ข้าเกลียดสัมผัสจากมือของเจ้า
มันทำให้ข้าลืมว่าตนเองเป็นนาย
มันทำให้ข้าลืมทุกสิ่งที่ทำอยู่…
ข้าเกลียดทุกสัมผัสของเจ้า
มันทำให้ข้าคลั่ง...โหยหา...กระหาย
แต่ได้โปรด…
สัมผัสข้าเถอะ…
<:><:><:><:><:><:><:><:><:><:><:><:>
เป็นอีกวันที่อากาศร้อนจัด ไอร้อนระอุจากผืนดินแห้งผาก ร้อนเสียจนท้าวมารตาต้องสั่งให้ทาสมนุษย์ละเว้นการออกมาทำงานกันกลางแดด งานใดที่ทำกลางแจ้งหากมิจำเป็นจริงๆก็มิต้องออกมา หลังจากมีทั้งมนุษย์และยักษ์พากันล้มป่วยเพราะอากาศร้อนจัดไปจำนวนนึง กระนั้นกลางลานฝึกเหล่าโยธายักษ์ก็ยังต้องฝึกฝนกันอยู่ และวันนี้ก็มีของดีให้ชมเสียด้วย
“ ข้าลงพนันข้างท่านอินคาด้วยเหล้าสามไห “ ยักษ์ตัวใหญ่ผิวเทาตนนึงว่ากับเพื่อน อีกสองตนส่ายหน้า
“ ข้าลงข้างท่านพรานทมิฬว่ะ เหล้าสี่ไหไปเลย “
“ เฮ้ยๆ สี่ไหเลยหรือวะ แดกกันเมาขนาดนั้น ได้ไหลตายเสียก่อนไหมนั่น “ ยักษ์ผิวสีเขียวอีกคนเอ่ย ก่อนจะหันกลับไปชมการประลองต่อ เช่นเดียวกับยักษ์ตนอื่นๆ
กลางลานประลองที่เป็นฝุ่นทรายแห้งร่างสองร่างกำลังเข้าโรมรันปะทะกันอย่างน่าดูชม หนึ่งเป็นอสุราร่างสูงเกือบคล้ายมนุษย์ ผิวสีน้ำผึ้ง ตาสีทองอำพัน ในมือมีหอกยาวและเกราะป้องกัน กำลังยืนหอบด้วยความเจ็บหลังจากเพิ่งจะเสียท่าให้อีกฝ่าย ที่รูปร่างผิดแผกจากยักษาทั้งหมดที่นี่ กายนั่นสูงกว่า หากผิวเป็นสีม่วงราวกลีบดอกไม้ แต้มลายขาว เรือนผมสีขาวเช่นน้ำนม เหงื่อไหลเต็มกายทั้งจากความร้อนที่สูง และการต่อสู้ แผ่นหลังมีกล้ามเนื้อสวยมีรอยแผลที่เลือดยังไม่หยุดไหลอยู่
“ ...แค่นี้เจ้าก็ไม่ไหวแล้วหรือ อินคา “ เขาถาม ยิ้มแยกเขี้ยวเยาะให้
“ เอ็งต่างหาก ไหวเหรอ หลังเอ็งแผลใหญ่เลยน้าา “
“ แค่นี้ข้าไม่เจ็บเท่าไหร่ดอก เอ็งต่างหาก ถ้าโดนกรงเล็บข้าเข้าที่แขนอีกข้าง แรงจะจับหอกก็ไม่ไหวแล้วกระมั้ง “ ชายผิวม่วงกล่าว ยกนิ้วตนเองที่มีเล็บยาวซ้ำยังให้เกราะมือเป็นเหล็กแหลมอาบเลือดจากคู่ต่อสู้ขึ้นแสดงให้ทุกคนในลานเห็น
“ ข้ายังไหวเว้ย เข้ามาเลย ไอ้บาก จะได้รู้กันว่าใครเก่งสุดในกองทัพ “ อีกฝ่ายหรี่ตามอง สะบัดกรงเหล็บอีกที ก่อนย่อตัวแล้วกระโจนเข้าใส่ เสียงเหล็กกระทบกันดังสนั่นพร้อมเสียงเฮลั่นๆ ปนกับเสียงวี๊ดว้ายของสตรีเผ่ายักษ์ที่มาแอบเมียงมองอินคา ยักษ์หนุ่มรูปงามประจำกองทัพของท่านจ้าวเทหะยักษา พวกหล่อนหัวใจไหวรัวกันยามมองร่างสูงสง่าหล่อเหล่าที่นุ่งเพียงโจงสั้นถกเขมรขยับกายไปมา อีกกลุ่มก็แอบมองพรานทมิฬผู้แม้จะแปลกแยกจากพงศ์พันธุ์ไปสักหน่อยแต่ก็สง่าน่ามองไปต่างกัน การได้เห็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างงดงามฟาดฟันกันกลางอากาศร้อนจนเหงื่อไหลอาบร่างกายสมส่วนประดับมัดกล้าม ต้นขาแข็งแรง กล้ามแขนขาน่าขยำเบาๆ อากาศร้อนแค่ไหนแม่ยักษีเหล่านี้ก็ยอมมานั่งทนร้อนชมให้หัวใจชุ่มชื้นกันทั้งนั้น
“ ข้าไม่ออมมือให้เจ้าดอกนะ อินคา “ บาก หรือพรานทมิฬเอ่ยขณะลอบเข้าด้านหลังของอินคาได้ เพียงพริบตากรงเล็บแหลมก็ได้ดื่มเลือดจากหลังเสมือนเป็นการเอาคืนยักษ์หนุ่มผิวสีน้ำผึ้งทันที เจ้าตัวร้องโอ๊ยลั่นก่อนจะหันหน้ามาตีเข่าใส่อีกฝ่าย ซึ่งก็ได้จังหวะพอดี คนตัวม่วงเลยโดนเข้าเต็มๆที่ท้องจนต้องกระโจนหลบไปตั้งหลักอีกทาง
“ ไง...รสเข่าข้าถึงใจไหมเล่า “
“ ก็ไม่เลว แต่ก็ยังแรงไม่พอ “ พรานหนุ่มว่า ยืดตัวตรงขึ้น อินคากัดฟันกรอดที่แม้จะได้ทีซัดคู่แข่งไปก็ยังไม่ถือว่าพอ อากาศร้อนเสียจนตาเริ่มพร่า เหงื่อเต็มหลังแสบยิบๆเพราะโดนแผลสดเมื่อครู่ เขายืนโงนเงนหอบ
“ เข้ามา...พรานทมิฬ “ อินคาเอ่ย
“ ...พอได้แล้วน่า อินคา ถ้าโดนข้าถองอีกที เอ็งได้นอนพักยาวแน่ๆ “
“ ข้าไหว ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นนะเว้ย! “ ผู้มากวัยกว่าถอนใจ รู้ดีว่าสหายคนนี้ดื้อดึงยิ่งนักนิสัยก็เหมือนเด็ก เอาแต่ใจ ด้วยเป็นบุตรชายขุนนางใหญ่และถวายตัวเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายท่านจ้าวมาแต่รุ่นยังเป็นเด็กชาย เติบโตมาก็ใกล้ๆกับตนเอง และดูเหมือนเจ้านี่จะเป็นที่เอ็นดูของท่านจ้าวเทหะยักษามากเสียด้วย ….พอคิดถึงตรงนี้ทมิฬหนุ่มก็เผลอลอบยิ้มขำออกมาจนยักษ์หนุ่มขมวดคิ้ว
“ เอ็งหัวเราะอะไรวะ “
“ เปล่า...แค่คิดอะไรตลกๆขึ้นมาได้ เอาล่ะ เข้ามาสิอินคา ได้เวลาที่ข้าต้องไปให้อาหารเจ้าสกุณเหราแล้ว “ กรงเล็บเหล็กกระดิกเรียกอยากยียวน อีกฝ่ายกัดฟันกรอดก่อนจะวิ่งตรงเข้าไปโรมรันอีกครา เสียงเฮลั่นๆ ไปจนพลับพลาที่ประทับของกษัตริย์หนุ่มที่กำลังว่าราชการอยู่ องค์ผินพักตร์มองอย่างสนใจ
“ มีอะไรหรือเจ้าพี่? “ อุปราชหนุ่มผู้เป้นอนุชาถาม
“ ที่ลานฝึกเหล่าโยธามีอันใดกัน “
“ อ๋อ….แว่วๆมาว่ามีการประลองกันน่ะขอรับ “ มารตาว่า ยื่นสาส์นให้เชษฐาที่ยังคงสนอกสนใจอยู่อีกทาง
“ อากาศร้อนเช่นนี้ พวกมันอยากตายกันหรืออย่างไร โง่เง่าจริงเชียว “
“ ก็มือขวามือซ้ายเจ้าพี่นั่นล่ะ พรานทมิฬกับอินคา ได้ยินว่าซัดกันมาตั้งนานสองนานแล้ว มิมีใครแพ้ชนะเสียที เสียเลือดกันไปไม่น้อยก็ยังไม่ยอมหยุดกัน “ เนตรสีทับทิมมองอนุชา
