เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Fictober2019pampamgirl
Day 31 : Past Present Future
  • ทันทีที่เปิดประตู… เรือนนอนของเจิ้งเยี่ยนว่างเปล่า หลี่เยี่ยนชิวเร่งฝีเท้าดำเนินล่วงเข้าไปด้านในอย่างรีบร้อน สรรพนามที่ขานเรียกออกมา… แม้แต่ตนเองก็ไม่ใส่พระทัยจะปั้นแต่งอีกแล้ว


    “เยี่ยนชิว!”


    “เยี่ยนชิว! เยี่ยนเอ๋อร์! พวกเจ้าอยู่ที่ใด!”


    ห้องหับว่างเปล่า สรรพเสียงเงียบงัน… โอรสสวรรค์ยืนประทับอยู่ลำพังกลางเรือนนอนกว้างใหญ่…


    เรือนนอน… ที่เมื่อค่ำคืนก่อนยังคับแคบเพราะมีเด็กน้อยสองคนวิ่งไล่จับ ชนสิ่งนั้นสิ่งนี้ร่วงหล่นลงพื้นจนเจิ้งเยี่ยนต้องวิ่งไล่ตามเก็บ… ส่วนหลี่เยี่ยนชิวยังนั่งจิบชาชมดูอยู่มุมหนึ่งของห้องอยู่เลย…


    ทว่าเพียงข้ามคืน… ห้องนอนห้องเดียวกันกลับเวิ้งว้างว่างเปล่าถึงเพียงนี้…


    “เยี่ยนชิว… ออกมาเถิด… ข้ายังติดค้างคำพูดกับเจ้าอยู่... เจ้ามิอยากฟังแล้วหรือ...?”


    สุรเสียงจักรพรรดิเบาหวิวลอยล่อง พระหัตถ์สองข้างตกลงข้างพระวรกาย... พระพักตร์สิ้นหวังก้มลงมองพื้น...พระเนตรเหลือบไปเห็นตัวอักษรปริศนาบนม้วนกระดาษที่คลี่ออกมาเล็กน้อย คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นลายมือเจิ้งเยี่ยน แต่ฉับพลันหูกลับได้ยินเสียงหัวเราะสดใสดัง ‘คิกๆ’ ลอยมาตามลม


    “เยี่ยนเอ๋อร์! เจ้าอยู่ที่นี่ใช่เหรอไม่?” หลี่เยี่ยนชิวละสายตาจากม้วนกระดาษพลางชะเง้อมองไปรอบๆ ชั่วคราว สุรเสียงที่มักเรียบเย็นเป็นนิจขณะนี้แฝงทำนองร้อนรนให้ได้ยินอย่างชัดเจน “พาเยี่ยนชิ-- องค์ชายสี่ออกมาหาลุงสี่เร็วเข้า”


    ‘ถึงเจ้าผมปล้องอยากพาข้าออกไปก็ทำไม่ได้หรอก หลี่เยี่ยนชิว’ น้ำเสียงดื้อรั้นดังลอยตามลม


    “เยี่ยนชิว! นั่นใช่เจ้าหรือไม่?!? เหตุใดไม่ออกมาพูดกันดีๆ”


    ‘หลี่เยี่ยนชิว… บางคราวแม้อยากพูดแทบตาย… แต่ผู้คนกลับมิอาจอยู่ฟัง’ เสียงเล็กๆ ยังคงลอยวนอยู่ในสายลม… ตอบกลับดังบ้างเบาบ้าง… ‘เรื่องคราวก่อนข้ามิถือโทษเจ้า...​ เป็นข้าเองที่ไม่ดีเช่นกัน’


    “เจ้า… เหตุใดจึงกล่าวคล้ายขอโทษข้า…” ทั้งที่เป็นข้า… เป็นฝ่ายกระทำผิดต่อเจ้า


    ‘วาจาพันหมื่นในใจเจ้า… ไหนเลยข้าจะไม่รู้’ เสียงเล็กกล่าวอย่างสุขุมนุ่มนวล… ไร้วี่แววความมุทะลุดื้อรั้นเหมือนเมื่อครั้งเยาว์วัย ‘ในเมื่อข้า… ก็คือตัวเจ้า’


    ‘นี่... หลี่เยี่ยนชิว... วันนี้ข้าจะต้องไปแล้ว...' เสียงนั้นถอนใจออกมาคราหนึ่ง... 'แต่ก่อนไป... ข้าจะขอเตือนสติเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย... จะฟังหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าเอง...'


