**บทความนี้เขียนขึ้นหลังจากตอนที่ 24 ฉาย**
ผมเริ่มดู Osomatsu-san (โอโซมัตสึซัง) ตอนที่ฉายไปได้ 3-4 ตอน ปกติไม่ค่อยได้ไล่ดูการ์ตูนทุกเรื่องอยู่แล้ว แต่เห็นเรื่องนี้เป็นที่พูดถึงกันพอสมควรในตอนนั้นเลยตัดสินใจลองดูตอนที 1 แล้วก็ดูตอนอื่นต่อๆ มาก็รู้สึกว่ามันเป็นแอนิเมชั่นที่ตรงกับสเปคตัวเองดีก็เลยดูต่อมาเรื่อยๆ จริงๆ ตั้งใจจะพูดถึงแอนิเมชั่นเรื่องนี้ตั้งแต่แรกๆ แล้ว แต่ก็ไม่ได้เขียนเสียที จนสุดท้ายแอนิเมชั่นเรื่องนี้ได้ฉายมาถึงตอนที่ 24 ก็ทำให้เห็นภาพอะไรชัดขึ้น จึงตัดสินใจที่จะกลับมาเขียนบทความนี้ใหม่อีกครั้ง
โอโซมัตสึซังประสบความสำเร็จได้ก็เพราะมีปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฐานชื่อเสียงเดิมที่มีอยู่แล้วหรือนักพากย์ชายชื่อดัง แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนกล่าวถึงจนต้องหันมาดูก็คงไม่พ้น “ตอนแรก” ที่เป็นที่กล่าวขวัญไปพักใหญ่
ถ้าอธิบายสั้นๆ ตอนแรกของโอโซมัตสึซังเปิดฉากด้วยภาพการ์ตูนขาวดำแบบยุค 80 ตัวละครคนหนึ่งออกมาแจ้งข่าวให้กับตัวละครที่เหลือว่าเรื่องของพวกเขาจะได้เป็นแอนิเมขั่นอีกครั้ง แต่ว่าการ์ตูนลายเส้นโบร่ำโบราณแบบนี้ใครเขาจะมาดู จนมีตัวละครคนหนึ่งเกิดความคิดดีๆ ที่จะทำให้โชว์นี้อยู่รอดได้ นั่นก็คือการเปลี่ยนทุกอย่างในเรื่องให้เป็นแบบสมัยนิยมที่ผู้ชมยุคนี้กำลังนิยม ไม่ว่าจะเป็นลายเส้นหนุ่มหล่อ (อิเคะเม็ง) แนวโรงเรียน แนวไอด้อล แนวโอโตเมะ ทุกคนเปลี่ยนโฉมเปลี่ยนแนวเพื่อให้ทุกอย่างชอบ และใส่เซอร์วิสทุกอย่างให้ผู้ชมแบบไม่ยั้ง
จนผลสุดท้ายมันกลายเป็นความเละเทะที่ใส่ทุกอย่างที่คนชอบจนกลายเป็นอะไรไม่รู้ ทำให้ต้องหยุดความวุ่นวายนี้กลางคันก่อนที่โชว์จะเละไปมากกว่านี้ หลังจากนั้นเพลงเปิดของเรื่องก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอและเข้าสู่ “รายการจริงๆ” ในเวลาถัดมา และแสดงภาพให้เราเห็นว่าแฝดหกที่รักในอดีตของพวกเรานั้น จนถึงตอนนี้ก็ไม่ได้ทำการทำงานอะไร เอาแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ เป็นแค่นี้ทเกาะที่บ้านกินดีๆ นี่เอง!
