เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Burgundy BooksBurgundy Films & Books
รีวิว The Seven Year Slip - Ashley Poston
  • The Seven Year Slip
    โดย Ashley Poston


    💛


    เรื่องราวของคลีเมนไทน์ นักประชาสัมพันธ์ประจำสำนักพิมพ์ (แอบ ๆ ) จิ๋วแต่แจ๋ว ผู้รับช่วงต่ออพาร์ตเมนต์ “ที่มีเวทมนตร์” จากคุณป้าผู้ล่วงลับไป ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าเวทมนตร์ของคุณป้าจะเป็นเวทมนตร์จริง ๆ แต่อยู่มาวันหนึ่ง คลีเมนไทน์ดันเจอหนุ่มหล่อพร้อมรอยยิ้มยียวนกวนใจ อีวาน โผล่มาในห้อง แต่เรื่องราวกลายเป็นว่า อีวานดันมาจาก 7 ปีที่แล้ว” นี่สิ


    จริง ๆ ปีนี้อ่านและดูอะไรไปหลายเรื่องมาก แต่ก็ไม่มีฤกษ์จะเริ่มเสียที จนจบไปอีกสองเล่มถึงตกตะกอนได้ว่า อยากจะเขียนอะไรยาว ๆ เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้สักครั้ง จะมีหรือไม่มีใครอ่านก็ช่าง แต่ขอให้ได้เขียนเป็นพอ เพราะในตอนแรกรู้สึกไม่ประทับใจ แต่พอจบเล่มดันรู้สึกประทับใจอย่างประหลาด


    อย่างแรก แน่นอนว่าหนังสือเล่มนี้ถูกเรียกว่าเป็นหนังสือรอมคอม ซึ่งเราก็เห็นด้วยนะ เพราะมันก็ให้ความสำคัญกับเส้นเรื่องความรักของพระ-นาง (คลีเมนไทน์-อีวาน) จริง ๆ แต่ในเส้นเรื่องที่ว่า มันเป็นต้นไม้ใหญ่ที่มีกิ่งก้านสาขาแตกแขนงออกมาเยอะมาก และแม้จะเป็นกิ่งที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับรอมคอมมากนัก แต่มันก็สวยงามเสียจนลิดทิ้งไปไม่ได้เลย

    ออกตัวก่อนว่า เรารู้สึกเฉย ๆ กับเคมีของคลีเมนไทน์และอีวานมาก แม้จะมีเหตุการณ์ชวนจิ้นมากมาย แต่มันก็ยังมีอาการแบบ เอ๊ะ ๆ อ๊ะ ๆ เฮ้ย มันขนาดนั้นเลยเร้อ เพราะตัวเราก็เป็นพวกตกหลุมรักจากความสบายใจ ความคุ้นชินก่อน แล้วค่อย ๆ เซตกลงไป ส่วนเรื่องนี้ในทรรศนะของเราคือ ยังไม่ทันอะไร ทั้งสองคนแม่งหล่นตุ้บละ คือเหมือนมีประกายปิ๊ง ๆ แล้วก็หน้าคะมำหลงรักกันเลย เลยแอบไม่ซื้อนิดนึง แต่มันก็คงเข้าใจได้แหละเนาะ

    นอกจากเคมีพระนางจะไม่ทับจิตทับใจเท่าไรแล้ว อีกเรื่องที่แอบตะขิดตะขวง คือความเอื่อย ความเนือยของการดำเนินเรื่องช่วงต้นถึงกลางเล่ม เราเข้าใจว่าต้องปูนู่นนั่นนี่ เป็นพรมหนา ๆ ให้นักอ่านได้ซึมซับและเข้าใจอย่างถึงแก่น แต่ก็ ว้าก ทำไมมันช้าแบบนี้ ใครที่ไม่ติดอะไรก็คงผ่านไปได้เลยฉลุย ๆ แต่ใครที่ขัดใจ อยากให้อดทนสักนิดนึง ผ่านตรงนี้ไปได้ เรารับรองว่าคุ้ม เพราะจะเจอจุดที่ประทับใจจริง ๆ