“ พรานทมิฬกับอินคา มิน่า วันนี้ข้าถึงไม่เห็นหน้าทั้งคู่แต่เช้าแล้ว “
“ น้องได้ยินพวกสนมกำนัลว่า อินคาไปท้าพรานทมิฬก่อน ว่าใครจะเป็นที่หนึ่งในกองทัพของเจ้าพี่ เกรงว่าเจ้าหนุ่มนั่นอยากจะเป็นมือขวาของเจ้าพี่นั่นล่ะ ...เจ้าเด็กคนนี้ยังเลือดร้อนบ้าบิ่นเหมือนเดิม แพ้พรานทมิฬทุกครั้งแล้วยังจะไม่เจียมตน เดี๋ยวก็ได้หิ้วปีกเข้ามาอีก “ มารตาว่าพลางหัวเราะ หากเชษฐาหนุ่มมิได้หัวเราะด้วย กลับวางสาส์นลงกับโต๊ะทรงงานลุกขึ้นหยิบผ้าแพรมาคลุมกาย
“ เจ้าพี่? “
“ ข้าอยากจะไปดูการประลอง เจ้าดูงานพวกนั้นไปก่อนแล้วกัน “ องค์เอ่ย ก่อนจะดำเนินออกไปทิ้งให้มารตาปวดหัวต่อไปกับการสะสางงานแทน
<:><:><:><:><:><:><:><:><:><:><:><:>
ร่างสองร่างยังคงโรมรันกันไม่เลิก แม้จะเลือดอาบกันทั้งคู่ พรานทมิฬแม้ยังยืนหยัดได้แต่ก็เสียเลือดไปพอสมควร ไม่ต่างกับอินคาที่โงนเงนจะยืนไม่ไหวแล้ว แต่ก็ฝืนตัวเองไม่ยอมล้มยอมแพ้เสียก่อน เขากัดฟันกรอดที่รู้ตัวดีว่าอีกเดี๋ยวคงจะแพ้อีกตามเคย
“ พอกันได้แล้วละมั้ง “ เสนาชราตนนึงเอ่ยขึ้น เขาเป็นผู้นำกองทัพในสมัยของท้าวอนันตาบิดาของท่านจ้าวเทหะยักษา ตอนเกิดเหตุกบฏก็ได้พาครอบครัวหนีภัยทางการเมืองไปต่างเมือง กระนั้นก็คอยสืบข่าวตามหารัชทายาทน้อยทั้งสองพระองค์ตลอด และเมื่อพบก็ไม่รีรอที่จะมาสวามิภักดิ์ช่วยยุวกษัตริย์พระองค์น้อยรบราจวบจนเกษียณตนเอง แต่บ่อยครั้งที่จะมาร่วมชมการประลองและฝึกสอนโยธาทหารรุ่นใหม่ๆ เช่นเดียวกับวันนี้
“ ไม่ขอรับ ท่านสีห์คีรี กระผมมิยอมแพ้ทมิฬตนนี้อีกแล้ว “ อินคาตะโกนเสียงก้อง
“ เจ้ามันหัวดื้อนัก อินคา “ พรานทมิฬว่าเนือยๆ แต่ก็ยอมรับว่าฝีมือของเจ้าหนุ่มตนนี้มันดีขึ้นผิดหูผิดตาทีเดียว แต่เดิมที่เคยล้มได้ในรอบแรกหรือรอบสองของการประลอง แต่นี่ล่อเข้ามารอบที่ห้าแล้ว อากาศก็ร้อนจนมึนหัวขึ้นทุกที เกรงว่าครานี้ชื่อเสียงมือขวาของท่านจ้าวเทหะยักษาจะถึงคราวสั่นคลอนว่าไร้พ่ายเสียแล้ว
“ เออ ข้าหัวดื้อ คราวนี้ล่ะ...ท่านจ้าวจะต้องมอบให้ข้าเป็นมือขวาแทนเอ็ง!! “ ปลายหอกชี้มาทางบาก เขาส่ายหัวเห็นทีต้องเผด็จศึกจริงๆจังแล้ว
ตายไปจริงๆก็อย่ามาโทษกันนะเว้ย ไอ้อินคา
อินคาปาดเหงื่อและเลือดที่ไหลจากหัวคิ้วที่แตก ตาพร่าเลือนจากอากาศร้อนจัด แต่ความมุ่งมั่นหมายเอาชนะก็มากล้นจนสามารถประคองตนเองให้มาถึงรอบที่สี่ของการประลองอันไร้รางวัลใดๆ นอกจากศักดิ์ศรีและชื่อเสียงที่ตนเองอยากได้นัก ยักษ์หนุ่มตั้งสมาธิเพ่งมองภาพตรงหน้า แต่แล้วร่างสีม่วงก็หายไปจากคลองสายตา พริบตาเดียวใบหน้าของบากก็มาหยุดใกล้ใบหน้าด้านซ้ายที่เป็นจุดบอด กำปั้นหนักๆต่อยเข้าทีเดียวจนอินคาร่วงล้มลงกับพื้นเสียงดังสนั่น เขานอนโอดโอยกับพื้น
“ พอได้รึยังวะ “ พรานทมิฬถาม ตัวเองก็ทั้งเหนื่อยและร้อนจนแรงจะหมดเช่นกัน แต่อสุราผิวสีน้ำผึ้งก็ไม่ยอมง่ายๆ พยายามฝืนตนเองจะลุกขึ้นอีก มือกำหอกแน่น
“ ไม่..ข้าไม่… อุ่ก “ ท้องที่มีแผลกรงเล็บถูกส้นเท้าของคู่ต่อสู้เหยียบพอให้ไม่ลุกขึ้นมา
“ พอได้แล้ว.. “
“ ไม่..ข้าจะ...ไม่แพ้เจ้าอีก ข้าจะ...เป็นที่หนึ่งของ...ท่านจ้าว “ อินคาแค่นเสียงบอก อีกฝ่ายเลิกคิ้วถอนใจ ชักพอจะเข้าใจความนัยบางอย่าง แต่ฝืนให้การต่อสู้ยืดเยื้อแบบนี้อีก มีหวังไอ้เด็กหนุ่มเลือดร้อนนี้ต้องตายเพราะเสียเลือดกับอากาศร้อนอย่างกับนรกนี่แน่ๆ บากเงื้อมือหมายจะชกซ้ำให้สลบไปซะ จะได้ยุติเสียที ทว่า…
“ อากาศร้อนบัดซบขนาดนี้ พวกเจ้ายังจะมีแรงมาต่อยกันอีกหรือ “ เสียงทุ้มทรงอำนาจเอ่ยขึ้นขัด เมื่อทุกตนหันไปมอง ก็ต่างพากันตกใจ รีบทรุดกายลงก้มหน้าทำความเคารพนายเหนือหัวทันที
“ ทะ ท่านจ้าว “ อินคาพูดหอบๆ คนผิวกายสีม่วงรีบผละออกมา คุกเข่าก้มหน้ามิเอ่ยอันใด กษัตริย์หนุ่มเดินคลุมกายไม่ให้ต้องเปลวแดดมาหยุดตรงหน้าทั้งคู่ นัยน์ตาสีทับทิมทอดมอง
“ อินคา อากาศร้อนแบบนี้เจ้ายังจะมาท้าประลองทำไม บอกข้าสิ “
“ ทะ..ทูลท่านจ้าว กระหม่อม...กระหม่อมอยากจะเอาชนะพรานทมิฬ “
“ ชนะให้ได้อะไร พวกเจ้าวางเดิมพันอันใดกันรึ? “ องค์ถามเสียงเรียบ แต่ทุกคนจับความไม่พอใจได้ในน้ำเสียง
“ มิวางอันใดดอกพระพุทธเจ้าข้า เจ้าสองหนุ่มนี่น่ะ ก็ประมือกันไปตามประสาวัยรุ่นเท่านั้น วอนท่านจ้าวอย่าถือสาเลย หากมีคนผิดก็กระหม่อมด้วยที่มิทัดทานทั้งคู่ “ เสนานามสีห์คีรีเอ่ย ยิ้มบางๆให้เหมือนเช่นยังเห็นเทหะยักษาเป็นยุวกษัตริย์องค์น้อยในอดีต อสุราสีมรกตเงียบไปนิดก่อนจ้องมองมาทางพรานทมิฬ
“ พรานทมิฬ “
“ ขอรับท่านจ้าว? “
“ ข้านึกว่าเจ้าจะมีสมองคิดดีกว่านี้นะ อายุเจ้าก็มากกว่าอินคา ผ่านศึกมาก็ไม่น้อย ใยมาประลองไรสาระเช่นนี้ “
“ กระหม่อมขอประทานอภัยขอรับ… “ เขาตอบ เงยหน้าจ้องมองพักตร์แสนงามสง่า ทารคายักษาจ้องตอบกลับมา สายพระเนตรคมจับจ้องไปทั่วร่างกายมีแผลและอาบด้วยเหงื่อไคลไปจนถึงฝุ่น ไล่ระเรื่อยไปจนถึงต้นขาแข็งแรงที่เห็นชัดกว่าทุกทีเพราะอีกฝ่ายนุ่งเพียงถกเขรสีปูนแดงเท่านั้น