ช่วงแรก โอโซมัตสึซัง ได้รับคำสบประมาทอยู่บ้าง ว่าเป็นการ์ตูนขายนักพากย์ที่เนื้อในคงไม่มีอะไรไปมากกว่าให้ผู้ชมฟังเสียงนักพากย์แบบฟินๆ แต่พอผ่านไปหลายตอน เสียงสบประมาทเหล่านั้นก็ได้จางหายไป เพราะนอกจากโอโซมัตสึซังจะเป็นการ์ตูนแก๊กบ้าพลังที่สนุกสนานแล้ว มันยังแฝงสารหนึ่งที่บอกกับผู้ชมเสมอมา นั่นก็คือเรื่องราวของเด็กที่ถึงเวลาต้องโตเสียที
การ์ตูนเรื่องนี้มันเล่นความกลัวของคนยุคนี้หลายๆ อย่าง เรื่องงาน เรื่องครอบครัว เรื่องเพื่อน เรื่องสังคม พอรู้ตัวอีกทีเพื่อนที่เคยเป็นลูกไล่สมัยเด็ก (ฮาทาโบ) ก็กลายเป็นใหญ่เป็นโตไปแล้ว เพื่อนที่เล่นมาด้วยกัน (จิบิตะ) ก็เป็นการเป็นงานแล้ว บ้านที่เคยอยู่ก็ห้อมล้อมไปด้วยตึกใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ราวกับเป็นสังคมที่กำลังบีบคั้นพวกเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เพราะจริงๆ แล้วนี้ไม่ได้เป็นได้เพราะเพียงความขี้เกียจ แต่ปัญหาสำคัญคือความกดดันทางสังคมทำให้หลายคนไม่กล้าที่จะออกไปเผชิญกับโลกแห่งความจริงที่เต็มไปด้วยความน่ากลัว ความจริงของโลกที่น่าหวาดหวั่น พวกเขาจึงเลือกที่จะอยู่ในเซฟโซนของตัวเองมากกว่า แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่เราจะอยู่ในเซฟโซนตลอดไป จนเมื่อวันหนึ่งเซฟโซนนั้นสั่นไหว เราก็ต้องเปลี่ยนแปลง
การหวั่นไหวของเซฟโซนครั้งแรกของแฝดหกเกิดขึ้นในตอนที่ 4 เมื่อพ่อกับแม่ของพวกเขาทะเลาะกันจนจะแยกกันอยู่ แต่ด้วยความเป็นการ์ตูนตลกทำให้เรื่องทุกอย่างจบลงด้วยดี หลายคนอาจจะมองว่าเซฟโซนของแฝดหกคือการอยู่ที่บ้านกับพ่อแม่ แต่จริงๆ แล้วมันอาจไม่ใช่แบบนั้น เพราะจริงๆ เซฟโซนของทั้งหกคนคือ การที่ทั้งหกคนนั้นอยู่ด้วยกัน
ความเป็นแฝดหกของโอโซมัตสึซังไม่ได้เป็นแค่จุดเด่นหลอกๆ ในเรื่องเองก็มีการใช้ความเป็นแฝดหกในการเล่นมุกกับการดำเนินเรื่องอยู่บ้างนิดหน่อย แต่พอมาถึงตอนล่าสุดนี้ เรากลับคิดว่าแฝดหกที่เกิดมาอยู่ด้วยกัน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน นอนด้วยกัน อาบน้ำด้วยกัน จะผูกพันกันมากแค่ไหน จริงๆ เรื่องนี้เคยบอกไว้แล้วครั้งหนึ่งตอนของ “เอสป้าเนียนโกะ” แมวพลังจิตที่อ่านใจคนได้ อิจิมัตสึ พี่น้องคนที่สี่มีความในใจว่าที่เขาไม่หาเพื่อนไม่หาสังคมก็เพราะว่า “มีพวกนายอยู่ก็พอแล้ว” เราคิดว่าลึกๆ แล้วทุกคนก็รู้สึกเหมือนกัน เมื่อมีความสั่นไหวเกิดขึ้นกับเซฟโซนของพวกเขา พวกเขาก็ต้องรีบทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม
