ในที่สุดเขาก็ก้าวพ้นพงหญ้าสูง สองเท้าค่อยๆก้าวออกมาสู่ทุ่งหญ้าแห่งใหม่ ที่เป็นสีเขียวเข้ม ไม่มีอะไรนอกจากพื้นหญ้า ที่อาณาบริเวณกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ตัดกับท้องฟ้าสีแดงเข้มที่ปราศจากเมฆใดๆ ขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไปนั้นเปล่งประกายเป็นสีทองสุกสว่าง จนทำให้สถานที่แห่งนี้ดูงดงามเกินกว่าที่จะเป็นความจริงได้
ความเงียบสงบ และความกว้างใหญ่ไพศาลที่เขาค้นพบนั้น ทำให้เขารู้สึกเซไปเล็กน้อย --
แวบนั้นเขารู้สึกว่าตัวเองเล็กกระจ้อยร้อยยิ่งกว่าเดิม และโลกใบนี้ก็กว้างใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม จนเขาอับจนปัญญาขึ้นมาชั่วขณะ ว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างไร
ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้นมาจากทางด้านหลังตนเอง
ริเวอร์หมุนตัวไปตามต้นเสียง ก่อนจะพบว่ามันคือร่างของสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งที่รูปร่างแปลกประหลาดที่สุดที่เขาเคยพบ
สัตว์ตัวนั้นใหญ่ยักษ์ ปากยื่นออกเป็นแนวยาว และเต็มไปด้วยคมเขี้ยวอันแหลมคม -- ตลอดทั้งลำตัวที่ใหญ่ยาว ปกคลุมไปด้วยเกล็ดหนา อุ้งเท้าทั้งสี่เต็มไปด้วยกรงเล็บอันแหลมคม -- ดวงตาสีแดงเข้มจับจ้องมองมาทางริเวอร์ ส่งเสียงคำรามต่ำ ราวกับเตรียมพร้อมล่าเหยื่อของตนเอง
ริเวอร์มองสัตว์ที่ดูดึกดำบรรพ์ตรงหน้าอย่างนิ่งสงบ
และโดยไม่ทันรู้ตัว สัญชาตญาณบางอย่างในตัวเขา ก็ทำให้เขาโน้มร่างตนเองมาข้างหน้าเล็กน้อย พร้อมกับฉีกปากออกกว้าง แล้วส่งเสียงคำรามโต้กลับไปเบาๆ
เสียงคำราม และท่าทีตั้งรับของเขา ราวกับทำให้สัตว์ดึกดำบรรพ์ตัวนั้นค่อยๆถอยกลับเข้าไปในพงหญ้า -- จนกระทั่งหายลับไป
ราวกับว่ามันหวาดกลัวต่อความดุร้ายในตัวของริเวอร์
ริเวอร์ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม -- ความงงงวย และสับสนเริ่มปะดังปะเดเข้ามาในหัวของเขา
นี่มันเกิดอะไรขึ้น -- ที่นี่คือที่ไหนกัน
ตอนนั้นเองที่เสียงหนึ่งดังขึ้น
“สวัสดี”
ริเวอร์สะดุ้ง หันไปตามต้นเสียง ก่อนที่จะพบเด็กสาวคนหนึ่ง กำลังยืนมองเขาจากกลางทุ่งหญ้า
“นายคือผู้รอดชีวิต” ใบหน้าอันอ่อนเยาว์นั้นจ้องมองเขานิ่ง ดวงตาคู่โตมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างพิจารณา ก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า “นายเหมือนกับฉัน”
ริเวอร์ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ร่างเล็กนั่น -- จนกระทั่งมองเห็นผิวที่ลอกถลอก และเส้นเลือดสีดำเลือนรางภายใต้ผิวอันขาวซีด
เธอเหมือนกันกับเขา --
“เธอเจอสัตว์นักล่าแล้ว --” เด็กสาวคนนั้นพยักเพยิดไปทางพงหญ้าที่สัตว์ดึกดำบรรพ์หายตัวไป “อย่ากลัวไปเลย -- จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนล่าพวกเราได้ -- เนื้อของพวกเราไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับพวกมันเท่าไหร่” เธอยักไหล่ “เนื้อเรามักทำให้พวกมันพะอืดพะอม -- เธอเคยลองแล้วใช่ไหม -- มันพะอืดพะอมจริงๆ”