“ สำนึกผิดก็ดี เจ้าด้วยอินคา วิสัยเด็กไม่รู้จักโตของเจ้าไม่เคยเปลี่ยน น่าระอาจนข้าไม่อยากจะทนแล้ว ได้ยินจากมารตาว่าเจ้าอยากจะเป็นมือหนึ่งของข้าแทนพรานทมิฬหรือ? “
“ …..ขอรับ...กระหม่อมอยากจะเป็นที่หนึ่งของพระองค์ อยากได้ชื่อว่าเป็นมือขวา “ อินคาตอบตามตรงดวงตาสีทองอำพันใส่ซื่อแต่แน่วแน่นัก บพิตรเกศาสีแดงถอนพระทัยเหนื่อยๆ
“ อากาศร้อนขนาดนี้เจ้ายังมาท้าพรานทมิฬประลอง เกิดป่วยไข้ตายขึ้นมา อย่าว่าแต่เป็นมือขวา ข้าพูดเลยไว้ข้าจักสมน้ำหน้าเจ้าเสียด้วยซ้ำ ไปทำแผล ยุติการประลองได้แล้ว เสียงดังไปจนถึงวังชั้นใน ไม่ติดว่าไม่มีอารมณ์จะลงโทษใครในอากาศแบบนี้ ข้าจะสั่งลงโทษเสียให้หมด โดยเฉพาะเจ้า พรานทมิฬ...เป็นมือขวาของข้าแต่ไม่รู้จักแยกแยะ อยากจะโดนลงหวายรึ “ คนโดนคาดโทษยิ้ม
“ กระหม่อมยินดีรับโทษ แต่ขอให้หวายนั้น ท่านจ้าวเป็นผู้โบยตีเอง “
“ ปากดี ...ตามข้ามา ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า ส่วนท่าน... ก็หัดห้ามปรามเจ้าพวกนี้ให้มันหนักๆเสียหน่อย “ เสนาเฒ่าที่โดนต่อว่าก็ได้แต่ยิ้ม ยกมือไหว้
“ รับด้วยเกล้า “ เมื่อไม่มีอันใดแล้ว ท้าวทารคาก็ดำเนินองค์ไปจากลานประลอง โดยมีร่างสูงของพรานทมิฬเดินตามไป อินคาที่ได้รับการพยุงขึ้นมามองตามทั้งสองไป เขากัดฟันกรอด
“ ไม่ต้องข้าลุกไหว!! “ ยักษ์หนุ่มสะบัดมือของเพื่อนโยธาทหารยักษ์อีกสองสามตนที่เข้ามาหมายช่วยหิ้วปีกไปหาหมอ สีห์คีรีเดินมามอง
“ เจ้าหนุ่ม...รู้ตัวแต่แรกแล้วใช่ไหม? ว่าจะแพ้ “
“ ...ขอรับ ข้าที่ออกรบแค่ไม่กี่ครั้ง จะไปสู้ไอ้หน้าบากที่รบมาตั้งแต่เด็กกว่าข้าได้อย่างไร ให้ตายสิ...อุตส่าห์ทนมาได้ขนาดนี้แล้วแท้ๆ “ เขาบ่น ผู้มากวัยกว่าหัวเราะ
“ ...อยากจะเป็นมือขวาท่านจ้าวมากขนาดนั้นเลยหรือ? “
“ ถึงอยากเป็นแค่ไหนก็เป็นไม่ได้หรอกขอรับ ต่อให้ครั้งนี้ชนะก็เถอะ “ อินคาบ่นอุบ พยุงตัวเองให้ลุกขึ้น
“ เพราะพรานทมิฬเก่งกาจหรือ “
“ เพราะท่านจ้าวจะไม่มีวันให้ใครเป็นมือขวานอกจากเจ้านั่นต่างหากขอรับ โอ๊ยเจ็บๆ “ เจ้าหนุ่มอวดดีบ่นอุบ ตอนนั้นเองที่เหล่ายักษ์สาวๆพากันกรูมาหา พร้อมกับเสนอตัวจะพาไปทำแผลชำระล้างร่างกายให้ อินคาเลยพอจะยิ้มออกได้บ้าง
เอาวะ...อย่างน้อยก็ยังมีสาวๆมาทำแผล มาเอาใจ
แต่ถ้าให้เลือก…ก็ขอเป็นคนเดียวที่ท่านจ้าวจะใส่ใจดีกว่า
<:><:><:><:><:><:><:><:><:><:><:><:>
ร่างสูงสง่างามสมเลือดขัตติยะของเทหะยักษาดำเนินองค์รวดเร็วไปตามทางเดินที่มุ่งตรงสู่ห้องพักส่วนพระองค์ เบื้องหลังคือทมิฬหนุ่มร่างสูง สูงกว่าผู้เป็นนายเสียด้วยซ้ำ แผลที่หลังและตามตัวเริ่มแห้งแล้ว เหล่าทหารและนางกำนัลค้อมหัวทำความเคารพ ด้วยเห็นแค่แพรไหมชั้นดีที่คลุมองค์มาก็ทราบดีว่ามิมีใครจะสูงศักดิ์มากพอได้ครอบครองแพรสีม่วงย้อมจากเปลือกหอยหายากจากต่างแดน ลายดิ้นทองที่ปักก็งดงามสูงค่า หาไม่ใช่องค์บพิตรหนุ่มแล้วก็คงมิมีผู้ใด เมื่อเข้าส่วนราชฐานชั้นในอากาศก็ยิ่งเย็น บากค่อยคลายเวียนหัวและอ่อนเพลียจากอากาศขึ้นมาได้ โยธาทหารทำความเคารพนายเมื่อหยุดหน้าห้อง ดวงตาสีทองมองผู้ตามมา
“ ข้ามีเรื่องจะสนทนากับพรานทมิฬเพียงลำพัง พวกเจ้าไปที่อื่นก่อน “ องค์เอ่ยสั่ง ทั้งสองค้อมหัวให้ก่อนจะเดินผ่านไป บากเดินตามนายเข้าไปข้างใน
ห้องพำนักส่วนตัวของเทหะยักษา นายเหนือแห่งยักษ์และมนุษย์ทั้งปวงตกแต่งเรียบง่าย มีเพียงของใช้จำเป็นไม่มากนัก แต่ทุกอย่างในห้องก็ล้วนมีราคา เป็นงานฝีมือชั้นเลิศ ศิลปะแบบคีรีกัณฑ์โดยแท้ งดงาม สูงค่า ได้สัมผัสสักครั้งก็คงเป็นบุญมือ ใช่...ก็คงเหมือนยักษษเกศาสีเพลิงเบื้องหน้าพรานหนุ่ม
เกศาสีเพลิง รับกับดวงเนตรสีเดียวกัน
ผิวกายเขียวดั่งมรกตน้ำดี ประดับริ้วสีนิล
ดวงหน้าหล่อเหลาคมคาย
ท่าทางงามสง่าสูงศักดิ์
หากจะบอกว่าสวรรค์สรรสร้างอสุราตรงหน้ามา
ก็คงจะมิผิดนัก…
“ เจ้าคิดอะไรอยู่จึงไปรับคำท้าของอินคา พรานทมิฬ “ ทารคาถาม หลังจากที่นั่งลงกับบานบัญชรที่เปิดอ้าเอาไว้ กษัตริย์หนุ่มโปรดให้มีอุทยานอยู่ข้างๆที่พำนักเพื่อความร่มรื่น และไอเย็นจากเหล่าต้นไม้ก็เป็นที่โปรดปรานด้วยว่าคีรีกัณฑ์บ้านเกิดเมืองนอนแต่เดิมเป็นแดนที่ค่อนข้างหนาวเย็น ผู้ถูกถามที่ตอนนี้นั่งคุกเข่ากับพื้นใกล้ๆ เงียบไปนิด
“ กระหม่อมเห็นว่าไม่เสียหายอะไรหากจะประลองกัน อย่างไรวันนี้มิได้มีภารกิจอันใดอยู่แล้ว “
“ เจ้ามากวัยกว่าอินคาอยู่พอสมควร น่าจะรู้ว่าท้าตีท้าต่อยกับเด็กแบบนั้นด้วยเรื่องงี่เง่าพรรค์นั้นมันไม่ใช่สิ่งที่คนที่ข้าวางใจให้เป็นมือขวาจะไปร่วมประลองนะ “
“ ท่านจ้าวโปรดอภัย กระหม่อมก็เพียงเห็นว่าอินคาก็แข็งแรงดี กระหม่อมเองก็ไม่มีอะไรทำ เราจึงประลองกัน ส่วนเรื่องสาเหตุการประลองก็เป็นอินคาที่คิดไปเองเพียงตนเดียว กระหม่อมแค่นึกสนุก “ ทารคาหรี่ตามองอย่างตำหนิ
“ งั้นหรือ? เจ้านึกสนุก ดีนี่...เจ้าคิดว่าตำแหน่งมือของข้านี่ข้าให้ได้ง่ายๆเพียงแค่ประลองเหมือนหมากัดกันในลานประลองในวันที่ร้อนบัดซบเยี่ยงนี้หรือ เจ้าคิดหรือว่าถ้าเจ้าแพ้ ข้าจะยกตำแหน่งให้อินคาง่ายๆ “
“ กระหม่อมไม่ได้คิดไปถึงขนาดนั้น อีกอย่างกระหม่อมก็ไม่คิดว่ากระหม่อมจะแพ้อินคา “
“ ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะแพ้ แต่ครานี้เจ้ายืดเยื้อการประลองไปจนถึงรอบที่สี่ ถ้าไม่แพ้อินคาก็คงจะเลือดหมดตัวแล้วเป็นลมแดดตายเสียก่อนละมั้ง “ องค์เหนือหัวปรามาสใส่ คนเป็นบ่าวถอนใจ
“ กระหม่อมมิได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น “
“ งั้นข้าควรสั่งให้เจ้าในสภาพนี้ไปคุกเข่าตากแดดกลางลานนั่นสักสองวันติด อยากรู้นักพรานทมิฬจะยังทนได้หรือไม่ “ บพิตรหนุ่มเอ่ย ลุกดำเนินผ่านไป ดึงเอาผ้าคลุมกายสีม่วงเนื้อดีออก แผ่นหลังสีมรกตปรากฏเหงื่อซึม และเส้นผมสีแดงก็เปียกระลู่ แม้จะมีไฟเป็นอาวุธคู่กาย แต่ก็ใช่ว่าท้าวเทหะยักษาจะนิยมชมชอบความร้อนมากนัก
“ กระหม่อมขอประทานอภัยท่านจ้าว หากท่านอยากลงโทษก็ทำเถิด กระหม่อมพร้อมรับโทษในความสะเพร่าครั้งนี้ “ ใบหน้าคมหันมามอง
“ ข้าประทานตำแหน่งมือขวาให้เจ้า เพราะเจ้าเป็นคนที่สมควรได้ มิได้เกี่ยวว่าเจ้าจะเก่งกาจกว่าอินคาหรือไม่ ข้าไว้ใจเจ้า เจ้าเข้าใจไหม พวกเจ้าประลองกันเพื่อเป็นมือขวาข้า แต่มิได้มาถามข้าเลย นี่ข้ายังใจเย็นไม่ลงโทษทั้งเจ้าและอินคาได้ตอนนี้ ก็ถือว่าดีมากแล้ว” องค์ตอบ ดำเนินไปยังด้านในสุดของห้อง บากถอนใจ อยู่กับอีกฝ่ายมานานมากพอจะรู้ว่าทารคาโกรธพอสมควรเลย หากแค่โกรธธรรมดาก็คงจะโหวกเหวกโวยวายด่าทั้งตนเองและอินคาเปิดเปิงไปแล้ว แต่ถ้าโกรธจนเรียกมาคุยกันแบบนี้ น่ากลัวจะโกรธนานเป็นเดือน
ครั้งนี้คิดน้อยไปจริงๆ
ไหนจะความมั่นใจผิดว่าตนเองเอาชนะอินคาได้ง่ายๆ
ประมาทฝีมืออีกฝ่ายเกินไป
เขาเองยังต้องการชนะเพื่อยังดำรงตำแหน่งมือขวา
แล้วอินคาที่เฝ้ารอตำแหนงนี้มาตลอดเล่า
ไม่สู้กันจนตายก็ดีเท่าไหร่แล้ว
“ ท่านจ้าว.. “ พรานหนุ่มเดินตามมา เข้านอกออกในห้องนี้จนจำได้ว่าตอนนี้คนที่กำลังโมโหเพราะทั้งเรื่องที่ตนเองก่อ กับอากาศร้อนจัดขนาดนี้ ร่างสีมรกตจะไปอยู่ตรงไหน และก็เป็นดังคาด
ทารคากำลังถอดเครื่องทรงทั้งเกราะและศิราภรณ์ออกวางกับโต๊ะไม้ริมสระสรงน้ำ องค์เงียบขรึมเสียจนบากเกรงใจ
“ ทูลท่านจ้าว ให้กระหม่อมช่วยหรือไม่? “ เขาถาม อีกฝ่ายหันหน้ามามองก่อนพยักหน้าไม่ตรัสอะไร ร่างสูงผิวกายสีม่วงหม่นจึงเดินไปช่วย มือค่อยๆถอดศิราภรณ์ให้ แล้วค่อยเลื่อนมายังเกราะอก ดวงตาสีทองพื้นดำมองหยดเหงื่อใต้เกราะอย่างสงสัย ร้อนเสียขนาดนี้ยังมีวินัยไม่ปลดเครื่องทรงใดออกเลย จะว่าเป็นคนเข้มแข็งหรือรั้นกันดีล่ะ
“ ...จะสรงน้ำหรือ...ทารคา “ บากถาม
“ ใครอนุญาตให้เจ้าเรียกชื่อข้า “
“ ก็ใครเล่าบอกว่ายามอยู่เพียงลำพังสองคน มิต้องเอ่ยสมญานามกันและกัน “ คนน้อยวัยกว่าพูดเย้า เลื่อนมือไปปลดพาหุรัดออกวางเรียงให้ ตอนนี้จอมกษัตริย์เหลือเพียงผ้านุ่งสีเข้มเท่านั้น
“ แต่ข้าไม่อนุญาต ข้ายังโกรธเจ้าอยู่นะ...ทมิฬ “ รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากมีแผลประดับ
“ เมตตาข้าเถิด ทารคา...จักไม่ทำอันใดให้ขุ่นเคืองพระทัยแล้ว “ พรานหนุ่มว่าโน้มกายลงหมายจะจุมพิตเอาอกเอาใจเสียหน่อย กลับถูกผลักออก
“ เหม็นเหงื่อ….ข้าไม่ชอบ “
“ งั้นเกรงว่าข้าต้องไปอาบน้ำแล้ว ….จะกลับที่พักตนเองก็ไกล อากาศร้อนจัดแบบนี้เกรงว่าจะเป็นลมแดดเสียก่อนถึง ถ้าทูลกระหม่อมแก้วจะเมตตาทมิฬตนนี้… “ เขาหยุดพูด คว้ามือที่เพิ่งผลักอกตนเองมาจูบเบาๆที่หลังมือ เลื่อนคลองสายตาสบเนตรสีโลหิตอย่างมีนัย อสุราหนุ่มหรี่เนตร
“ ทำผิดหนักหน้าแล้วยังมาขอเมตตา หน้าด้านสิ้นดี ข้าอนุญาตแล้วหรือจึงมาสัมผัสข้า ลงหวายเสียให้หลังลายเสียดีไหม “
“ ก็รออยู่ ใยไม่เห็นพระองค์จะลงโทษเสียที “
“ ทมิฬหนังหนาเช่นเจ้าลงหวายไปก็คงไม่เจ็บไม่คันกระมั้ง...ปล่อยมือข้า หากไม่อนุญาตก็อย่ามาแตะต้องข้าอีก “
“ ….เป็นกษัตริย์ตรัสแล้วอย่าทรงคืนคำเล่า “
“ เจ้าหมายความว่าอะไร “ มิทันจะเอ่ยโอษฐ์หมด ริมฝีปากของบากก็โน้ลงลงมาจนเกือบจะสัมผัสแต่ไม่โดนแม้สักนิด เขายิ้มก่อนเลื่อนมายังใบหู ไม่จูบหรือขบเม้มเช่นเคยทำ เพียงแต่ทิ้งลมหายใจร้อนๆเอาไว้ กระซิบเบา
“ กระหม่อมจะไม่สัมผัสหากองค์ไม่อนุญาต ทารคา “
“ บัดซบ...เจ้าทมิฬสารเลว “ ทารคาก่นด่า หากก็เสียงอ่อนลงเมื่อลมหายใจร้อนของชายตรงหน้าเลื่อนมาที่ลำคอ เช่นเดิม มิสัมผัสแต่เป่ารดไออุ่นลงไป เพียงแค่นั้นร่างที่สง่างามก็แทบจะเข่าอ่อนทรุดลงในอ้อมแขนยาวๆนั่นแล้ว
“ ด่ากระหม่อมให้สาสมความผิดเถิด หรือจะลากขึ้นตะแลงแกงก็แล้วแต่พระทัยท่าน “ พรานหนุ่มว่า ผละออกมามองใบหน้าคมที่ขึ้นสีน้อยๆ กษัตริย์หนุ่มเม้มโอษฐ์ก่อนจะหันหนีไปอีกทาง กระชากผ้านุ่งตนเองเขวี้ยงทิ้งอย่างไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะดำเนินลงไปในบ่อศิลาเพื่อชำระกาย ไม่ตรัสอันใดเลยสักคำจนคนที่แกล้งยียวนต้องถอนใจ
“ ทารคา...หันหน้ามาคุยกันเถิด “
“ ...ไม่มีอันใดต้องพูดคุย เจ้าจะไปล้มตายตรงไหนก็มิใช่ธุระของข้า กายเจ้าเป็นของเจ้า อยากจะทำอันใดก็ทำไปเสียสิ “ บากรู้ดีว่าอสุราตรงหน้าโกรธจริงจัง แต่น้ำเสียงที่เนิบนาบเครือน้อยๆดูท่าจะไม่ได้มีแค่อารมณ์โกรธเสียแล้ว จึงจำต้องถือวิสาสะก้าวเข้าไปในบ่อสรงด้วย หยุดยืนด้านหลังยกมือแตะไหล่อีกฝ่าย
