซับซ้อนของฉันก็เป็นพิษ บางทีมีคนที่มาเจอฉันคิดแบบนี้ก็มองว่า จะคิดอะไรเยอะแยะ วุ่นวาย คิดอะไรง่าย ๆ บ้างสิ คิดมากไปแล้วได้อะไร หรือบางทีมันก็ทำให้ฉันหลงประเด็น แทนที่จะมองเห็นปัญหาสำคัญที่ใคร ๆ ก็เห็น กลับมองไม่เห็น หลุดไปดูอีกอย่าง จนเหมือนออกนอกโฟกัสและกลายเป็นคนที่จับประเด็นสำคัญไม่ได้แทน
เรื่องที่เคยเกิดขึ้นในทำนองนี้ทำให้ฉันไม่ค่อยกล้ามีความมั่นใจกับความคิดตัวเองเท่าไหร่ แต่พอมันมาถึงจุดนี้แล้ว จุดที่ฉันก็พยายามอ่านต้นฉบับอย่างตั้งใจ และคิดให้รอบคอบที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว ฉันก็ต้องลองเสี่ยงดูสักตั้ง ว่าพี่ ๆ ในกองคิดเห็นยังไง
ฉันเขียนสรุปปัญหาเสร็จประมาณ 11 โมง ความยาวประมาณสองหน้าสมุด A5 ลิสต์เรื่องสำคัญที่จะพูดครบแล้ว มีเรื่องที่ทั้งชมทั้งด่า (แต่เรื่องด่าเยอะกว่าหน่อย นี่ก็กังวลเหมือนกันว่าฉันจับผิดเกินไปมั้ย ทำไมมัน end up ว่าด่าเยอะขนาดนี้) พร้อมประชุมตอนบ่ายแล้ว ถึงจะยังไม่มั่นใจอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่า ยังมีสิ่งที่เขียนไว้เป็นเพื่อนคู่ใจสำหรับการประชุมบ่ายนี้
บ่ายสอง ได้เวลาประชุม ฉันกดเข้า Zoom ไปเป็นคนแรก ๆ (อีกแล้ว) นั่งมือสั่น เหงื่อเริ่มตกนิด ๆ ในใจสวดมนต์ให้ตัวเองใจเย็น ๆ ไม่ต้องกลัว ทำผิดไม่ได้แปลว่าตาย แค่เรียนรู้และแก้ไขก็พอแล้ว พวกเราใน Zoom รอคนมาครบประมาณสองนาที แล้วก็เริ่มประชุม
พี่ๆ ในกองมอบไมค์ให้ฉันพูดคนแรก ฉันอุทานในใจว่าเชี่ย แต่เป็นเชี่ยที่ไม่ได้แปลว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเกินความคาดหมาย แล้วก็เริ่มตั้งท่าโซโล่ตามสิ่งที่จดไว้ในสมุด
พี่ในทีมคนหนึ่งเปิดฟลอร์ถามว่า อ่านแล้วเป็นไง สนุกมั้ย ชอบมั้ย
ฉันตอบพี่กลับไปว่า 'ไม่ค่อยชอบ' น้ำเสียงกล้า ๆ กลัว ๆ
พี่ตอบฉันกลับมาทำนองว่า ได้ดิ ไม่เป็นไร ไม่ชอบยังไงไหนเล่า
ฉันเปิดฉากฉอด เริ่มด้วยชม จบด้วยด่า ตามสเต็ปที่ฉันฝึกปรือมาเป็นอย่างดีจากการเขียน response paper ในวิชาวรรณกรรมที่ได้เรียนตลอดสี่ปีที่ผ่านมา (พี่ในทีมคนหนึ่งเรียกสเต็ปนี้ว่า ลูบหัวแล้วตบหลัง //ฉันอยากเปลี่ยนเป็นคำว่า 'ทุบหลัง' มากกว่า555555)
เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ฉันรู้สึกว่าตัวเองพูดยาว เพราะมีเรื่องที่เตรียมมาพูดหลายเรื่อง มีทั้งเรื่องหนักเรื่องเบาผสมกัน ฉันพยายามคุมสติ พูดให้เป็นธรรมชาติ ฟีลแลกเปลี่ยนกัน เล่าให้ฟังว่าทำไมคิดแบบนี้ พลางกังวลไปด้วยว่าพูดเร็วไปมั้ย พี่ ๆ ฟังทันมั้ย ฉันเบรกให้พี่ ๆ พักหายใจหายคอบ้างทันมั้ยนะ
