เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
It was Summer when I kissed youMs.Ambiguous
Intro
  • Close your eyes and I’ ll kiss you

    Tomorrow I’ ll miss you

    Remember I’ ll always be true

     

     

     

    ฤดูร้อน -- เด็กทุกคนชอบฤดูร้อน

     

    มันคือฤดูที่ดอกไม้บานที่สุด อากาศอบอ้าวมากที่สุด แสงแดดแรงที่สุด ทะเลสวยที่สุด ทุกความเป็นที่สุดในแง่ดีเกิดขึ้นในฤดูร้อน

     

    ผมเคยชอบฤดูร้อนมากๆ สมัยยังเป็นวัยรุ่น และเมื่อผ่านช่วงเวลาของความไร้เดียงสานั้นมาก็เริ่มเกลียดมันทีละนิดๆ อากาศเหนียวเนอะกับกลิ่นเหงื่ออบอ้าว ไอศกรีมที่ละลายเร็วเป็นเท่าตัว แค่คิดถึงแสงแดดแผดจ้าผมก็แทบไม่อยากออกไปไหน ผมเคยชอบฤดูร้อน แต่ตอนนี้ไม่ชอบแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาที่ความรู้สึกชอบมากๆ เปลี่ยนเป็นเกลียดมากๆ ความรู้สึกกลับด้านเหล่านั้นสามารถเกิดขึ้นในทุกช่วงชีวิตของคนเช่นเดียวกับตัวผม

     

    ผมไม่ชอบฤดูร้อน เพราะอุณหภูมิสูงปรี๊ดทำวันคืนของผมไม่สงบสุข

    แต่ครั้งหนึ่งผมเคยชอบฤดูร้อน -- เพราะการปรากฏตัวของใครบางคน

     

    พยากรณ์อากาศบอกว่าเข้าสู่หน้าร้อนแล้ว ซาแมนธาแม่ครัวประจำร้านเท้าสะเอวบ่นด้วยน้ำเสียงเล็กแหลมตามเคย เธอต้องทำงานในครัวตลอดทั้งวัน แค่ความร้อนจากเตาก็มากพอที่จะทำให้เธอหงุดหงิดจนพาลใส่ทุกคน ยิ่งเพิ่มความร้อนของปีนี้ที่มากกว่าปกติไปอีกหนึ่งเท่า ผมไม่อยากจินตนาการเลยว่าเธอจะเกรี้ยวกราดกว่าเดิมขนาดไหน

     

    “ชีสเบอร์เกอร์!” ซาแมนธาตะโกนจากในครัว “ใครสั่งชีสเบอร์เกอร์!”

    “ผมเอง”

     

    ผมยกมือก่อนจะส่งยิ้มให้บริกรหน้าง่วงอย่างเห็นใจ เขาคงเบื่องานนี้น่าดู งานบริการที่ต้องเดินทั้งวัน ทำความสะอาดทั้งวัน และทนรับเสียงด่าของซาแมนธาทั้งวัน สิ่งเดียวที่จะช่วยเยียวยาความซังกะตายของชีวิตคือทิปจากลูกค้าซึ่งพอเฉลี่ยกันแล้วก็นับว่าคุ้มค่าทีเดียว

     

    “เครื่องดื่มล่ะครับ?” เขาถาม

    “เบียร์เย็นๆ ซักขวดก็คงดี”

     

    ผมตอบ แล้วเริ่มทานชีสเบอร์เกอร์ของตัวเอง สิ่งหนึ่งที่ผมยังชอบในหน้าร้อนคงเป็นเบียร์เย็นๆ กับแมทช์ฟุตบอลในโทรทัศน์ บัฟฟาโลบิลส์ * (ทีมอเมริกันฟุตบอลที่มีสโมสรอยู่ในนิวยอร์ก) ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ผมส่งเสียงเชียร์อย่างเอาเป็นเอาตายไปกับเหล่าผู้ชายเถื่อนในร้าน และเมื่อทีมได้รับชัยชนะ ผมก็สั่งเบียร์อีกขวดมาดื่มฉลอง