“ ทารคา ข้า...ไม่สิ กระหม่อมขอประทานอภัยที่ทำอันใดไม่คิดหน้าคิดหลัง ทำให้องค์เป็นห่วง “
“ ….ข้าเคยบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่? เจ้าเป็นมือขวาของข้าเพียงคนเดียว ข้าประทานตำแหน่งนี้ให้เจ้าด้วยเพราะอะไรเจ้าก็รู้ดี “ คนอ่อนวัยกว่าถอนใจ ยกมือจะกอดก็ถูกปัดทิ้ง
“ อย่ามาแตะข้า ข้าไม่อนุญาต “
“ ทารคา พูดคุยกันด้วยเหตุผลเถิด ข้ายอมรับข้าเล่นสนุกมากไปจนไม่นึกถึงความรู้สึกของเจ้า แต่ก็โปรดรับฟังคำขอโทษของข้าบ้าง ”
“ ขอโทษแล้วตัวเจ้าแผลหายไหม ข้าบอกกี่ทีแล้วแม้แต่ตอนไปทำภารกิจให้ข้า ว่าอย่ามีแผลกลับมา แต่นี่เจ้ากลับมาโรมรันกับอินคาเพราะเจ้านึกสนุกงั้นหรือ “ พรานทมิฬถอนใจหนักๆ
“ ขอโทษ “
“ ….ข้ารับคำขอโทษนั่น ออกไปได้แล้ว “ บพิตรหนุ่มเอ่ยปากไล่ หากอีกฝ่ายมิขยับไปไหน เพียงแต่ก้มลงกระซิบ
“ ทารคา ทั้งร่างกายและจิตใจของข้าเป็นแค่ของเจ้านะ ตอนนี้ร่างกายนี้มีแผล ใจคอจะมิหันมามอง มาสนใจข้าเลยหรือ “ ทารคาเงียบไป ก่อนจะค่อยๆหันพักตร์มา จังหวะเดียวกับที่ริมฝีปากของพรานหนุ่มจูบกับปากมีเขี้ยวนั่น ครานี้ราชาแห่งยักษ์ไม่ได้ผลักไส หากน้อมรับสัมผัสนั่นอย่างดี มือมีนอเล็กสีสดเลื่อนไปจับองค์ให้มาแนบชิดตนเอง
“ ...ข้าเกลียดเจ้านัก “
“ เกลียดกระหม่อมแล้วใยถึงให้เป็นมือขวา...เกลียดกระหม่อมแล้วไซร้จึงให้...ร่วมรักเสียทั้งคืน? “ เขาถาม เงยใบหน้าคมคายให้สบมอง
" อย่าลามปามข้า...พรานทมิฬ แค่ให้เนื้อหนังกับเจ้าได้เสพสม อย่าได้สำคัญตัวว่าข้าจะเห็นเจ้าสำคัญกับข้านักเลย ถอยไป “ คนโดนสั่งไม่ถอย
“ ถ้าหากเป็นเช่นนั้น...ก็ให้กระหม่อมเสพสมเสียอีกสักทีจะเป็นอันใด “ สิ้นคำร่างของทารคาก็ถูกกระชากให้เข้ามาในอ้อมแขนนั่นอีก รสจูบคราวนี้ไม่ได้อ่อนโยนอีกแล้ว กลับรุนแรง รุกราน เร่งเร้าอย่างเอาแต่ใจ ขบกัดลิ้นเสียจนได้แผลแต่ทมิฬหนุ่มก็มิหยุด เล็บสีน้ำเงินจิกเนื้อสีม่วงเพื่อให้ปล่อย แต่ก็ไร้ผล เมื่อบากไม่ยอมให้ไปโดยง่าย
“ ทมิฬ...หยุด เดี๋ยวนี้ อยากโดนอาญาใช่ไหม? “
“ หมางเมินข้าเช่นนี้ ก็ลงอาญาร้ายกาจมากพอแล้ว ข้ารู้ ข้าทำผิด วอนอย่าโกรธ “
“ วันหลังก็หัดคิดก่อนทำ พอ ปล่อยข้า “ พรานทมิฬมิปล่อยแขนยังรั้งเอวเอาไว้
“ ทารคา มองข้า...ข้ามิคิดจะให้คนอื่นมาแทนที่ข้า ที่ของข้าที่ท่านประทานให้ ทั้งตำแหน่งมือขวา...ทั้งคนรักข้างกาย ข้าไม่มีวันยกให้ใคร ให้ข้าตายข้าก็ไม่ให้ แค่คิดว่าจะมีใครมาสัมผัสท่านเช่นนี้ ข้าก็โมโหแล้ว ของของข้า ของข้าเท่านั้น “ ผู้เป็นนายยกมือแตะไหล่ที่มีแผล
“ ไม่มี...ไม่มีใครจะได้สัมผัสข้าเช่นเจ้า มีแค่เจ้า... ร่างนี้มีแค่เจ้าที่รู้จักมันดีกว่าตัวข้าเองด้วยซ้ำ ทมิฬ.. “ อีกฝ่ายยิ้ม ก้มลงจูบซอกคอตีตรารอยแดงสีสดไว้ให้
“ สัมผัสได้หรือยัง ทูลกระหม่อม.. “
“ ยัง… “ ดวงตาสีทองหรี่ลงมองอสุราเกศาสีเพลิง มือของบพิตรหนุ่มเลื่อนมาแตะแผลที่อก ก่อนพูดเสียงเบาราวกระซิบ
“ ...จนกว่าข้าจะได้สัมผัสเจ้าทั้งหมด… “ บากได้ยินดังนั้นก็หัวเราะน้อยๆ ถอยออกมานั่งลงที่ขอบสระ
“ งั้นรออันใดอยู่เล่า ท่านจ้าว “
“ ...เกลียดเจ้านัก พรานทมิฬ “ องค์เอ่ยก่อนจะขยับมาใกล้ บากยิ้มขณะช่วยประคองร่างที่เย็นฉ่ำจากน้ำสรงลอยมะลิ หอมฟุ้งไปทั้งกาย ต้องอดทนเสียหน่อยกว่าจะได้เชยชม...
ร่างสีมรกตเคลื่อนกายเข้าหา ลากริมฝีปากมีคมเขี้ยวแตะที่หน้าผากมีนอเล็กขบเบาๆ แล้วจึงไล่มายังใบหน้าเหนี่ยวรั้งริมฝีปากมีแผลอยู่นานสองนาน ลิ้นสอดแทรกเข้ามาราวกับกำลังจะหาน้ำหวานรสเลิศในนั้น มือของบากเลื่อนไปแตะแผ่นหลัง แต่กลับถูกปัดออกพร้อมเสียงขู่คำรามในคอ เขาจึงยกมือยอมแพ้มิแตะต้องตามที่อีกฝ่ายต้องการ ทารคาลดกายเลื่อนมายังแผ่นอก ลากผ่านริมฝีปากตีร่องรอยความเป็นเจ้าของเอาไว้ในที่เห็นเด่นชัด องค์ไม่คิดปิดบังว่าเนื้อหนังทมิฬตนนี้เป็นของพระองค์ ก่อนจะเลื่อนมายังผ้านุ่งแบบถกเขมร ขนงหนาสีแดงเข้มขมวดเสียกลัวจะพันกัน
“ ใยทำพักตร์มุ่ยเช่นนั้น? “
“ ทำไมเจ้าต้องนุ่งแบบนี้ไปประลอง “ อสุราหนุ่มถาม
“ ก็มันถนัดกว่า อากาศร้อนเช่นนี้ ให้ข้าแต่งองค์ครบถ้วนเห็นทีคงจะแพ้อินคาเสียแต่ยกแรก มิโปรดหรือ “
“ ไม่...วันหลังอย่าแต่งกายเช่นนี้อีก ข้าไม่ชอบ “ เล็บคมสีน้ำเงินจิกเบาๆที่ต้นขาอ่อนด้านในที่โผล่พ้นผ้าออกมา สีของมันเป็นม่วงอ่อนกว่าตรงอื่นอาจเพราะอยู่ใต้ร่มผ้าเสียก็ได้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทารคาเห็น แต่องค์ไม่ชอบให้ผู้ใดมาเห็นเช่นกัน ไม่ติดว่าอากาศร้อนจัด และคนจะติฉินนินทาถึงความประพฤติมิชอบ ก็คงจะสั่งควักลูกตามันทุกผู้ที่ได้เห็นเนื้ออ่อนสวยตรงนี้ไปแล้ว ปมผ้านุ่งที่เปียกปอนถูกคลายออกเผยกายเนื้อแข็งแรงที่ดูเหมือนจะเตรียมพร้อมรอแล้ว
“ ...ยังไม่ทันจะทำอะไร เจ้าก็มีอารมณ์แล้วหรือ “ องค์เหนือหัวถาม พักตร์มุ่ย
“ มีร่างที่งามเหมือนเทวดาสรรคสร้างมาอยู่ตรงหน้า ไม่มีอารมณ์ก็คงจะแย่เต็มทน “
“ ไม่ต้องมาปากหวาน “