    "...."


    'ความรู้สึกผิดบาปในใจ… ที่เจ้ามีต่อตัวข้า… ต่ออดีตของตนเอง ต่อพี่สาม… ต่อบ้านเมือง… ย่อมมิอาจแก้ไขได้โดยลำพัง… เจ้าอาจจะคิดว่าผู้คนห้ำหั่นฟาดฟัน พากันล้มหายตายจาก… แต่ตัวเจ้ากลับมีชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ผู้เดียวโดยยื่นมือไปช่วยเหลืออันใดแก่ผู้คนเหล่านั้นมิได้… จึงสมควรแล้ว… ที่เจ้าจะต้องถูกจองจำในคุกที่ใครๆ เรียกกันว่าวังหลวงจนตราบสิ้นลมหายใจ… ใช่หรือไม่...’


    หลี่เยี่ยนชิวยืนฟังสิ่งที่ฝังใจตนเองถูกผู้อื่นกล่าวออกมาดังๆ อย่างตกตะลึง


    ‘ผู้คนเกิดมาล้วนแตกต่าง… สิ่งที่เจ้าเสแสร้งแสดงตลอดมา… เวลานี้กลับซ้อนทับตัวตน... อดีตของเจ้าถูกกลืนหาย… ปัจจุบันถูกปั้นแต่ง… อนาคต... กลับมืดมนไร้ทางออก’


    เสียงเล็กๆ เยือกเย็นพลันเปลี่ยนเป็นก้องกังวาล… 


    หากสรรพนามที่ใช้แตกต่างไป… หลี่เยี่ยนชิวคงคิดว่ากำลังสนทนาอยู่กับหลี่เจียนหงเมื่อครั้งยังรั้งตำแหน่งเป่ยเหลียนอ๋อง


    ‘เยี่ยนชิว… สิ่งที่เจ้าตั้งใจปกปิดเพียงเพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมต่อตนเอง… มันถูกต้องแล้วหรือ…? ในเมื่อวิญญาณของข้า… ก็คือของเจ้า… แม้ตัวข้าจะโผงผางดื้อรั้น… แต่ข้าก็เป็นส่วนหนึ่งของเจ้า… ยิ่งเจ้าพยายามซ่อนเร้นตัวข้าให้อยู่ในเงามืดในใจเจ้าเท่าใด… ความมืดมนนั้นกลับจะยิ่งงอกงามกัดกินแสงสว่างซึ่งเป็นแรงจูงใจที่ทำให้เจ้าอยากมีชีวิตสืบต่อ…


    เยี่ยนชิว… สิ่งที่เจ้าตั้งใจปกปิดเพียงเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมต่อผู้อื่น… มันถูกต้องแน่หรือ…? ในเมื่อความรู้สึกผิดบาปในใจที่มีต่อตนเอง… ทำให้เจ้าพยายามถอยห่างจากผู้คนที่เจ้ารัก… และกางกำแพงกีดกันผู้คนที่รักเจ้า… แต่เจ้าเห็นหรือไม่… ว่าสิ่งที่เจ้าพยายามกระทำ… ทั้งการปิดกั้นจิตใจมิให้ก่อเกิดความใคร่รัก… และการแสร้งเมินเฉยต่อความรักของผู้อื่น… กลับจะยิ่งก่อกำเนิดวังวนแห่งความโศกเศร้าและน้ำตา ผลักไสให้ผู้คนเหล่านั้นต้องลงไปแหวกว่าย...​ หากวันใดที่พวกเขาหมดแรงก็ย่อมถูกความเศร้าโศกดึงดูดให้จมหายลงไป… สังเวยชีวิตให้เจ้า… เพียงเพราะเขาจงรักและภักดีต่อเจ้าเท่านั้น… มันยุติธรรมกับเขาแล้วหรือ…