พอพูดจบ ก็ได้รับการยืนยันว่าพูดยาวจริง เพราะมีพี่ในทีม response มาว่า "ตั้งแต่มีเด็กฝึกงานมา น้องเป็นคนแรก ๆ ที่คอมเมนต์ต้นฉบับยาวขนาดนี้"
คงจะใจเสีย ถ้าก่อนหน้านี้พี่อีกคนไม่ได้พูดว่าว่า "มันว่ะ"
(จุดพลุ)
รีแอคชั่นของพี่ ๆ คนอื่นในทีมก็เป็นไปในเชิงบวกเหมือนกัน พี่บางคนที่เปิดกล้องยกนิ้วให้ ตบมือเป็นกำลังใจให้ เห็นอย่างนั้นฉันก็ดีใจและโล่งอก สบายใจแล้วที่การนำเสนองานครั้งนี้ไม่อะไรผิดพลาดร้ายแรงจนต้องเอากลับมานอนคิดมาก
หลังจากนั้นก็เป็นช่วงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพี่ ๆ ในกองว่าการให้ฟีดแบ็กครั้งแรกของฉันเป็นยังไงบ้าง เนื่องจากครั้งนี้ก็ด่าเยอะแล้ว ฉันเลยคร่ำครวญไปเล็กน้อยว่า พูดยาว/แรงขนาดนี้ได้มั้ย มันมากไปหรือเปล่า พี่ ๆ ในกองตอบว่า พูดได้ ปกติเวลาประชุมกองบก. พี่ ๆ ก็คุยกันประมาณนี้แหละ โดยเฉพาะเมื่อต้นฉบับเป็นวรรณกรรม เพราะแว่นในการอ่านวรรณกรรมมันค่อนข้างเป็นแว่นส่วนตัว ทีนี้ใครอ่านแล้วคิดยังไงก็มาแชร์ ประเด็นไหนที่เห็นขัดแย้งกันก็ผลัดกัน defend แนวคิดของตัวเองเพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน ไม่แปลกที่เราอาจจะชอบหรือไม่ชอบงานเขียนสักเรื่อง จุดประสงค์ของการประชุมกองบก. ก็ประมาณนี้แหละ มาแบ honest opinion ของแต่ละคนดูว่าคิดเห็นยังไง เพื่อให้สามารถปรับปรุงต้นฉบับให้ดียิ่งขึ้น
แต่เมื่อมันมี negative feedback เยอะ (เช่นกรณีนี้) เมื่อถึงเวลานัดคุยกับนักเขียนเพื่อเสนอแนะแนวทางหรือปรับความเข้าใจเกี่ยวกับต้นฉบับร่วมกัน เราอาจจะพูด honest opinion ของเราไปไม่ได้ตรง ๆ เสียทุกครั้ง เพราะฉะนั้น หลังจากเราได้ฉันทามติในที่ประชุมแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการหาวิธีพูดให้ถนอมน้ำใจนักเขียน และเปิดใจแลกเปลี่ยนความคิดกับนักเขียนให้เยอะ ๆ บางทีเนื้อความบางตอนที่เรามองว่ามันเป็นปัญหาสำหรับนักอ่านอย่างเราจนอยากจะเปลี่ยน ๆๆๆๆ พอได้คุยกับนักเขียนแล้วอาจจะได้มุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น เราอาจได้ค้นพบว่า แท้จริงแล้ว อุปสรรคของมันอาจจะไม่ได้อยู่ที่ตัวเนื้อความ แต่อาจอยู่ที่วิธีการสื่อสารที่ lead to misunderstanding ซึ่งนักเขียนอาจจะไม่ทันคิด หรือไม่ทันแก้ไขตอนเขียนออกมา ซึ่งถ้าเราด่วนสรุปและตัดมันทิ้ง หรือเปลี่ยนมันไปเป็นอีกอย่าง มันอาจเป็นการลดทอนตัวตนของนักเขียนลงไปอย่างน่าเสียดายก็ได้ ปัญหาพวกนี้เป็นเรื่องที่สามารถเอามาคุยและปรับปรุงได้ อยู่ที่ทั้งสองฝ่าย (นักเขียน & กองบก.) ว่าจะตกลงกันว่าจะตัดสินใจปรับต้นฉบับยังไง สุดท้าย ก็จะเกิดต้นฉบับที่สมบูรณ์มากขึ้นและยังคงเอกลักษณ์นักเขียนคนนั้น ๆ ไว้ได้อย่างดี :)