     

    “ถ้าเมาแล้วขับผมจับคุณเข้าคุกได้เลยนะ”

     

    ชายหนุ่มร่างอ้วนคนหนึ่งทักขึ้น เขาตบไหล่ผมเบาๆ ก่อนจะสั่งแซนด์วิชไก่อบมาทาน ผมหัวเราะก่อนจะตอบไปว่า “เดินมา” ปีเตอร์ในเครื่องแบบตำรวจจึงเริ่มยิ้มแฉ่ง เขาถามถึงผลการแข่งขันฟุตบอลที่เพิ่งจบแล้วบ่นเรื่องลูกชายสันดานเสียให้ฟัง

     

    “เด็กสมัยนี้หัวดื้อ ไม่เชื่อฟังพ่อแม่” เขาขมวดคิ้วเมื่อเล่าเรื่องเดิมๆ ที่กำลังเป็นปัญหาหนักใจ “น่าเสียดายที่ค่ายปิดไปแล้ว ไม่งั้นผมคงส่งลูกไปดัดสันดานกับคุณ”

    “คิดถึงค่ายเหรอปีเตอร์?”

    “แน่นอน ค่ายนั่นทำให้ผมได้เพื่อนเยอะเลย” ปีเตอร์ถอนหายใจ เขาหยิบยาเส้นขึ้นมาหนึ่งมวนก่อนจะแบ่งให้ผม แล้วเราก็ผลัดกันพ่นควันเพื่อเป็นการระลึกถึงวันเก่าๆ

    “ผมรู้ว่าผมพูดเป็นครั้งที่ล้าน แต่คุณคือพี่เลี้ยงค่ายที่เจ๋งจริงๆ”

    “และฉันก็ตอบรับคำชมนี้เป็นครั้งที่ล้าน ขอบใจมาก”

    “ในขณะที่พี่เลี้ยงคนอื่นแอบแหกกฎของคุณพ่อ คงมีแค่คุณเท่านั้นที่ทำตามอย่างเคร่งครัด”

     

    ปีเตอร์กล่าวอย่างชื่นชม ผมได้แต่หัวเราะในลำคอ ผมเนี่ยนะ? ผมน่ะเหรอปฏิบัติตามกฎในค่ายนรกนั่นโดยไม่บิดพริ้ว? ผิดแล้ว ผมไม่ใช่คนดีอย่างที่เด็กพวกนั้นคิดหรอก คุณมันปิศาจตัวจริง! -- เด็กคนหนึ่งที่เคยดูแลได้กล่าวไว้

     

    “พวกเราได้ดิบได้ดีก็เพราะค่ายของคุณพ่อเลยนะ บางทีผมก็คิดถึงที่นั่น คิดถึงตอนที่นอนในโรงนาแล้วต้องตื่นกลางดึกเพราะหลังคารั่ว”

    “ซึ่งวันถัดมาฉันต้องปีนขึ้นไปซ่อม”

    “ใช่ บางเวลาผมก็คิดถึงชีวิตที่นั่นเป็นบ้า” ปีเตอร์พ่นควันอีกครั้ง “ค่ายคุณแม่โลลา พูดทีไรอยากหัวเราะทุกที”

    “นั่นสิ ค่ายที่ใช้ชื่อว่า คุณแม่ แต่กลับไม่มีผู้หญิงอยู่ในค่ายเลยนอกจากมาดามแมรี่”

     

    ผมยิ้ม เรานั่งสูบบุหรี่จนหมดมวน ดูพยากรณ์อากาศช่วงเที่ยงที่บอกว่าหลังจากนี้จะร้อนขึ้นทุกวันๆ และขอให้ประชาชนเฝ้าระวังภาวะฮีทสโตรก ผมจัดการมื้อเที่ยงในจานจนเกลี้ยงรวมถึงเบียร์สองขวด เมื่อหมดเวลาพักสำหรับคุณตำรวจ เขาก็ลุกขึ้นยืน เสนอจ่ายค่าอาหารให้เพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยดูแลเด็กชายปีเตอร์ แอนเดอร์สันวัยสิบขวบในฤดูร้อนนั้น