    มันยุติธรรมกับตัวข้าในวิญญาณเจ้าแล้วหรือ… ที่ต้องยืนมองดูคนเหล่านั้นที่เขาก็รักข้าเช่นกัน... สละชีวิตไปต่อหน้าต่อตา…


    เพียงเพราะในปัจจุบัน… วิญญาณของเราทั้งสองมีเจ้าเป็นผู้อยู่เบื้องหน้าอย่างนั้นหรือ… เจ้าจึงได้เป็นผู้เลือกที่จะดูดาย… ยืนมองพวกเขาอยู่เฉยๆ ส่วนข้ากลับต้องเป็นฝ่ายดิ้นรนอยู่ในห้องกักขังนิสัยที่เจ้าใช้คุมขังข้า… และทนดูพวกเขาทุกข์ทรมาน...


    ผู้คนรอบกายเพียงแค่อยากมอบความรักให้เจ้าอย่างไร้สิ่งเคลือบแฝง…


    แต่เจ้ากลับ… ไม่แม้จะมอบความรักให้ตนเอง… แต่ยังหวงห้ามมิให้ผู้อื่นสมัครใจมอบความรักใคร่ให้แก่เจ้าอีกด้วย…


    หลี่เยี่ยนชิว… หรืออันที่จริง… เจ้ากำลังหวาดกลัวอดีต... เจ้ากำลังกลัวข้าอยู่หรือ…’


    หลี่เยี่ยนชิวพูดไม่ออก ประทับยืนนิ่งฟังทุกถ้อยคำ… ทุกประโยคอย่างเงียบงัน จนกระทั่งเสียงนั้นถามขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย… พระองค์ก็ยังมิอาจรับสั่งตอบอะไรกลับไปได้เลย…


    ‘เหตุใดเจ้าถึงกลัวข้า…’


    “ข้า… ข้ามิได้เกรงกลัวเจ้า”


    ‘สองเราย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าครานี้เจ้าพูดปด’


    หลี่เยี่ยนชิวฟังคล้ายเสียงนั้นกำลังแย้มยิ้ม…


    ‘หากเจ้ามิได้เกรงกลัว… ไหนเลยจึงต้องปกปิด’


    “ข้า…”


    ‘หลี่เยี่ยนชิว...​ ข้ารู้ว่าชีวิตเจ้าสูญเสียมากเกินไป…’


    “ข้า…”


    ‘เจ้า… จึงพยายามกอดเก็บซุกซ่อนสิ่งสำคัญที่ยังเหลืออยู่เอาไว้มิให้ผู้ใดเห็น…’


    “...”


    ‘ภายนอกเสแสร้งแสดงออกว่ามิได้ให้ความสำคัญกับสิ่งใด’


    “...”


    ‘แสร้งแสดงว่าในชีวิตมิมีสิ่งใดสำคัญ... จนกระทั่งวันหนึ่ง… ภายในใจเจ้าเองก็ลืมเลือน… ว่าสิ่งสำคัญเหล่านั้นคืออะไรกันแน่…’


    “...”


    ‘ข้าพูดถูกหรือไม่… ฝ่าบาท’


    “เจ้า… เจ้าคือเยี่ยนชิวจริงหรือ”


    เสียงหัวเราะก้องกังวาล ‘นอกจากข้าแล้วจะมีผู้ใดรู้จิตใจเจ้าจนทะลุปรุโปร่งเช่นนี้… อย่าหมิ่นว่าอายุข้ายังเยาว์ เพราะเจ้าเองก็กระจ่างดีแก่ใจอยู่แล้วว่าตัวเจ้าเองนิสัยเป็นอย่างไรในวัยสิบขวบ’


    “เช่นนั้น...​เหตุใดเจ้าถึง…”


    ‘เหตุใดข้าถึงรู้ดีนักใช่หรือไม่…’ เสียงนั้นเริ่มเลือนราง ฟังคล้ายกำลังห่างออกไปเรื่อยๆ ‘เพราะข้าคืออดีตของอนาคตที่มืดมนที่สุดของเจ้าอย่างไรล่ะ’


    หลี่เยี่ยนชิวตกตะลึง… คิดในใจว่า เจ้ากำลังจะบอกว่าอนาคตของข้ามีมากกว่าหนึ่งลักษณะงั้นหรือ


