“ฝ่าบาท…”
“ว่าอย่างไร”
“กระหม่อมมีเรื่องหนึ่งอยากถาม… ไม่รู้ว่าสมควรหรือไม่”
“เจ้าถามมาสิ”
เจิ้งเยี่ยนอึกอัก... เอ่ยถามเบาเหมือนกระซิบ... “ท่านเคยจูบพระมเหสีหรือไม่…”
“...” พระหัตถ์หลี่เยี่ยนชิวหยุดชะงัก ผินพระพักตร์จับจ้องใบหน้าผู้ถาม เนิ่นนานกระทั่งน้ำหมึกจากปลายพู่กันหยดลงบนกระดาษขาว เกิดรอยเปรอะเปื้อนเป็นดวงใหญ่ จึงถอนหายใจพลางวางพู่กันลง
ค่ำคืนนี้… ภายนอกตำหนักบรรทมจุดโคมไฟสว่างไสวตลอดทางเดิน หากแต่ภายในตำหนักกลับมีเพียงเงาสลัวของเทียนไขอ่อนแสง ใบหน้าของเจิ้งเยี่ยนที่ยืนอยู่ใกล้แค่เอื้อมจึงพร่ามัวเหมือนอยู่ไกลกันนับพันลี้… หลี่เยี่ยนชิวจึงมิอาจคาดเดาได้ว่าใบหน้านั้นกำลังสะท้อนความรู้สึกเช่นใดเมื่อเอ่ยปากไถ่ถามออกมา
“เหตุใดจึงถามเช่นนี้…”
“เดินทางไปสักการะศาลเจ้าครานั้น… ข้าเห็นนางกอดท่าน…”
“เช่นนั้นหากข้าตอบว่าไม่… เจ้าจะเชื่อหรือ”
หลี่เยี่ยนชิวทอดพระเนตรเพียงเงาเงียบงันของเจิ้งเยี่ยนที่ยืนสงบนิ่ง… มีเพียงก้อนเนื้อในพระทรวงที่คล้ายหล่นวูบลงกระแทกพื้น ในอกวูบโหวงว่างเปล่า… รู้สึกเศร้าสร้อยเกินบรรยาย
แต่เจิ้งเยี่ยน… ตัวการถามไถ่กลับยังคงมิเอ่ยคำใด...
พระเนตรหลี่เยี่ยนชิวแปรเปลี่ยนเป็นเพ่งพิศ… เฝ้าค้นหาคำตอบบางอย่างจากผู้ถาม… ตลอดมา… ข้ามิเคยทำให้เจ้าวางใจได้เลยหรือ... แตกต่างกับข้า… ไม่ว่าผู้อื่นจะกล่าวหาว่าเจ้าเสเพลเจ้าสำราญเพียงใด… ก็เชื่อมั่นในตัวเจ้าเสมอ…
หลี่เยี่ยนชิวหลับพระเนตร… ถอนหายใจพรั่งพรู พลางตรัสเสียงเบา “เช่นนั้นเจิ้งเยี่ยน… ข้าใคร่ถามเจ้ากลับคำถามหนึ่ง…”
เงาร่างนั้นขยับก้มลงคราหนึ่ง หลี่เยี่ยนชิวจึงรับสั่งต่อ
“นอกจากเจ้าแล้ว… คิดว่าข้าดูคล้ายอยากจุมพิตผู้อื่นหรือ”
“ฝ่าบาท! กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนั้น!” ครานี้เจิ้งเยี่ยนตระหนกจริงแท้ คนก้าวปราดเดียวถึงข้างกายจักรพรรดิ ฉวยพระกร เขย่าเบาๆ “เพียงแค่… สงสัยเท่านั้นเอง”
“เจิ้งเยี่ยน… ถึงแม้พระมเหสีจะตกเป็นเครื่องมือแสวงหาอำนาจของมู่ค่วงต๋า… แต่ข้าก็มิอาจจะฉกฉวยโอกาสนั้นล่วงเกินนางได้…” หลี่เยี่ยนชิวทอดพระเนตรเจิ้งเยี่ยนตรงๆ ดำรัสเสียงอ่อน “เพราะข้ามิเคยมีใจให้นาง...”