จนถึงตอนนี้งั้นหรือ -- ริเวอร์นิ่งฟังคำนั้น
เขาหันสำรวจไปรอบตัวอีกครั้ง ก่อนที่จะพบว่าแม่น้ำที่เขาเพิ่งว่ายขึ้นมานั้น อยู่ห่างจากเขาเป็นระยะทางไกลแสนไกล -- ไกลจนมันเกือบจะถูกกลืนไปกับเส้นขอบฟ้าสีทองนั่นก็ไม่ปาน
“ฉันเดินทางขึ้นจากฝั่ง และเดินผ่านพงหญ้าสูงนั่นมานานเท่าไหร่” ริเวอร์กระซิบถาม
เด็กสาวนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะตอบออกมาสั้นๆว่า “นานมาก”
คำตอบนั้นราวกับจะซึมซับเข้าสู่โสตประสาทของริเวอร์ทีละนิด -- นานมาก --
นานมาก ที่เขาพยายามตามหาจุดกำเนิดของตนเอง -- นานมาก ที่เขาพยายามตามหาผู้ให้กำเนิดตนเอง
“แต่ฉันหาพวกเขาไม่เจอ” จู่ๆเขาก็พูดประโยคนั้นออกมา “ฉันหาพ่อกับแม่ไม่เจอ --”
ริเวอร์รู้สึกเป็นครั้งแรกว่าตนเหมือนเด็กเล็กที่กำลังหลงทางอยู่ในโลกใบใหม่ -- โลกที่มีสัตว์ดึกดำบรรพ์ และเดรัจฉาน -- โลกที่กว้างใหญ่ ว่างเปล่า และเงียบสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เด็กสาวเข้าใจในคำพูดของเขาทันที
“ฉันรู้” เธอตอบ “เราต่างรู้สึกเหมือนถูกพวกท่านเฝ้ามองจากที่ไหนสักแห่ง และบางครั้งเราก็พยายามไล่ตามพวกท่าน -- แต่แล้วเราก็ไม่เคยตามติดพวกท่านได้ทัน -- เพราะเราอยู่ห่างกันไกลแสนไกล และนานแสนนานมากแล้ว”
ริเวอร์นิ่งไปนาน ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
ฉับพลันนั้นดวงตาคู่หนึ่งก็ฉายชัดขึ้นมาในใจอีกครั้ง -- มันเป็นดวงตาที่เหมือนกับดวงตาของเขาไม่มีผิด หากแต่มันเป็นสีดำคมเข้มแทนที่จะเป็นสีเขียวเจิดจ้า -- จากนั้นเขาก็นึกถึงเรือนผมสีแดงเพลิงของหญิงคนนั้น ที่เป็นเฉดสีเดียวกันกับสีผมของเขาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เธอมีใบหน้า และรูปร่างเหมือนกับพ่อ -- และมีดวงตากับสีผมเหมือนแม่
เสียงของอัลบาดังขึ้น ราวกับดังมาจากที่ไหลสักแห่งที่อยู่ไกลออกไป
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น โดยมีเหตุผลของมัน
“เราต่างมีตัวตนอยู่ที่นี่ ในตอนนี้ เป็นผู้รอดชีวิตมาได้ เพราะการเสียสละของพวกเขา” เด็กสาวพูดขึ้น “ทั้งฉันและเธอ ต่างรอดชีวิตมาได้ เพราะพวกท่านเสียสละชีวิตของตนเอง -- พวกท่านให้ทุกอย่างกับเรามาจนหมดสิ้นแล้ว จนไม่เหลืออะไรให้ชีวิตตนเอง จนถึงวินาทีสุดท้ายของความเป็นมนุษย์ ”
ริเวอร์ฟังประโยคนั้นจนจบ
“ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น โดยมีเหตุผลของมัน” เขากระซิบ
ประโยคที่ฟังดูไม่เป็นเหตุเป็นผลนั้น ราวกับจะเป็นเหตุผลสำหรับทุกอย่างในพริบตา
นั่นทำให้อมนุษย์ในร่างมนุษย์ ได้ถือกำเนิดมนุษย์ขึ้นมา -- ทำให้พวกเขาถือกำเนิดขึ้นมา
พวกเขาที่หายใจได้ทั้งบนผิวโลก และในน้ำ -- ทนทานมากพอที่จะไม่ตาย และดุร้ายมากพอที่จะไม่ถูกสิ่งมีชีวิตอื่นล่า
พวกเขาที่เกิดจากวันสิ้นโลก สู่วันแรกเริ่มของโลกใบใหม่