    ‘ถูกต้อง… แม้แต่ตัวตนของสองเราในอดีต ปัจจุบันและอนาคตก็มีมากกว่าหนึ่งลักษณะ’


    “เจ้าอ่านใจข้า…”


    ‘มิได้เจตนา...​ แต่เป็นเพราะตัวเจ้าในปัจจุบันใกล้เคียงกับปัจจุบันที่มืดมนที่สุดของข้า… สองเราจึงเปรียบเสมือนคนเดียวกัน เจ้าคิดสิ่งใด… สมองข้าก็รับรู้ได้… ก็เท่านั้น’


    “ข...ข้า… คือปัจจุบันที่มืดมนที่สุด... อย่างนั้นหรือ”


    ‘ก็ถ้าเจ้ายังคิดเห็นนับพันเอื้อนเอ่ยเพียงหนึ่งอยู่เช่นนี้… ก็ไม่แน่’


    “หมายความว่าอย่างไร”


    ‘เท่าที่ข้ารู้… พวกเรามีด้วยกันสามลักษณะในทุกช่วงเวลา…’


    “สามลักษณะ…?”


    ‘เช่นตัวข้าในอดีตก็มีทั้งข้า... ที่เป็นอดีตที่มืดมนที่สุดของเจ้า และก็มีอีกสองคนคืออดีตที่สว่างไสว และอดีตที่อยู่ตรงกลาง’


    “...”


    ‘เจ้าไม่เข้าใจหรือ…’


    “ข...ข้าแค่รู้สึก--”


    ‘เหลือเชื่อ?’ เสียงนั้นหัวเราะเบาๆ ‘ข้ากับเยี่ยนเอ๋อร์วิ่งเล่นในวังหลวงของเจ้าหนึ่งปีเต็ม… เจ้ายังคิดว่าเรื่องนี้ยากจะเชื่อถืออีกหรือ’


    “มิใช่…” หลี่เยี่ยนชิวส่ายพระพักต์เบาๆ “ข้าเพียงแปลกใจที่ตนเองมีอดีตถึงสามแบบ”


    ‘สาม… คือจำนวนที่ข้าเคยพบเห็น… ความจริงอาจจะมีมากกว่านั้น’


    “แล้วเจิ้ง… เยี่ยนเอ๋อร์มีสามแบบด้วยหรือไม่”


    ‘เจ้านั่นก็โง่เง่า… จงรักภักดีจนน่าสมเพชเช่นเดิมทุกครั้งนั่นแหละ เจ้ามิต้องห่วงไปหรอก’


    คราวนี้ถึงคราวหลี่เยี่ยนชิวทรงพระสรวลผ่อนคลายบ้างแล้ว


    ‘เจ้าขำอันใด’


    “ข้าเริ่มดูออกแล้วว่าเจ้าคืออดีตบทที่แย่ที่สุดของข้า”


    ‘หึ… ไปลองเจอตัวข้าแบบอื่นดูก่อนเถิด… จึงค่อยตัดสิน’


    “เช่นนั้น... ข้าจะไปได้อย่างไร”


    ‘ข้าก็ไม่รู้’


    “......” หลี่เยี่ยนชิวขมวดขนง เงยพระพักตร์จ้องมองฟ้า


    ‘ไม่ต้องมาถลึงตาใส่… ข้าไม่เกรงกลัวเจ้า… แต่เป็นข้าไม่รู้จริงๆ เจ้าต้องไปถามเจ้าผมปล้องเอาเอง…’


    “แต่เยี่ยนเอ๋อร์กลับไปกับเจ้าแล้วมิใช่หรือ”


    ‘ใช่… ตอนนี้ข้ากับเจ้านั่นครบวาระต้องกลับไปแล้ว…’


    “เช่นนั้น…”


    ‘เช่นนั้นในกาลของเจ้ามีเจ้าผมปล้องคนไหน… ก็ลองถามดูเอาเองเถิด’ เสียงนั้นถอนใจ ‘จงจำไว้ว่า เจ้ามิอาจเปลี่ยนแปลงอนาคต แต่สามารถควบคุมปัจจุบัน… หนึ่งปีที่ผ่านมาข้ามองแล้วว่าเจ้าคือปัจจุบันที่หดหู่ที่สุดเหนือผู้ใดเลย… ใช้ชีวิตจักรพรรดิของเจ้าให้รื่นเริงเสียบ้างเถิด…”


    “...”