เจิ้งเยี่ยนพูดไม่ออก… อันที่จริงเขาถามขึ้นมาเพราะอยากรู้อยากเห็นเท่านั้นเองจริงๆ ไม่คิดว่าฝ่าบาทจะคิดเป็นจริงเป็นจังเช่นนี้เลย ใบหน้าจิ้มลิ้มยิ้มแหย เอ่ยปากขอโทษเสียงอ่อย “กระหม่อมผิดไปแล้วพะย่ะค่ะ…”
หลี่เยี่ยนชิวส่งเสียงอืมคราหนึ่ง พลางก้มลงหมายจะทรงอักษรสืบต่อ... แต่ก่อนจะได้เริ่มจับพู่กันอีกคราเสียงเจิ้งเยี่ยนก็ดังขึ้นถามอย่างเริงร่า “เช่นนั้นให้ข้าถามใหม่”
“คำถามไม่ได้ความ… เลิกถามได้แล้ว” หลี่เยี่ยนชิวโบกมือ
“โธ่… ฝ่าบาท ข้ารับรองว่าครั้งนี้จะเป็นคำถามที่ดีเหนือคำถามใดๆ ของข้าเลย”
หลี่เยี่ยนชิวส่ายพระพักตร์ ถอนพระทัยยาว ก่อนพยักหน้าอนุญาตให้เจิ้งเยี่ยนถามได้
เจิ้งเยี่ยนยกมุมปากข้างหนึ่ง เอ่ยกระซิบเสียงใส
“ให้ข้าจูบท่านได้หรือไม่...”
หลี่เยี่ยนชิวแทบสำลักชาที่กำลังยกขึ้นจิบ… คิดในพระทัยว่า คนผู้นี้… เมื่อยามใดนึกจะไร้ยางอาย... ผิวหนังบนใบหน้านั้นช่างหนา... หน้าด้านหน้าทนเกินผู้คนเสียเหลือเกิน…
“ฝ่าบาท... คำถามข้าออกจะเข้าท่าเข้าทาง… เหตุใดท่านกลับมิตอบข้าเล่า” เจิ้งเยี่ยนลอยหน้าลอยตาถามอีกครั้ง
หลี่เยี่ยนชิวกระแอมไอคราหนึ่ง พลางเอื้อนเอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่ได้…”
“หา…? เพราะเหตุใดเล่า” เจิ้งเยี่ยนโอดครวญจนมิทันสังเกตเห็นรอยสรวลแสนเจ้าเล่ห์ที่ประดับริมโอษฐ์อิ่ม
จากนั้น… ว่องไวจนมองไม่ทัน… พระหัตถ์หลี่เยี่ยนชิวเอื้อมคว้าลำคอระหงขาวผ่องโดยที่เจิ้งเยี่ยนมิทันได้ตั้งตัว คนเซเข้าปะทะพระอุระกว้าง เรียวปากถูกประกบกักขังไว้ด้วยริมโอษฐ์อิ่ม… ลมหายใจถูกช่วงชิงเสียเนิ่นนาน…
เมื่อริมฝีปากถูกปลดปล่อยเป็นอิสระอีกครั้ง หูเจิ้งเยี่ยนจึงค่อยๆ ได้ยินสุรเสียงแสนสำราญที่ดำรัสเบาๆ ว่า “เพราะข้าจะจุมพิตเจ้าเอง…”
จากนั้น… หลี่เยี่ยนชิวก็กระทำตามที่ตนได้ลั่นวาจา… มอบจุมพิตให้เจิ้งเยี่ยน… ตลอดค่ำคืนจวบจนรุ่งสาง
เจิ้งเยี่ยน...
จุมพิตข้า… มอบให้เจ้า
สายตาข้า… จับจ้องเจ้า
ราตรีของข้า… เป็นของเจ้า
แรกรัตติกาลจนจวบตะวันรุ่งของข้า… มีเพียงเจ้าผู้เดียวเท่านั้น...
พี่เจิ้งเข้าใจในความชัดเจนของท่านอาอยู่แล้ว
เพราะด้วยตำแหน่ง...ก็เลยรู้สึก...สงสัยไปบ้าง
แต่สุดท้ายท่านอาก็พิสูจน์แบบชัดเจนแจ่มแจ้งจริงๆ ค่ะ
เป็นอีกครั้งที่พี่เจิ้งขุดหลุมฝังตัวเองอีกแล้ว 555555555
แต่แบบนี้น่ารักละเกิน มีความสุขกันทั้งสองฝ่ายเลย