     

    “หวังว่าจะได้เลี้ยงคุณบ่อยๆ นะคริส”

    “เดี๋ยวฉันจะโผล่มาให้นายจ่ายเงินทุกวันเลย”

     

    เราบอกลากันตรงมุมถนน ปีเตอร์กลับไปทำงาน ส่วนผมก็เดินกลับห้องพักของตัวเอง ถือว่าฤดูร้อนปีนี้ยังใจดีอยู่บ้าง แดดไม่แรงจนแสบตา และอุณหภูมิไม่สูงจนเสื้อเปียกโชกเหมือนปีก่อนๆ ผมเดินเตร่ตามท้องถนนอย่างไม่รีบเร่ง วันนี้เป็นวันพักผ่อน ส่วนพรุ่งนี้ผมต้องกลับไปทำหน้าที่ขายซีดีเพลงที่ร้านของตาแก่ครอฟท์แล้ว

     

    ผมเกลียดเจ้าของร้าน ผมเบื่อที่จะต้องทำความสะอาด รับลูกค้า ทำงานเคาน์เตอร์ เช็กสต็อก และสารพัดเท่าที่ครอฟท์จะมอบหมาย (หรือควรใช้คำว่าโยน) หน้าที่ให้ มันก็เหมือนกับชีวิตของบริกรหนุ่มในร้านอาหาร เราเกลียดงานที่ทำชิบหาย แต่มันมักจะมีสิ่งเล็กๆ หล่อเลี้ยงจิตใจไม่ให้ยอมแพ้เสมอ สำหรับเขาคือทิป ส่วนผมคือการได้ฟังเพลงฟรีตลอดทั้งวัน แถมยังได้ตลับเพลงเก่าๆ ที่ขายไม่ออกกลับมาฟังที่อพาร์ทเม้นต์ด้วย

     

    ระหว่างทางเดินกลับห้องรูหนู ผมเจอตลาดนัดเล็กๆ ที่จัดขึ้นในสวน ผมเห็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเปิดหมวกเล่นเชลโลขอค่าเทอมตรงทางเข้าพอดี จึงให้เงินเธอเล็กน้อยแล้วเดินผ่านไปดูของจิปาถะ มีงานแฮนด์เมด เสื้อผ้ามือสอง เครื่องครัวมือสอง ของเล่นมือสอง ของตกแต่งมือสอง ใดๆ ที่วางขายในงานนี้ล้วนผ่านการมีเจ้าของมาแล้วทั้งสิ้น

     

    ผมหยุดยืนตรงร้านขายของประดับกุ๊กกิ๊ก ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบรูปเด็กผู้ชายกำลังเล่นเชลโลกำลังทำให้ผมคิดถึงใครบางคนในค่ายคุณแม่โลลา

     

    “หนึ่งเหรียญเก้าสิบเก้าเซนต์จ้ะ”

     

    หญิงชรายิ้มอวดฟันหลอ ผมพยักหน้ารับแกนๆ แล้วเดินไปร้านอื่นแต่สุดท้ายก็วกกลับมาอุดหนุนตุ๊กตาเด็กชายนั่นจนได้

     

    “ขอพระเจ้าอวยพรนะจ๊ะ”

    “เช่นกันครับ”

     

    ผมตอบ ก่อนจะถือถุงตุ๊กตากลับห้องพักโดยไม่หยุดคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน

     

     

     

     

    ผมวางเจ้าตุ๊กตาไว้บนโต๊ะข้างเตียงแล้วจ้องใบหน้าขาวนวลของเด็กชาย แก้มเป็นสีแดงเรื่อแสดงถึงความเยาว์วัย ดวงตาหลับพริ้มในท่ากำลังสีเชลโลด้วยความเพลิดเพลิน

     

    เหมือนเขามาก

     

