เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าฤดูฝนSnapDiary
-ระยะห่างระหว่างเรา-
  • ฝนฟ้าเป็นใจ ให้ใครคนหนึ่งฝ่าการจราจรเข้ามายืนเคียงข้างกันกับผม

    ใต้ชายคาร้านค้าขนาด หกตารางเมตร ยังมีที่ว่างพอที่จะทำให้เราสองรักษาระยะห่างต่อกัน ลมระลอกเล็กพองามพัดพาละอองฝน มาทางสองเรา ลมฝนครั้งนี้ส่งผลให้เส้นผมบนใบหน้าเธอเคลื่อนไหวไร้ทิศทาง 
    ผมแอบมองไปที่ใบหน้าเธอคนนั้น ละอองน้ำเกาะตามผิวหน้าไร้เครื่องสำอางค์ และคิ้วที่ขมวดตามอารมณ์ในใจเธอ ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะจ้องมองเธอนานกว่านี้(ผมบอกตัวเอง) แล้วหันหน้ากลับมาตามเดิม (ทั้งๆที่ในใจคิดอยากจะมองนานเท่าที่จะทำได้)

    ผมหันออกไปมองถนนเบิ้องหน้า รถราหนาตาเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือกลิ่นจากท่อระบายน้ำ ที่ลอยอบอวลมารบกวนการหายใจ นี่ขนาดสวมแมสยังเหม็นได้ขนาดนี้ ถ้าถอดออก... กลิ่นนี้คงเพิ่มความทุกข์หนักหนาน่าเป็นลมแน่ๆ

    เสียงโทรศัพท์ใครคนหนึ่งดังขึ้น และใครที่ว่านี้คงเป็นของเธอ เพราะมือถือของผมแบตหมดลงตั้งแต่ ลมฝนห่านี้เพิ่งตั้งเค้า เธอกดรับสาย และพยายามฟังเสียงคู่สนทนา ทว่า เสียงฝนนั้นรบกวนให้ระดับการได้ยินลดลง เธอออกอาการหงุดหงิดกับสิ่งรอบตัว ไม่นานเธอก็เงยหน้าขึ้น พ่นลมหายใจ เพื่อปรับอารมณ์ ไม่ให้เผลอปล่อยออกมาให้คู่สนทนาได้ยิน “เค้ารออยู่ที่เดิมนะ เร็วๆด้วย” นี่คือความหมาย ที่ผมแปลได้ จากการอ่านปากของเธอ 
    เมื่อสายถูดตัดไป อารมณ์ในใจเธอที่ถูดกดไว้ ถึงคราวต้องเอ่อล้นออกมาเป็นคำพูด “ไอ้เห้…เอ้ย กว่าจะมาได้ กูปวดเข้ ได้ยินม้ายยยยยยยย” เธอตะคอกใส่โทรศัพท์ที่ไร้คนฟังปลายสาย 
     เสียงลมฝนที่รบกวนรอบข้าง ไม่อาจทานระดับเดซิเบลที่เธอเปล่งออกมาได้ ผมจึงรับรู้ความหมายของเสียงนั้นไปโดยที่ไม่ต้องอ่านปากของเธอเหมือนเธอจะรู้ว่า…การปล่อยอารมณ์เมื่อครู่ มีบุคคลที่สามได้ยิน
    “ซวยแล้ว…” ผมคิดในใจ แล้วแกล้งทำเป็นไม่รับรู้เรื่องราวรอบตัว หันไปมองฟ้าฝน ตามประสาคนระแวงโดนจับผิด“ทำไมผมต้องรู้สึกผิดด้วยวะ” เสียงสองในมโนสำนึกถามผมในหัว ยังไม่ทันจะได้คำตอบจากคำถามนี้ เธอก็ขยับเข้ามาชิดผม หันซ้ายขวา แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆจนเกือบจะได้กลิ่นลมหายใจใต้แมส “ถ้าบอกมัน ว่า กูตะคอกอะไรออกไป มึง…. “ แล้วเธอก็แสดงท่าเอามือเชือดคอตัวเอง…
    ผมรู้ความหมายในสารสัญลักษณ์ที่เธอส่งมา พร้อมกับพยักหน้าเป็นการตอบแทนให้เธอสบายใจ“สาแก่ใจเธอแล้วใช่ไหม?” ผมถามเธอผ่านความรู้สึกในใจ แล้วยืนนิ่งๆ ทบทวนความสัมพันธ์ของสองเราตลอดเวลาที่รู้จักกัน ผมเป็นเบ้รองรับอารมณ์เธอมาตลอด โดยไม่แสดงท่าทีขัดขืนแม้สักครั้ง แต่มีสิ่งเดียวที่ผมทำไม่ได้ คือ ขืนขัดหักห้ามความรู้สึกตัวเองที่มีต่อเธอ...
    ฝนหยุดลงแล้ว….มีเพียงละอองน้ำบางส่วนที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ ผสมกับผู้คน ที่เริ่มทะยอยออกจากชายคา เข้าหาตำแหน่งที่หมายปอง คนแล้วคนเล่า เราสองต่างยืนนิ่ง มองริ้วน้ำระลอกเล็กริมถนน ไหลลงไปในระดับที่ต่ำกว่า ระลอกแล้วระลอกเล่า จนเวลาเดินทางไปหลายนาที ก็ปรากฎรถเก๋งคันหนึ่งเคลื่อนตัวเข้าหาชายคาของเราสอง กระจกถูกลดระดับลง คนขับบีบแตรทักทายผม ตามประสาเพื่อนที่รู้จักกันมานาน 
    เธอที่ยืนข้างกายผม วิ่งตรงเข้าหาประตูรถ คันนี้ เมื่อทุกอย่างพร้อม แตรถูกกดอีกครั้งเป็นสัญญาณร่ำลา ระหว่างเราสามคน เธอลดกระจกลงมา ในขณะที่รถกำลังเคลื่อนตัวออกไป สัญลักษณ์เดิมที่เธอเคยทำขู่ผม เมื่อครั้งสายฝนโปรยถูกแสดงขึ้นอีกครั้ง 
    ผมยิ้ม และพยักหน้า เป็นคำตอบพร้อมโบกมือลาเพื่อนสนิททั้งสองคน 
    ผมมองรถเก่งคันนั้นจนกระทั่งมันลับสายตาไป จึงเริ่มคิดวางแผนหาอะไรลงท้อง….ก่อนที่สายฝนจะโปรยปรายลงมาอีกครั้ง 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in