“ รู้ได้อย่างไรกระหม่อมปากหวาน องค์เคยลิ้มรสหรือ “ บากก้มลงกระซิบข้างใบหูถาม
“ ไม่แค่ปากหรอกที่หวาน...ตรงนี้ก็หวาน “ ผู้มากวัยกว่ากระซิบตอบก่อนจะค่อยๆอ้าโอษฐ์กลืนส่วนที่แข็งขันเข้าไปช้าๆ ทมิฬหนุ่มกัดฟันกรอด เมื่อรับรู้ถึงความร้อนในโพรงปาก เช่นเดียวกับผู้ที่ทิ้งความเป็นนายปรนเปรอให้อย่างไม่รังเกียจ ล้ำลึกเสียถึงคอ ไล่ลิ้นเอาใจ ราวกับว่าเมื่อครู่มิได้โกรธเคืองอันใดแม้แต่น้อย มือของบากกำลังจะลูบผมที่เปียกชื้นให้ แต่ก็ถูกปัดออกพร้อมสายตาคมดุให้ เขายกมือยอมแพ้ ปล่อยให้คนมีศักดิ์สูงกว่าทำให้ โชคดีที่ทำกันตรงแถวบ่อสรง หาไม่ต้องหัวหมุนเพราะความร้อนและการโลมเล้าแสนดีนี่เป็นแน่แท้
“ ...ทะ...ทารคา พระองค์ พอ… “ ทมิฬหนุ่มหายใจติดขัดขณะจ้องมองภาพตรงหน้า แทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว
“ ไม่…. “ ยักษ์หนุ่มปฏิเสธ ยังคงไล่ละเลียดชิมความเป็นชายนั่นอยู่ จวบจนกระทั่งได้กลืนเอาน้ำรักสีขุ่นเข้าไปจนหมดจึงยอมผละออกมา จ้องมองใบหน้าที่เห่อร้อนนั่นอย่างผู้มีชัย
“ หวานดี “
“ แกล้งกันใช่ไหม ทารคา “
“ ลงอาญาเจ้าต่างหาก “ พรานทมิฬหัวเราะ
“ อย่าได้ลงอาญาแบบนี้กับใครอื่น หาไม่ ข้าจะฆ่ามันผู้นั่นเสีย “ ทารคาหัวเราะ หรี่เนตรมอง
“ รู้ได้อย่างไร ว่าข้ามิเคยลงอาญาแบบนี้กับคนอื่น ยามเจ้าไปทำภารกิจ อาจะมีคนที่โดนอาญานี้บ้างก็ได้นะ “ เทหะยักษาว่า หันหลังให้โดยไม่รู้เลยว่าดวงตาของบ่าวเขม็งตึงเครียด ก่อนจะทันรู้องค์ก็ถูกผลักลงไปในน้ำเย็นที่ใช้สรง ตามมาด้วยร่างของชายที่เพิ่งจะลงโทษไป
“ !!! “ ใต้น้ำนั่นเทหะยักษาทำไม่ได้แม้เปล่งเสียง ลำคอถูกรวบเอาไว้น้ำหลั่งไหลเข้าไปในปากเสียจนสำลัก ดวงตาสีแดงเบิกโพล่งมองผู้กระทำก่อนที่ปากของอีกฝ่ายจะตรงเข้ามาจูบ ไม่มีาอกาศในนั้นมีเพียงความรุนแรงเสียจนเรียกเลือด สักพักก่อนที่สติจะหลุด ร่างของอสุราที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดก็ถูกดึงขึ้นจากน้ำ เขาไอจนตัวโยน มือตวัดชกหน้าของบากเต็มแรง
“ บัดซบ! มึงกล้าดียังไง “ สุรเสียงกราดเกรี้ยว พรานหนุ่มยกมือปาดเลือดออกก่อนตรงเข้ามากระชากมือที่เริ่มร้อนเพราะมีเพลิงสีฟ้าปรากฏขึ้น
“ ท่านต่างหาก กล้าดียังไง! ใคร! ไอ้อีตัวไหนที่มันได้รับอาญาแบบข้า บอกมา ...อินคาใช่หรือไม่ ดี ข้าจะไปตัดหัวมันมาเดี๋ยวนี้! “ น้ำเสียงที่กราดเกรี้ยวไม่แพ้กันดังโต้กลับ ทารคาตกพระทัย กระชากแขนชายที่กำลังจะขึ้นจากน้ำ
“ หยุดบ้าเดี๋ยวนี้นะ พรานทมิฬ!! “
“ ข้าไม่ยอมให้ใครหน้าไหนก็ตามที่ได้สัมผัสจากท่านยังมาเชิดหน้ามีชีวิตร่วมโลกกับข้า!! “
“ ไม่มีไอ้อีตัวไหนทั้งนั้นล่ะ ข้าพูดแกล้งเจ้า!! “ ราชาแห่งคีรีกัณฑ์ตะโกนบอก พรานทมิฬชะงักหันมามอง
“ แกล้ง? นี่ท่านเอาเรื่องแบบนี้มาแกล้งข้าหรือ ทารคา? “
“ ….แล้วทีเจ้าเอาเรื่องความไว้วางใจของข้ามาเป็นเรื่องประลองนึกสนุกเล่า “ บากถอนใจ
“ ทารคา เรื่องบนเตียงมิใช่เรื่องที่จะเอามาล้อเล่นกันแบบนี้นะ “
“ เจ้าจะบอกว่าความไว้วางใจของข้า มีค่าน้อยกว่าเนื้อหนังที่เสพกามากันใช่หรือไม่ “ อีกฝ่ายไม่ยอมลงให้โดยง่าย ทมิฬหนุ่มถอนใจอีกครานั่งลงกับขอบสรงน้ำ
“ ทารคา ข้าขอโทษ ขอโทษจริงๆ จักไม่ทำอันใดโง่ๆอีกแล้ว ขอร้อง ลงอาญาข้าจริงๆ เฆี่ยนข้าให้หลังลาย แต่ได้โปรด...อย่าให้ใครแตะต้องเนื้อกายนี้เลย “ มือของเขาจับแขนของนายเหนือหัวมาหา ดึงมากอดราวจะขอโทษที่ล่วงเกิน
“ เจ้าเห็นข้ามักมากหรืออย่างไร จะได้เรียกคนอื่นมาเสพสมลับหลังเจ้า ทมิฬ “ คนโดนเรียกชื่อใจชื้นขึ้นนิดนึงที่คนรักเสียงอ่อนลง เขาจูบเบาๆแก้ม
“ ก็ท่านงามถึงเพียงนี้ ใครเล่าจะไม่หลงไหล ไอ้เจ้าเด็กอินคานั่นประไร คิดหรือว่าข้าไม่รู้ว่ามันมองการเป็นมือขวาของท่าน หมายถึงจะได้ใกล้ชิดท่านมากด้วย “ อสุราสีมรกตขมวดคิ้วใส่
“ ก็แค่ใกล้ชิด มิได้ร่วมเตียง เจ้าเองก็เถิด ทำกับข้าแบบนั้น อยากจะยั่วให้ข้าลงอาญาจริงๆแล้วใช่ไหม กล้าดีอย่างไรถึงจับข้ากดน้ำ อยากตายหรืออย่างไร? “
“ เมตตาข้าเถิด...ข้าก็หึงหน้ามืดเป็นนะ ท่านจ้าว “ ว่าพลางดึงมือที่ร้อนมาจุมพิต
“ คิดร้ายองค์เหนือหัว ซ้ำยังแตะกายข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต โทษเจ้าคงจะต้องบั่นคอสถานเดียวเสียแล้วละนะ.. “
“ หากบั่นคอแล้วก็อย่าลืมเอาหัวข้ามาตั้งไว้ในห้องบรรทมด้วยเล่า “
“ ลามปาม… ออกไปได้แล้ว ข้าจะสรงน้ำ อากาศร้อนบัดซบเช่นนี้ ข้าไม่อยากมาเถียง มาต่อปากต่อคำกับเจ้า จะหึงหน้ามืดบ้าบออะไรของเจ้าก็ไปทำที่อื่น “ เขาว่า หันหลังเดินผละออกไปวักน้ำขึ้นมารดตัวให้เย็นลง หยดน้ำที่ไหลจากเรือนผมไหลเกาะพราวไปตามแผ่นหลังสีเขียวมีริ้วดำช่างชวนมอง พรานผิวกายสีม่วงมิคิดแม้แต่จะขยับไปไหน เอาแต่จ้องมองภาพตรงหน้าเฉกเช่นชมมหรสพชั้นเลิศ จนคนโดนจ้องชะงัก
“ ยังไม่ไปอีก… “
“ ขอพิศองค์เอวนั่นไม่ได้หรืออย่างไร “ ว่าพลางส่งสายตาโลมเลียมาให้ อีกฝ่ายสะบัดพักตร์หนีอย่างเขินอายนิดหน่อย ใครก็ชอบนึกเอาพรานทมิฬเป็นบุรุษที่เงียบขรึม วุ่นวายกับภารกิจออกรบเพื่อองค์เหนือหัวเสียจนไม่ยุ่งวุ่นวายกับใคร วางตัวน่าเคารพนับถือ หากยามอยู่กันส่วนตัวทีไร พรานก็คือพราน ได้เหยื่อแล้วมีหรือจะยอมปล่อย…