    ผมหยิบมันขึ้นมาดู ทั้งเส้นผม ดวงตา ริมฝีปาก ทุกอย่างไม่ต่างจากเด็กชายในความทรงจำเลือนลาง ผมจับตุ๊กตาหมุนไปมาสองสามทีแล้ววางที่เดิม พยายามหาอย่างอื่นทำเพื่อกลบความคิดฟุ้งซ่าน เพราะตุ๊กตานั่นเหมือนเขาจนหาที่ติไม่ได้เลย

     

     

     

     

    ปกติผมเช็กกล่องพัสดุเป็นประจำทุกเช้า ช่วงต้นเดือนจะมีบิลค่าน้ำค่าไฟและค่าโทรศัพท์เสียบอยู่ แต่วันนี้มีบางอย่างที่ต่างออกไป

     

    ซองจดหมายสีขาว

    เขียนด้วยหมึกสีดำและลายมือเป็นเอกลักษณ์อันคุ้นเคย

     

    ผมอมยิ้มเมื่อรู้ว่าเขาส่งมันมาอีกแล้ว ส่งมาทุกเดือน ถึงเราจะมีเทคโนโลยีที่ถ่ายทอดความคิดถึงได้ง่ายดายอย่างโทรศัพท์ แต่เด็กคนนี้กลับชอบใช้น้ำหมึกแสดงออกแทนเสียงเสมอ

     

    ถึงคริส

    ผมคิดถึงคุณ ผมมีของมาฝากคุณ หวังว่าคุณจะชอบและให้เกียรติติดมันเอาไว้บนผนังห้องนะ

     

    ผมเลิกคิ้วเมื่อเห็นรูปถ่ายแนบมาในซองจดหมาย เป็นรูปของเด็กวัยรุ่นชายคนหนึ่งที่ดูขบถต่อโลกใบนี้เอามากๆ เขาสวมแว่นกันแดดและเปลือนท่อนบน มีเพียงกางเกงยีนส์ซีดๆ เท่านั้นที่ปิดบังร่างกายผอมแห้งของตนเองเอาไว้

     

    ผมกลับห้องและรีบทำตามคำขอด้วยการหยิบเทปกาวออกมาจากลิ้นชัก ผมให้เกียรติรูปภาพอันงดงามนั้นติดบนผนังข้างเตียง นี่ไม่ใช่รูปแรกที่ถูกนำมาประดับในห้อง แต่ทุกรูปที่เขาส่งมาจะถูกแปะไว้โดยที่เด็กขวางโลกนั่นไม่ต้องร้องขอเลยซักคำ

     

    “ฉันก็คิดถึงนาย”

     

    ผมพึมพำขณะกวาดตามองเด็กหนุ่มในหลายๆ อิริยาบถ ถ้าห้องแคบๆ นี่คือแกลลอรีส่วนตัวที่แสดงความภาคภูมิใจของผม มันคงมีไว้เพื่อจัดแสดงภาพถ่ายของเขาเท่านั้น

     

     

     

     

    ผมเขียนจดหมายกลับไปหาเขา เขียนตำหนิเรื่องรูปถ่ายเปลือยท่อนบนอย่างไม่จริงจังนัก แต่เขาไม่ตอบราวกับจะลงโทษผมที่จุ้นจ้านกับเรือนร่างของเขามากเกินไป

     

    สองสัปดาห์ที่เฝ้ารอจดหมายในตู้ไปรษณีย์ หัวใจของผมแห้งเหี่ยวยิ่งกว่าอะไร เด็กนั่นมีอิทธิพลเกินไปจนบางครั้งผมทนไม่ไหว อาจเพราะตัวอักษรไม่สามารถแทนความคิดถึงทั้งหมดที่เกิดขึ้นมาตลอดหลายปี ตอนนี้ผมก็เลยกระสับกระส่ายเหมือนชายหนุ่มที่กำลังจะโดนบอกเลิก ผมไม่สบายใจ ไม่มีความสุข และพะว้าพะวงถึงจดหมายจากเขาทุกวัน

     

    “คริส บอกให้บิลลี่จัดของด้วยล่ะ”

    “ครับ”

     