การนำเสนองานของฉันจบลง ถึงตาเพื่อนฝึกงานของฉันอีกคนแล้ว ขอเปิดตัวละครลับ ณ บัดนี้
จริง ๆ ก่อนหน้านี้เราสองคนได้คุยกันแล้ว เพราะว่าต้องช่วยกันคิดงานอีกงานที่ได้รับมอบหมายมาว่าให้ทำด้วยกัน ด้วยความที่เรียนสายเดียวกัน (ฉันเรียนอักษรฯ เพื่อนเรียนศิลปศาสตร์) ทำให้เราเข้าใจกันได้เร็ว ตอนคุยงานก็แวะพักคุยเรื่องเรียนเรื่องชีวิตในมหาลัยไปด้วย ทำให้พบว่าชีวิตของพวกเราทั้งสองคน related กันหลายเรื่อง เราเจออะไรคล้าย ๆ กัน เรียนคล้าย ๆ กัน คิดคล้าย ๆ กัน พอเจอคนที่เข้าใจกันดีแบบนี้ ก็ทำให้บรรยากาศการทำงานสนุกขึ้น
อ๊ะ ลืมบอกว่า วันนี้ฉันกับเพื่อนต้องเอางานคู่ที่ไปคิดด้วยกันมามาขายในที่ประชุมด้วย ซึ่งก็นั่นแหละ พวกเราก็กังวลว่า ไอเดียที่เราคิดและซื้อๆๆๆ กันอยู่สองคนเนี่ย พี่ ๆ ในกองจะซื้อมั้ย 5555555
ตัดภาพกลับมาที่การนำเสนอฟีดแบ็คต้นฉบับของเพื่อน
ฉันนั่งฟังเพื่อนนำเสนอต้นฉบับที่เพื่อนได้รับมอบหมายมา ซึ่งเป็นต้นฉบับคนละประเภทกับฉัน (เพื่อนได้ต้นฉบับสารคดี) เพื่อนนำเสนอได้ดีมาก แม้ว่าฉันจะไม่ได้อ่าต้นฉบับนั้นมาก่อน แต่พอฟังเพื่อนแล้วก็คิดภาพตามออกและจินตนาการตามได้ว่าเรื่องจะเป็นยังไง นอกจากนั้น เพื่อนยังสะกัดปัญหาออกมาได้ตรงจุด และเสนอแนะเนื้อหาที่ควรปรับปรุงแก้ไขได้น่าสนใจ เป็นประเด็นที่ฉันเห็นด้วยทุกอย่าง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมเพื่อน ประทับใจมากตั้งแต่ตอนคิดงานด้วยกันแล้ว เป็นอย่างที่ฉันคิดไว้จริง ๆ ว่าวันนี้เพื่อนต้องทำออกมาได้ดีแน่ ๆ <3
พอมาถึงพาร์ทขายงานคู่ แน่นอนว่าไอเดียที่พวกเราคิดมาก็คือ ผ่านฉลุยๆๆๆ /หลังไมค์ก็คือ ทักไปกอดคอกันกรี๊ดด้วยความดีใจ โล่งอก และซาบซึ้ง
พี่ ๆ ทิ้งท้ายการประชุมด้วยการแนะนำเรื่องนั้นเรื่องนี้เพิ่มเติมนิดหน่อย ก่อนจะปิดประชุมไป เจอกันใหม่วันจันทร์ น้อง ๆ อย่าลืมพักผ่อนกันด้วย เหนื่อยมาทั้งสัปดาห์แล้ว
เห้อ ก็จริง ฝึกงานวีคแรกอะ เหนื่อยจริง มีช่วงเวลาที่ suffer ผลุบ ๆ โผล่ ๆ มาบ้างแล้วเหมือนกัน แต่ก็โอเค เสาร์อาทิตย์นี้ฉันคงเอนหลัง อ่านนิยายที่อ่านค้างไว้เมื่อวันจันทร์ต่อ เพราะยังไม่ได้แตะอีกเลยตลอดสัปดาห์ จะพักให้เต็มที่สุด ๆ ไปเลย!
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in