“ ทารคา...ท่านจะอนุญาตให้ข้าได้...สัมผัสหรือยัง “
“ ทำไมข้าต้องอนุญาต “ ยักษาถาม ก่อนนั่งลงแช่องค์เสียจะได้ไม่โดนมอง
“ อย่างน้อยก็ถือเป็นรางวัลที่ข้าชนะการประลอง “ คนฟังพ่นลมหายใจ
“ ชนะ? หากข้าไม่ขัดเจ้าต่างหากจะโดนอินคาซัดลงไปกอง ข้าเห็นเจ้าเด็กนั่นหยิบหอกเตรียมแทงสวนแล้ว ถ้าข้าไม่เข้าไปก็คงจะโดนเข้าที่ท้องไปแล้ว เหอะ “
“ ...กลัวข้าแพ้หรือ? “ ทารคามิตอบคำถามนั่น แม้กระทั่งตอนที่บากเคลื่อนกายมาหา ยกมือโอบกอดอย่างเอาแต่ใจ จูบข้างๆขมับ กระซิบออดอ้อน
“ ถ้าเพื่อท่านแล้ว ข้าจะมิแพ้ผู้ใด เพราะตำแหน่งมือขวาของท่านจะต้องเป็นข้าเท่านั้น...และผู้ที่จะได้สัมผัสกายท่านก็มีเพียงข้า… “
“ มั่นใจเสียจริงนะ… “
“ แล้วท่านไม่ชอบสัมผัสของข้าหรือ? “ คนถูกถามหันตัวมาหา ขึ้นคร่อมเหนือตักของชายที่สูงกว่าองค์เองอย่างน่าหมั่นไส้ ยกมือจับใบหน้าแปลกตา ลูบรอยแผลเป็นที่ตาและริมฝีปาก
“ ข้าเกลียดสัมผัสของเจ้า “
“ หากเกลียดแล้วทำไมให้ข้าร่วมรัก? “ ถามพลางเอนองค์มาแนบชิด จูบแผ่นอกอย่างแสนรัก
“ อยากรู้ก็สัมผัสข้าสิ “
“ กษัตริย์ตรัสแล้วมิคืนคำ ท่านอยากให้ข้าสัมผัสจริงๆใช่ไหม? “ แม้จะถามเช่นนั้น แต่บากก็ตวัดร่างของอีกฝ่ายขึ้นมาโอบอุ้ม ทั้งคู่เปลือยเปล่าไร้แม้แพรสักผืนห่มกาย ทารคาถูกทิ้งลงกับบรรจถรณ์กว้างแม้ตัวจะเปียกซ่ก ตามมาด้วยทมิฬตัวโย่งที่ขึ้นคร่อมทันที
“ ...มาถึงขั้นเจ้าพามาบนเตียงแล้ว หากไม่ให้ ข้าคงถีบเจ้าลงไปกองกับพื้นแล้วล่ะ “
“ ต่อให้ท่านถีบข้า ข้าก็แข็งแรงพอจะตะกายกลับขึ้นมากอดท่านนั่นล่ะ “ พรานหนุ่มว่า หัวเราะน้อยๆขณะก้มลงซุกไซร้ซอกคอชื้น กลิ่นหอมเย็นจากดอกมะลิติดผิวสีเขียวเข้มเสียจนอดไม่ได้จะสูดดมและขบกัดอย่างหมั่นเขี้ยว
“ ...ตัวข้ายังไม่แห้งเลย เตียงเปียกหมดแล้ว “
“ เย็นดีออก ข้าชอบ อีกอย่าง...เดี๋ยวก็ร้อนแล้ว “ ร่างสูงผิวกายสีดอกศรีตรังเอ่ยขณะไล่จูบมาจนถึงช่วงท้อง ริมฝีปากมีแผลช่างรู้งานเสียจนทารคานึกชัง แค่เดี๋ยวเดียวก็ปรนเปรอเสียจนต้องยกมือปิดปากกลั้นเสียงน่าอายไม่ให้เล็ดรอดออกมา…
“ ข้าอยากได้ยินเสียงท่านนะ ทารคา “
“ อย่ามาสั่งข้า ข้าเป็นนายเจ้า.. “ คนถือศักดิ์สูงกว่ายังไม่ยอมลงง่ายๆ อีกฝ่ายไม่ว่าอะไรเพราะรู้นิสัยดี จึงก้มลงไปทำต่อให้ แต่ไม่ได้บำเรอเอาใจเช่นที่นายเหนือหัวลงอาญาให้เมือกี้ ครานี้กลับเชื่องช้า เนิบนาบราวแกล้ง ไม่ให้ไปถึงง่ายๆ นิ้วยาวแตะสัมผัสช่องทางล่วงล้ำไปพร้อมขยับปากและลิ้น
“ ทะ..ทมิฬ.. เจ้า.. “
“ ครางให้ข้าฟัง… “ น้ำเสียงทุ้มเอ่ยในเชิงสั่ง หากอสุราหนุ่มก็ไม่ยอม กัดปากกลั้นเสียงจนถึงที่สุด ลิ้นยาวเลียรอบปากของตนเอง มองใบหน้าที่หอบทั้งยังหันหนีตนเองอย่างอดระอาปนเอ็นดูไม่ได้
“ ไม่ชอบหรือ? ใยจึงไม่ครวญเสียงให้ข้าฟัง “
“ ...ข้าไม่ชอบสัมผัสของเจ้า...ไม่ อึ่ก! “ กายแกร่งที่แทรกเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัวพร้อมกับจูบที่ปิดปากประดับคมเขี้ยวนั่นเอาไว้ เตียงสั่นไหวโยกคลอนรุนแรงทุกการขยับ ในหัวของผู้ถูกรุกรานว่างเปล่า ทุกรอยจูบ ทุกที่ที่มือยาวๆนั่นลากผ่าน ทำให้สติขององค์เหนือหัวแทบกระเจิดกระเจิง ไม่รู้องค์ด้วยซ้ำว่ายามนี้ได้ทอดกายอ่อนแรงในอ้อมแขนของพรานหนุ่มเสียหมดสิ้นท่าแล้ว
“ ข้าชอบที่จะสัมผัสท่าน ทารคา “
“ ...แต่ข้า...ไม่ชอบ ทมิฬ...อย่าเพิ่ง อย่า.. “ นิ้วยาวมีเล็บสีน้ำเงินดันต้นแขนมีแผลเอาไว้ พยายามรั้งให้อีกฝ่ายอย่าเพิ่งโหมแรง แต่ก็ไม่ทันเมื่อคนน้อยวัยกว่าเสร็จสมไปก่อนแล้ว ภายในร้อนผ่าวจากหยาดรักที่หลั่งรดในนั้น
“ ทารคา? “ บากยกมือแตะใบหน้าที่หอบเร้าด้วยแรงอารมณ์ ปากอ้าหอบหายใจจนต้องก้มลงจูบพลางกระซิบปลอบ
“ ทารคา...ใจเย็นๆ ไม่เป็นไร ร้อนหรือ? จะสรงน้ำก่อนอีกไหม ข้าจะพาไป “
“ ไม่….ทมิฬ… “ มือรั้งคอของอีกฝ่ายโน้มลงมา
“ ทารคา..??? “
“ สัมผัสข้า...สัมผ้าข้าเถอะ อย่าเพิ่ง...ไปไหน “ คนกอดยิ้มบาง ก้มลงจูบที่ปากและแก้ม มือเลื่อนจับกับมือของยักษ์หนุ่มผู้เป็นนาย สอดสัมผัสอย่างแนบแน่น
“ ไม่ไป...อยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆท่านเสมอ “
"….สัมผัสข้า “ น้ำเสียงหอบระรัวเอ่ยขอ
“ ตามบัญชา...ทูลกระหม่อม “ บากตอบรับคำวอนนั้น
ทารคารู้ดีว่ามันเป็นเรื่องน่าละอายมากแค่ไหนที่ตนทีเป็นนายต้องกลายเป็นฝ่ายถูกสัมผัสจากบ่าวที่ตนชุบเลี้ยงมาแต่เยาว์วัย แต่สัมผัสจากทั้งมือ แขน ริมฝีปาก และความเป็นชายที่ล่วงล้ำลากผ่านสัมผัสมันทำให้ความคิด คำพูด แม้แต่ศักดิ์ศรีมลายหายไปสิ้น ยามถูกสัมผัสจากชายเผ่าทมิฬตนนี้ อากาศยังร้อนอยู่แต่ก็ไม่คิดจะหยุด
โหยหาทุกครั้งยามเหมือนจะถูกพรากจากอ้อมแขน
ร่ำร้องทุกครั้งยามถูกรุกรานเสียจนกายสะท้าน
หัวใจสั่นไหวราวถูกหยอกล้อยามได้ยินเสียงกระซิบหวาน
เกลียดทุกสัมผัสที่ถูกมอบให้
เกลียดตนเองที่ต้องการสัมผัสนั้น
หาไม่เพราะรัก…
คงมิยอมให้ได้สัมผัสมากถึงเพียงนี้….