    ผมเรียกบิลลี่ เพื่อนร่วมงานที่เป็นออทิสติกทันทีเมื่อครอฟท์เดินกลับเข้าไปหลังร้าน บิลลี่ที่กำลังง่วนอยู่กับการเช็ดกระจกรีบเดินมาอย่างกระตือรือร้น เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี ถึงจะพูดช้าเนิบนาบและใช้ศัพท์เด็กอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วความซื่อของเขาดีกว่าใครหลายๆ คนที่เคยร่วมงานด้วย

     

    “วันนี้มีเพลงใหม่เข้ามาเยอะ หน้าที่ของนายคือจัดเรียงพวกมันตามลำดับในกระดาษใบนี้” ผมบอกก่อนจะส่งชาร์ตเพลงท็อปฮิตให้ “ชะตากรรมของร้านขึ้นอยู่กับนายแล้วเพื่อน แสดงให้พวกเขาเห็นเลยว่านายเจ๋งแค่ไหน!”

     

    ผมตบไหล่ให้กำลังใจและปล่อยให้บิลลี่หมกมุ่นกับการวางกล่องพลาสติกแบนๆ ที่แสนบอบบางอยู่คนเดียว วันนี้ลูกค้าไม่มากเท่าไหร่ ผมก็เลยมีเวลาทำความสะอาดและรื้อเพลงเก่าๆ เตรียมโล๊ะขายในราคาไม่แพง อากาศในร้านทำให้เราสองคนร้อนจนเหงื่อท่วม แต่ถึงให้อุณหภูมิสูงจนเป็นฮีทสโตรก เราก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดแอร์จนกว่าจะเที่ยง

     

    “นี่คือมาตรการรัดเข็มขัด นายก็รู้ว่าวงการเพลงกำลังจะเจ๊ง อีกหน่อยซีดีคงขายไม่ได้เพราะเพลงเถื่อน พับผ่าเถอะ!”

     

    ครอฟท์เคยว่าไว้ เราจะเปิดแอร์ได้ก็ต่อเมื่อถึงเวลาพักเที่ยงซึ่งเหลืออีกประมาณสามสิบนาที ดังนั้นผมจึงไม่รีบร้อนที่จะเคลียร์โซนเพลงเก่าเพราะอยากประวิงเวลาไว้ทำงานในห้องที่เย็นกว่านี้ ผมรื้อนั่นจัดนี่ไปพร้อมกับบิลลี่จนกระทั่งลูกค้าคนที่หกเข้ามาในร้าน

     

    “หวัดดีฮะ! สนใจเพลงไหนถามได้นะ!”

     

    บิลลี่ตะโกนอย่างแข็งขัน เขายังคงมุ่งมานะเรียงแผ่นซีดีด้วยความประณีตยิ่งกว่าการแต่งหน้าเค้ก ผมปรายตามองลูกค้าที่เข้ามาในร้านแล้วยิ้มให้ เขายิ้มตอบก่อนจะมาหยุดอยู่แถวโซนที่ผมกำลังรื้อของ

     

    “สนใจศิลปินคนไหนหรือเปล่าครับ?”

     

    ผมปัดมือแล้วลุกขึ้นยืน วัยรุ่นคนนั้นยิ้มกว้างด้วยความดีใจก่อนจะถามหา เดอะ บีเทิลส์

     

    “ที่นี่มีบ็อกเซ็ทรวมทุกอัลบั้มด้วยนะครับ” ผมตอบแล้วเอี้ยวตัวไปข้างหลังเพื่อหากล่องกระดาษสีดำที่มีตัวอักษรสีทองปั๊มนูนว่า เดอะ บีเทิลส์ แต่เขาปฏิเสธ

    “ผมไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ถึงขนาดซื้อยกกล่องหรอกครับ แค่อยากลองฟัง”

    “งั้นสนใจรวมฮิตไหมครับ?” คราวนี้ผมหยิบซีดีปกสีแดงของเดอะ บีเทิลส์ขึ้นมา “รวมเพลงฮิตที่เคยติดชาร์ตอันดับหนึ่งในอังกฤษและอเมริกา”

    เขาอ่านปกหลังอยู่เกือบสิบวินาทีแล้วส่ายหน้า “มันไม่มีเพลงที่ผมชอบ”

    “คุณชอบเพลงไหนเหรอ?”