    จบสิ่งที่ไม่ค่อยถูกใจไปเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องขอเข้าเรื่องที่ทำให้อยากเขียนถึงเล่มนี้กันมั่งดีกว่า อาจจะไม่ค่อยเป็นระบบระเบียบนัก เพราะเขียนสด ๆ เลย ไม่มีการร่างเอาต์ไลน์ก่อน (ตอนเรียนติดร่างเอาต์ไลน์ตลอด) ถ้าใครนั่งอ่านจนถึงตรงนี้ ก็ขอขอบคุณมาก ๆ

    กิ่งแรก เราชอบมิตรภาพของสาว ๆ ในเล่มนี้มาก! สำหรับเรา การมีเพื่อนดี ๆ เป็นหนึ่งในเรื่องดี ๆ อย่างแท้จริงไม่กี่อย่างที่ทำให้ชีวิตหายเหนื่อยขึ้นมาได้ มันคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่เราไม่สบายใจ ไม่พร้อมเล่า แต่เพื่อนคนนั้นก็ยังอยู่ข้าง ๆ แล้วบอกว่า ไม่เป็นไร ยังไม่ต้องก็ได้ แค่จะอยู่ตรงนี้เสมอแหละ ความสัมพันธ์ของเพื่อน ๆ คลีเมนไทน์ ฟิโอน่า-ดรูว์ (สองคนนี้เป็นแฟนกันด้วยแหละ) และจูเลียต เป็นอะไรที่น่ารักมาก ทำให้เราคิดถึง และรู้สึกขอบคุณเพื่อนสนิทในชีวิตจริงแบบที่สุดเลย


    กิ่งที่สอง การบรรยายถึงคุณป้าของคลีเมนไทน์เป็นความรู้สึกที่แสนเศร้าแต่ก็อบอุ่นหัวใจ ไม่ว่าสุดท้ายจะเป็นยังไง แต่ความทรงจำก็ยังดีอยู่ ทุก ๆ อย่างที่ผ่านมาเป็นเรื่องสวยงามหมดเลย มีอยู่จุดนึงทำเอาน้ำตาไหลอยู่เหมือนกัน ใครที่เคยสูญเสียคนสำคัญหรือคนในครอบครัวไป เราว่าเล่มนี้จะคุณยิ้มได้ทั้งน้ำตา คือความเศร้ามันก็ยังอยู่นะ แต่เรื่องดี ๆ ที่เคยมีให้กันและกันมันก็ไม่ได้หายไปไหนเลย คิดว่านักเขียนบรรยายภาพเหล่านี้ออกมาได้ดีและลึกซึ้งมาก ๆ

    กิ่งที่สาม เชื่อว่าหลาย ๆ คนต่างก็โดนทุนนิยมทำพิษกันมามากมาย โดยเฉพาะการถูกขัดขวางไม่ให้ทำสิ่งที่รัก เล่มนี้ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้หรอก (เอ๊า) แต่ก็มีจุดที่เหมือนการดีดนิ้ว เป๊าะ ให้เราได้ตระหนักอยู่ว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่ตอนเนี้ย ไอ้อะไรที่กำลังไขว่คว้าอยู่ เราอยากทำจริง ๆ หรือเปล่านะ เรามีความสุขจริง ๆ หรือเปล่า ดังนั้น ใครอยากทำตามฝัน (และบ้านมีตังค์) ก็เอาเลย ส่วนเราจะพยายามทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่สังขารจะอำนวยก็แล้วกัน เพราะไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด การตัดสินใจแบบตัวละครตัวหนึ่งในตอนจบอาจจะดูเกินจริงไปนิด แต่เราก็อยากให้ทุกคนได้มีเวลาทำสิ่งที่ชอบกันนะ ไม่งั้นชีวิตเราคงเหี่ยวเฉาแย่

    กิ่งที่สี่ (เป็นกิ่งที่ไร้สาระที่สุด) เราชอบที่คลีเมนไทน์ทำงานสายเดียวกับเรา (เหตุผลไม่แวลิดมาก ๆ ) และชอบที่พ่อของคลีเมนไทน์ใจเย็นเหมือนพ่อเรา ถึงซีนจะน้อย แต่ซีนดีนะ พ่อคลีเมนไทน์เหมือนเป็นลมอ่อน ๆ ที่พัดมาช่วงเย็นเลย เรานึกถึงความรู้สึกของตัวเองตอนที่บอกเรื่องน่าลำบากใจ กังวลใจ เศร้าใจกับพ่อ พ่อเราก็จะใจเย็นแบบพ่อของนางเอกนี่แหละ อ่านแล้วสบายใจมากมาย