จนในที่สุดถึงตอนที่ 24 เมื่อแฝดคนหนึ่งต้องออกจากบ้านไปหางานทำ ที่สำคัญคือไปอยู่ที่หอของบริษัท เซฟโซนของพี่น้องทั้งหกก็แตกสลายโดยสิ้นเชิง เชื่อเถอะว่าภาพที่ทุกคนเห็นมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะชีวิตที่ผ่านมาของพวกเขาคือการอยู่ในวัฎจักรที่เล่นซ้ำจนกลายเป็นความเคยชิน แต่แล้วให้ทำอย่างไรได้เล่า เพราะถึงเวลาหนึ่งแล้วทุกคนก็ต้องจากเราไปอยู่ดี
โอโซมัตสึซังไม่ใช่แอนิเมชั่นประเภทที่ยกยอเอาใจชาวนี้ท เหมือนกับสื่อบันเทิงเฉพาะกลุ่มสมัยนี้เป็น มันแอบด่าด้วยซ้ำ หากเทียบกับเรื่องอื่นๆ ที่เป็นเชิงยกยอสรรเสริญจะไม่ออกมาเป็นอย่างนี้ สิ่งที่เราเห็นนอกจากความอเนจอนาถในแต่ละตอน ยังมีตอนพิเศษอีกหลายตอนที่เป็นแนวๆ นั้น อย่างตอนที่ 13 “ซาเนมัตสึซัง” เรื่องก็แสดงให้เห็นว่าพี่น้องที่อยู่ด้วยกันไปจนแก่มันไม่ใช่เรื่องที่ดูแล้วน่าโสภาเท่าไหร่นัก ตอนที่ 9 ครึ่งหลังก็มีคำเสียดสีอย่าง “ไม่มีการงานทำแล้วจะอยู่ด้วยกันได้ยังไง”
กล่าวก็คือมันมีหลายฉากที่เอาความจริงมาล้อเล่นบ่อยมาก ถ้าสังเกตจากโจชิมัตสึ ที่เปลี่ยนแฝดหกมาเป็นผู้หญิง หลายคนจะรู้สึกได้เลยว่านี่คือการเอาเรื่องจริงมาล้อเล่น เช่นเดียวกับตอน 24 ครึ่งแรก ที่เอาความกลัวของคนวัยยี่สิบปลายว่าสุดท้ายแล้วเรากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ คนอื่นเขาไปถึงไหนแล้วมาตบใส่ตัวละครเป็นฉากๆ
ขณะที่เขียนบทความอยู่นี้ ยังไม่มีใครรู้ว่าโอโซมัตสึซังจะจบลงอย่างไร อาจจะเป็นนี้ทไปตลอดกาลหรือแต่ละคนจะมีชีวิตใหม่ หรืออาจจะเปลี่ยนทิศทางไปในทางที่คาดไม่ถึง (โอโซมัตสึซังเป็นแอนิเมชั่นที่ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าแต่ละตอนมันจะจบอย่างไร เพราะเต็มไปด้วยความเซอร์ไพรส์ตลอดเวลา) แต่ส่วนตัวแล้วเราอยากให้ตัวละครทุกคนเติบโตและมีชีวิตในทางของตัวเอง บนโลกใบนี้ยังมีเรื่องให้พวกเขาได้เรียนรู้อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวด ความอบอุ่น หรือความผิดหวัง เพราะทุกอย่างมันรวมกันแล้วเราถึงเรียกได้ว่ามันเป็นชีวิต
เข้าใจว่าทีมงานอาจจะลำบากใจพอสมควร (หรืออาจจะไม่ลำบากใจอะไรเลยก็ได้) ไม่รู้ด้วยว่าบ่อเงินบ่อทองแบบนี้จะยอมให้จบง่ายๆ หรือเปล่า แต่ก็มีหลายเรื่องที่จบสวยๆ ไปเลยแล้วหากินได้ยาวๆ หรือหากินกระแสต่อกับมูฟวี่ได้ ซึ่งสุดท้ายก็เป็นเรื่องที่เราต้องดูกันต่อไปในอนาคตว่าแอนิเมชั่นเรื่องนี้จะเป็นผลงานสวยๆ ที่จบในตัวให้คนจดจำหรือต้องกลายสภาพเป็นสินค้าอีกเรื่องถึงขายได้แล้วรอวันดับสูญไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in