โลกที่ความเดรัจฉานและความอมนุษย์ในตัวพวกเขา สามารถคงอยู่ได้ท่ามกลางสิ่งมีชีวิตเดรัจฉาน และดึกดำบรรพ์ตัวอื่นๆ
เด็กสาวเดินเข้ามาใกล้เขามากขึ้น ดวงตาคู่โตยังคงมองเขาอย่างไม่ละสายตา
“เหลือแต่เราแล้ว” เธอบอกเขา “เหลือแต่เรา กับโลกใบใหม่ใบนี้แล้ว --”
ริเวอร์ชำเลืองมองไปยังแม่น้ำที่ไหลตัดทุ่งหญ้า แม้ว่ามันจะดูอยู่ห่างไกลมากกว่าที่เขาจำได้ หากแต่เขาก็มองเห็นร่างซากศพของผู้คนที่ลอยอยู่บนผิวน้ำได้อย่างเลือนราง
ฉับพลันเขาก็รับรู้ได้ว่าเด็กสาวพูดความจริง -- ที่แห่งนี้ บนโลกใหม่ใบนี้ ไม่เหลืออะไรอีกต่อไปแล้ว นอกจากมนุษย์ที่เกิดจากอมนุษย์อย่างเขากับเธอเท่านั้น
พวกเขาสองคนกลายเป็นมนุษย์ชายหญิงสองคนสุดท้ายที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้
พวกเขาคือผู้เป็นพยานจุดจบโลกยุคเก่า และเป็นผู้บุกเบิกเริ่มต้นโลกยุคใหม่
และแล้วเขาก็เข้าใจในสิ่งที่อัลบาพูดกับเขาเสมอมา --
สัญญาว่าเธอจะไม่ลืมเรื่องราว เธอจะจดจำพ่อและแม่ของเธอ จดจำเรื่องราวของพวกเขา และจดจำการมีอยู่ของตัวเอง
สัญญาว่าเธอจะไม่ลืม สัญญาว่าเธอจะเชื่อในความจริงนี้ด้วยความเชื่อทั้งหมดที่เธอมีในตัวเอง ริเวอร์
ริเวอร์หลับตาลงแน่น ซึมซับทุกคำพูด และทุกความทรงจำเอาไว้ในใจของตนเอง
เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว เธอจะไม่เหลืออะไรอีกเลย
แม้แต่ตัวตน และการมีอยู่ของตัวเอง --
วินาทีนั้น เขาตัดสินใจจะไม่เป็นเช่นสัตว์เดรัจฉาน ดึกดำบรรพ์ เช่นที่เผชิญหน้าไปก่อนหน้า
ริเวอร์ลืมตาขึ้น จ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่โตของเด็กสาวอยู่นาน จากนั้นจึงเอ่ยออกมาสั้นๆว่า “ฉันชื่อริเวอร์”
เด็กสาวเองก็จ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขาเช่นเดียวกัน “ฉันชื่อลูน่า”
“ลูน่า” ริเวอร์ทวนชื่อนั้นซ้ำๆ “ลูน่า” จากนั้นจึงยื่นฝ่ามือออกไปเบื้องหน้า
ลูน่ากระชับฝ่ามือเขาตอบกลับมา อย่างหนักแน่น และไว้วางใจ -- จากนั้นจึงเริ่มต้นออกเดินไปพร้อมกับเขา
ชายหญิงทั้งสองต่างเดินไปตามทุ่งหญ้า สองเท้าเปลือยเปล่าเหยียบย่ำไปตามพื้นหญ้าอันเปียกชื้น หากแต่ไม่สั่นไหวแม้สักนิดแม้ว่ากระแสลมจะพัดแรงขึ้นเพียงใด หรือเห็นเงาของสัตว์ยักษ์เดรัจฉานเคลื่อนผ่านไปทางหางตามากเท่าไร
พวกเขาทำเพียงจ้องมองไปยังท้องฟ้าสีแดงฉานที่กว้างใหญ่เท่านั้น
นี่คือโลกใบใหม่ -- ริเวอร์บอกตนเอง --
และพวกเขากำลังจะเริ่มสร้างโลกใบใหม่อีกครั้ง โดยปราศจากความเดรัจฉานใดๆเช่นที่พวกเขาเคยประสบพบพานมาตลอดทั้งชีวิต
เขาไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน
และนี่คือโลกที่เขาจะสร้างให้ควรค่าแก่การเสียสละ และควรค่าแก่ความรัก
“สู่ยุคใหม่ของมนุษย์” เขากระซิบ ก่อนจะเดินจูงมือกับลูน่าไปตามทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลนั่น
คราวนี้ ไม่แม้แต่หันหลังกลับมามองเศษเสี้ยวของซากปรักหักพังจากโลกใบเก่าตามแม่น้ำหรือทุ่งหญ้าที่สูงใหญ่นั่นอีกเลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in