    มาที่กิ่งสุดท้าย กิ่งที่ห้า ไม่ได้เปิดเผยเนื้อเรื่องใด ๆ แต่ขอยกประโยคที่ชอบที่สุดในเรื่องนี้มา คือ “มันไม่ใช่เรื่องของเวลาหรอก แต่เป็นเรื่องของจังหวะ” อ่านจบแล้วตบเข่าฉาดจริง ๆ ยิ่งตอนที่ปิดเล่มแล้วยิ่งเข้าใจ มันไม่ใช่แค่เรื่องราวของคลีเมนไทน์กับอีวานอย่างเดียวนะ แต่ยังเป็นของอีกคู่ ของอีกหลายคน หรือแม้กระทั่งในชีวิตจริง เรารู้สึกว่า ถ้าไม่ใช่ช่วงนี้ เวลนี้ เราก็คงจะไม่ได้มาเจอเพื่อนดี ๆ แบบนี้ มาเจอคนรักดี ๆ แบบนี้ ถ้าเป็น 4 ปีก่อน คงจะไม่ใช่ ต้องเป็นปีที่แล้วเท่านั้น อะไรแบบนี้ เราชอบคอนเสปต์ความแบบ ทุกอย่างเป็นเรื่องของ “จังหวะ” จริง ๆ ไม่ใช่เวลา พรหมลิขิตคงมีอีกชื่อว่าจังหวะจริง ๆ นั่นละ

    รวบจบสั้น ๆ เผื่อใครยังลังเลอยู่ว่าอ่านดีมั้ย คำตอบคือ อ่านเถอะนะ! อาจจะมีจุดเอื่อย (สำหรับบางคน) แต่รวม ๆ อบอุ่นหัวใจ ยิ่งถ้าใครหลงใหลเชฟ พระเอกเรื่องนี้ตอบโจทย์สุด ๆ (แต่เตือนก่อนว่า อ่านไปอาจจะมีแอบหิวนิดนึง) เลิฟไลน์ไม่ได้ตราตรึงใจ แต่ก็เป็นน้ำหล่อเลี้ยงพอจะช่วยเติมวันแย่ ๆ ให้ดีขึ้นได้

    ที่ดียิ่งไปกว่านั้น คือองค์ประกอบอื่น ๆ ของเรื่องนี่ละที่ทำให้เราชอบนิยายเล่มนี้ The Seven Year Slip พูดเรื่องการสูญเสีย ความรัก และการเติบโตของจิตใจได้ดีมาก ๆ ในหลากหลายรูปแบบความสัมพันธ์ ภาษาไม่ได้สวิงสวายหรือเล่นคำสวยงามอะไร (อย่าง The Song of Achilles) เป็นต้น แต่เป็นความเรียบง่าย ความสบาย ๆ ต่างหากที่เอาเราอยู่หมัด

    ถ้าให้นิยามความรู้สึกของการอ่าน สำหรับเรา เล่มนี้เหมือนการเดินป่า ระหว่างทางมีทั้งดอกไม้ พืชพรรณ น้ำตก และสิ่งสวยงามให้มองไม่ขาด แต่อาจมีบางช่วงที่รู้สึกเนือย ๆ บ้าง เมื่อยจนลืมไปแล้วบ้าง ว่าเราได้พบอะไรมา แต่รับรองว่าพอถึงยอดเขา วิวสวย ๆ ทุกอย่างที่เราได้เห็นมา มันมากองรวมกันอยู่ตรงนี้หมดเลย และมันคุ้มค่ามากจริง ๆ

    I know he won't ever think of me. But, here's to my favourite boy. This prose reminds me of you — actually, everything does. I love you. 

    ☆ ☆ ☆ ☆/5

    (please please please) talk to me on twitter: @burgundyfnb or leave a comment! #BurgundyFilmsandBooks

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in