    ‘ข้าต้องไปแล้ว…’


    “ช้าก่อน!”


    ‘พานพบมีพรากจาก… ต่อให้บทในกาลของเจ้าทำให้เจ้าเอ่ยคำประโยคนี้มิได้… แต่บทของข้า...​ ข้าสามารถเอ่ยว่า ‘ข้าจะคิดถึงเจ้า’ ได้สบายๆ' เสียงนั้นแย้มยิ้ม


    'รักษาตัวให้ดีด้วยล่ะ ตัวข้าอีกคนหนึ่ง…’


    “อย่าเพิ่งไป!”


    ‘อันใดอีก… มีอะไรรีบๆ พูดมาเสียสิ… เวลามิรอคอยเจ้าตลอดไปหรอกนะ’


    หลี่เยี่ยนชิวเม้มพระโอษฐ์ หลับตาก่อนถอนพระทัย ตรัสออกมาอย่างหนักแน่น “เยี่ยนชิว… ข้าติดค้างคำขอโทษเจ้า... ข้า...”


    เสียงบางเบาเหมือนกำลังยิ้มแย้มสุขใจพูดขัดขึ้น ‘คำขอโทษของเจ้าข้ารับรู้แล้ว... ข้าเป็นเด็ก... จะถือโทษโกรธตนเองนานๆ ได้อย่างไรเล่า… จริงหรือไม่…’


    “อืม…” หลี่เยี่ยนชิวพยักพระพักตร์แย้มสรวลเบาบาง


    เสียงนั้นหัวเราะน้อยๆ ก่อนพยางค์สุดท้ายแสนเลือนรางจะถูกเอื้อนเอ่ยออกมา


    ‘ลาก่อน… ฝ่าบาท’


    “ลาก่อน… อดีตของข้า…”


    สายลมพัดรุนแรง ม่านโปร่งแสงปลิวไสว... ม้วนกระดาษคลี่ออกให้เห็นตัวอักษรมากมาย... ที่คัดด้วยลายมือคุ้นเคยของเจิ้งเยี่ยน... 


    พระเนตรของหลี่เยี่ยนชิวไล่มองอักษรที่เขียนด้วยลายมือเป็นระเบียบงดงาม... จนกระทั่งถึงประโยคสุดท้าย...





    .


    .


    .



    คาถา


    มนตร์


    จันทร์


    เสี้ยว



    .


    .


    .



    อดีต


    เปลี่ยนผัน


    ปัจจุบัน


    ชี้นำ


    อนาคต



    .


    .


    .



    สวรรค์


    มิอาจ


    กำหนด


    ทางชีวิต



    .


    .


    .



    โชคชะตา


    ตัวข้า


    ลิขิต


    เอง


    .


    .


    .
















    -The End-





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Pderingring (@Pderingring)
โอะทสึคะเระซะมะเดะชิตะะะะะะะะะะ
ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยากสำหรับโปรเจ็คนี้ค่ะ!!

ตอนนี้จุใจแบบสุดๆ เลย องค์ชายสี่เท่มากๆ เลยค่ะ
เก็บความอัดอั้นไว้เต็มเปี่ยมและได้ส่งตัวถึงตัวเอง
สวดแบบ...สวดจริงจังมาก องค์ชายสี่นี่สุดยอดจริงๆ
ถึงได้เติบโตมาเป็นฝ่าบาทที่เฉลียวฉลาดแบบนี้ แต่ดีใจจังที่เค้าได้คุยกัน
เหมือนทำให้ท่านอาปลดล็อคความรู้สึกของตัวเองโดยตัวเองในวัยเยาว์
เพราะท่านอาที่ค่อนข้างกดดันคนอื่น แต่กดดันตัวเองมากกว่าหลายสิบเท่า
อ่านตอนนี้แล้วอิ่มจังเลยค่ะ ได้ปรับความเข้าใจตัวเองซะทีนะคะ น่ายินดีๆ

ขอบคุณมากเลยนะคะ สนุกมากๆ เลย ชอบฟิคคุณแป๋มสุดๆ ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ!!