    All my Loving” เขาตอบ ผมชะงักนิดหน่อยเมื่อได้ยินชื่อเพลง

    “ถ้าเป็นเพลงนั้นต้องซื้ออัลบั้มนี้ครับ” ผมรื้อหาซีดีที่หน้าปกเป็นรูปถ่ายขาวดำของสมาชิกในวง “With The Beatles ในนี้มีสองแผ่น รวมถึงเพลงที่คุณกำลังตามหาด้วย”

    “ผมเอาแผ่นนี้”

    “โอเคครับ คุณมาได้จังหวะมาก เรากำลังจัดโปรลดราคาซีดีกองนี้อยู่พอดี”

     

    ผมเดินนำไปที่เคานท์เตอร์ สแกนบาร์โค้ด ทอนเงิน และหยิบ With The Beatles ใส่ถุงสีแดงซึ่งเป็นสีประจำร้านก่อนจะอวยพรตามที่ครอฟท์บรีฟไว้

     

    “ขอบคุณที่แวะมานะครับ ขอให้เป็นวันที่ดี”

    “คุณคือคริสใช่ไหม?”

    “ใช่ครับ” ผมตอบก่อนจะชี้นิ้วไปที่เข็มกลัดชื่อพนักงานบนหน้าอกข้างซ้าย “มีอะไรหรือเปล่า?”

    “จริงๆ ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อตามหาเดอะ บีเทิลส์หรอก แต่มีคนจ้างให้ผมมา” เขาล้วงหยิบจดหมายสีขาวออกจากกระเป๋ากางเกง “เขาสั่งให้ผมซื้ออัลบั้มที่มีเพลงนี้ แล้วก็ส่งจดหมายนี่ให้คุณด้วย”

    “อย่างนั้นเหรอครับ?” ผมเลิกคิ้วประหลาดใจเมื่อคนส่งจดหมายกลับไม่ใช่บุรุษไปรษณีย์เหมือนอย่างเคย “คุณต้องเอาของไปให้เขาด้วยใช่ไหม?”

    “ครับ”

     

    ผมขอเวลาซักครู่เพื่อเขียนโน้ตฝากไปกับซีดี เขารับมันใส่ถุงโดยไม่เปิดอ่านก่อนจะเดินออกจากร้านไปพร้อมอัลบั้มของเดอะ บีเทิลส์ ผมหยิบจดหมายมาถือ มันหนากว่าปกติหลายเท่า ความสงสัยทำให้ผมค่อยๆ บรรจงแกะซองก่อนจะหลุดยิ้มเมื่อเห็นธนบัตรหนึ่งร้อยดอลลาร์ประมาณสิบใบวางซ้อนอยู่ในนั้นและพ่วงด้วยกระดาษยับๆ อีกหนึ่งแผ่น

     

    ถึงคริส

    ผมอาจจะผอมเกินไปในสายตาคนแก่แบบคุณ แต่ในวงการนายแบบ หุ่นของผมถือว่าดูดี

     

    ตัวอักษรไม่มีเสียงก็จริง แต่การเลือกใช้คำก็ช่วยให้พอเดาอารมณ์เจ้าของจดหมายได้ ผมหัวเราะขำเมื่ออ่านข้อความเชิงตำหนิที่น่ารักน่าเอ็นดูจนจบ พับกระดาษกับลายมือหวัดๆ ใส่ลงในกระเป๋าเสื้อแล้วกลับไปตั้งใจทำงาน

     

    “เด็กบ๊อง”

     

    ผมเก็บเงินทั้งหมดเข้ากระเป๋าสตางค์ก่อนจะเปิด All my loving เพื่อเป็นการระลึกถึงความทรงจำในหน้าร้อนอีกครั้ง

     

     

    TBC

     

    ----------------------------


    #summerkissky

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in