<:><:><:><:><:><:><:><:><:><:><:><:><:><:>
“ ท่านจ้าวมิออกว่าราชการอีกแล้วหรือวันนี้ ท่านมารตา “ อินคาถาม หลังจากร่างกายดีขึ้นจนมาร่วมฟังราชกิจของท่านจ้าวได้แล้ว นี่ก็วันที่สามแล้วที่นายเหนือหัวมิออกมายังท้องพระโรง มารตาถอนใจเนือยๆ
“ ไม่...แต่ราชกิจตอนนี้ก็ไม่มีอะไร อากาศก็ยังร้อนขนาดนี้ ท่านพี่ข้าคงจะไม่อยากออกมาน่ะ “ ยักษ์หนุ่มผิวสีน้ำผึ้งเบ้หน้า
“ ใยทำหน้าแบบนั้นเล่า เจ้าข้องใจเรื่องท่านพี่ข้าหรืออินคา “ อุปราชสีชาดถาม น้ำเสียงมิได้ติดใจเอาความเอาอันใด เพราะสนิทสนมกับเด็กคนนี้มาแต่เยาว์วัย
“ เปล่าขอรับ...แค่ไม่ชอบใจคนข้างกายท่านจ้าวมากกว่า “
“ คนข้างกาย ใครกัน ท่านพี่มิมีสนมนางในเสียหน่อย? “ คนน้อยวัยกว่าพ่นลมหายใจ
“ ข้าหมายถึงมือขวาของท่านจ้าวน่ะขอรับ ข้าเห็นหน้าครั้งสุดท้ายก็ตอนที่เห็นเดินตามท่านจ้าวไป และนั่นก็ครั้งสุดท้ายที่เห็นท่านจ้าวเช่นกัน “
“ อ๋อ พรานทมิฬน่ะเหรอ? อืม ปกติรายนั้นน่ะ ไม่ค่อยปรากฏตัวหรอกถ้าท่านพี่ข้าไม่มา ก็เหมือนวันนี้ล่ะ แล้วไม่ชอบใจเรื่องอันใด หรือเรื่องการประลองนั่นยังติดใจเจ้า เอาน่า ครั้งหน้าก็ยังมี “
“ หึ…ไม่แล้วล่ะขอรับ ข้าไม่ประลองอีกแล้ว “ อินคารับชาจากนางกำนัลมาจิบ
“ ทำไมเล่า อีกเดี๋ยวก็เข้าหน้าหนาวแล้ว ถึงตอนนั้นอากาศจะเย็นขึ้น ประลองกันกลางแดดอย่างไรก็ไม่กลัวจะเป็นลมแดดตายกันดอกน่า หรือเจ้ากลัวแพ้อีก หือ เจ้าเด็กน้อย “
“ ใช่ที่ไหนกันเล่าขอรับ ท่านมารตา! “
“ อ้าว แล้วทำไมไม่ประลองแล้วล่ะ? “
“ ประลองกันไปก็เท่านั้นขอรับ….ถึงจะชนะ ข้าก็มิได้เป็นมือขวาท่านจ้าวอยู่ดี…. “ มารตาเลิกคิ้วขณะจิบน้ำเย็นลอยดอกมะลิบ้าง
“ อ้าว ไหงอย่างงั้น ท่านพี่ข้าชื่นชอบคนเก่งมีความสามารถ ถ้าเจ้าชนะพรานทมิฬได้ ข้าว่าเจ้าพี่ข้าก็คงจะชอบเจ้ามากกว่าเดิมอีกนะ “
“ ….ตำแหน่งมือขวาของท่านจ้าวน่ะไม่ใช่ทุกคนจะเป็นกันได้หรอกขอรับ ถ้าไม่ใช่คนที่ท่าน….วางใจจะให้จริงๆ “ อสรุาหนุ่มถอดถอนใจราวคนแก่
“ ก็คงจะจริงของเจ้า พรานทมิฬเป็นผู้ที่ท่านพี่เชื่อพระทัยมากเสียจนเข้านอกออกในห้องบรรทมได้ด้วยซ้ำ “ ได้ยินดังนั้นอินคาก็ยิ่งหงุดหงิดเป็นกำลัง วางถ้วยชาเนื้อดีกระแทกโต๊ะเสียแทบร้าว มารตาหรี่เนตรสีฟ้ามอง
“ อินคา...นี่เจ้าดูจะหงุดหงิดมากจริงๆนะ เกลียดพรานทมิฬมากรึ? “
“ ไม่ได้เกลียดขอรับ ตรงกันข้ามข้านับถือเจ้านั่นมากเสียด้วยซ้ำ “ คนฟังหัวเราะ
“ เป็นเสียอย่างนั้นไป ก็จริงนะ พรานทมิฬน่ะแข็งแกร่ง มีไหวพริบ เป็นยอดนักรบในสนามรบทีเดียวเชียว “ อินคาเบ้หน้า พูดเบา
“ ...เป็นยอดนักรักบนเตียงเสียด้วย “
“ เจ้าว่าอะไรนะ? ข้าได้ยินไม่ถนัด “ มารตาถาม คนอ่อนกว่ายิ้มให้
“ เปล่าขอรับ อีกเดี๋ยวเหล่าเสนาก็มากันแล้ว ข้าว่าเราเตรียมสะสางราชกิจกันเถอะขอรับ ถ้าท่านจ้าวออกมาพบว่างานการไม่สำเร็จ มีหวังได้โดนกระบองบรรลัยจักรตายกันหมดยกท้องพระโรงนี่ล่ะ “
“ ข้าเห็นด้วยกับเจ้า “ อุปราชหนุ่มว่า ก่อนหยิยสาส์นมาตรวจดู โดยมีอินคาที่คอยลอบมองบัลลังก์แห่งคีรีกํณฑ์ที่ว่างเปล่า ใจก็คิดหมั่นไส้ไอ้คนตัวม่วงที่มักคอยยืนข้างๆอยู่เป็นนิจ แม้เขาจะได้ชื่อว่าเป็นมือซ้ายแห่งท่านจ้าวเทหะยักษา แต่ก็มิเคยได้รับอนุญาตให้ยืนใกล้ชิดเลยแม้สักครั้ง
ตำแหน่งนั่นน่ะไม่ใช่แค่มือขวาดอก…
ตำแหน่งคนรักเสียต่างหาก…
ต่อให้ชนะศึกเป็นร้อยเป็นพันครั้ง
หาไม่ใช่คนที่ท่านจ้าวเลือกใแล้วไซร้
ก็ไม่มีวันได้ยืนตรงนั้น...
<:><:><:><:><:><:><:><:><:><:><:><:><:><:>
ม่านสีขาวโปร่งแสรงปลิวเบาริมบานบัญชรที่เปิดให้ลมเย็นจากต้นไม้เข้ามา ไอเย็นที่เจือปนมาเสมือนข่าวแจ้งเตือนว่ารามเทพคงใกล้หน้าหนาวขึ้นมาบ้างแล้ว เปลือกตาที่ปิดอยู่ของราชาหนุ่มเปิดออกช้าๆ แสงนวลที่เข้ามาพร้อมความเย็นทำให้องค์ขยับกายจะลุกขึ้น ตอนนั้นเองที่ความหนักบริเวณบั้นพระองค์ทำให้ต้องเบี่ยงหน้ามอง จึงพบว่าชายอีกคนยังนอนกอดอยู่ไม่ไปไหน แขนคล้องเอวเอาไว้ราวกลัวจะหายไป
“ ...ทมิฬ….ตื่น ปล่อยข้าด้วย “ องค์ตรัสสั่งแต่อีกฝ่ายก็ไม่ขยับ แค่งัวเงียซ้ำยังดึงมากอดแน่นอีก
“ ทมิฬ…ปล่อย... “
“ วันนี้มิได้ออกว่าราชกิจ ใยต้องรีบไปไหนหรือ? “ เขาถาม ลืมตาขึ้นมอง
“ ข้าจะไปสรงน้ำ เจ้าจะนอนก็นอนไป “ ทารคาเอ่ย ยกหัตถ์ดึงมือของทมิฬหนุ่มออก ก่อนเตรียมจะลุกไปยังห้องสรงน้ำ ไม่แน่ใจว่ามีนางกำนัลมาเตรียมเครื่องสรงให้หรือไม่ เพราะปกติถ้าพรานทมิฬอยู่ในห้องด้วย องค์ไม่โปรดให้ใครเข้ามายุ่มย่าม แพรสีม่วงถูกใช้แทนภูษาห่มกายขณะเดินไปยังห้องสระ เมื่อแหวกม่านพบว่าสระสรงถูกเตรียมแล้วเรียบร้อย ดอกไม้สีม่วงดอกเล็กๆถูกลอยปนอยู่กับมะลิ
“ ข้าตื่นมาเตรียมสระสรงให้แต่เช้า เพราะรู้ว่าท่านตื่นมาก็คงจะอยากสรงน้ำเลย “ บากพูด เท้าแขนมองนายเหนือหัวที่ยังจ้องมองสระสรงอยู่
“ ...ความผิดใครกันล่ะ ที่ทำข้าเปรอะเปื้อนเสียขนาดนี้ “ องค์ถาม เอียงใบหน้ามอง
“ ก็ความผิดท่านนั่นเสียอย่างไร งามเสียเพียงนี้ หากข้าอดทนได้ก็เทพเทวาชั้นพรหมแล้ว “
“ หึ อยากจะรู้จริง ว่าพวกทหารแลโยธา ถ้าได้มาเห็นพรานผู้เก่งกล้าทำตัวเหมือนบุรุษเจ้าชู้เช่นนี้ จะยังนับถือกันอยู่ไหม?”
“ พวกนั้นไม่ได้เห็นดอก… ก็ข้าจะเป็นเช่นนี้แค่กับท่านเท่านั้น สรงน้ำเถิด หรืออยากให้ข้าไปช่วยท่านสรง... “ เขาถาม ส่งสายตาจรดไปทั่วร่างใต้แพรบาง
“ ...มาทำหน้าที่ของเจ้าเสียสิ “
“ อนุญาตให้ข้ารับใช้หรือไม่ องค์เหนือหัว “ บากถามขณะลุกจากเตียงมาหยุดยืนเบื้องหน้าคนรักที่แสนสูงศักดิ์กว่าตน รอยยิ้มปรากกฏบนใบหน้าคมขององค์ราชา แพรสีม่วงถูกถอดลงกองกับพื้น
“ ...ข้าอนุญาต “ ทารคาเอ่ยเรียบๆ ก่อนที่จะถูกตวัดร่างลงไปยังบ่อสรง เสียงน้ำสาดซัดคลอเคล้าเสียงร่างกายที่เคลื่อนไหวต่อเนื่อง แกนกายที่เชื่อมต่อกับอีกร่าง พร้อมทั้งเสียงครวญครางอย่างสุขสมดังแผ่วระเรื่อยจากส่วนสรงน้ำ
มิมีผู้ใดกล้าเข้ามาขัดความสำราญของท่านจ้าวเทหะยักษาที่ตอนนี้ได้ร่วมเสพสมอภิรมย์กับมือขวาเพียงหนึ่งเดียวที่พระองค์ประทานยศให้ มอบเรือนกายงามให้เป็นรางวัลแก่ความวางพระทัย และมองทั้งดวงหฤทัยให้ไว้เป็นขวัญชีวิตแด่อีกฝ่าย ริมฝีปากประดับคมเขี้ยวเอ่ยกระซิบทุกครั้งยามถูกวอนขอความรัก
“ สัมผัสข้าสิ…. ”
Touch my body
Put me on the floor
Wrestle me around
Play with me some more
Touch my body
Throw me on the bed
I just wanna make you feel
Like you never did.
Touch my body
Let me wrap my thighs
All around your waist
Just a little taste
Touch my body
Know you love my curves
Come on and give me what I deserve
And touch my body.
Touch My Body - Mariah Carey
<:><:><:><:><:><:><:> F I N <:><:><:><:><:><:><:>
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in