คุณเคยมีคนที่พานพบเพียงหนึ่งครั้งตราตรึงในความทรงจำตลอดไปไหม
เธอนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว ไม่ว่าจะลองใช้เสียงดนตรีกล่อมคลอไปในยามดึกฟังเสียงดนตรีผ่อนคลาย นอนจินตนาการถึงแกะที่วิ่งผ่านไปมาทีละตัวๆแต่เธอก็ยังนอนไม่หลับ...
ทั้งหมดนี้เริ่มมาจากคืนนั้นที่เธอตัดสินใจไปนั่งจิบโกโก้ร้อนในร้านกาแฟที่เปิดตลอดทั้งคืนผู้คนในร้านบางตา ภายในร้านมีโต๊ะไม้อยู่ห้าหกโต๊ะเธอชอบบรรยากาศยามค่ำคืนอันเงียบสงบที่หาได้ยากยิ่งในปัจจุบันนี้ แต่พบเจอได้ที่ภายในร้านแห่งนี้แต่ร้านนั่นก็ยังไม่ใช่สาเหตุที่เธอนอนไม่หลับ
คืนนั้นเธอนั่งอยู่ที่โต๊ะริมกระจกซึ่งบังเอิญหันหน้าเข้าหาลูกค้าอีกคนในร้านพอดีเธอจำได้แม่นว่าเขาคนนั้นสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนและพับแขนเสื้อขึ้นมาจนถึงศอกบนโต๊ะของเขามีเพียงชาสีอ่อนแก้วเดียวที่คงจะเย็นชืดไปพักใหญ่แล้ว ในมือของเขามีหนังสือภาษาอังกฤษเล่มหนาที่เธอไม่เคยนึกสนใจจะอ่านอยู่นัยน์ตาสีรัตติกาลคู่นั้นจับจ้องไปที่หนังสืออย่างเป็นประกายจนเธออดไม่ได้ที่จะต้องแอบดูหน้าปกว่าหนังสือที่เขาอ่านนั้นเป็นเรื่องอะไรกันนะคนอ่านถึงได้ตั้งใจอ่านปานนั้น
แต่แล้วสมาธิของเธอก็เป็นอันแตกกระจายเมื่อเจ้าของหนังสือเล่มนั้นกลับเงยหน้าขึ้นมาสบตาเธอพอดิบพอดีเธอจำได้แม่นเชียวว่าเขามีลักยิ้มที่แก้มซ้ายเพราะเขาส่งยิ้มให้เธอน้อยๆเมื่อจับได้ว่ามีผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งแอบมองอยู่ทำเอาเธอแทบอยากจะมุดดินหายไปเสียเดี๋ยวนั้น เขาปิดหนังสือก่อนจะหันด้านที่เป็นหน้าปกให้เธอเห็นชื่อเรื่องชัดๆแล้วเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม
เธอส่งยิ้มแห้งๆ ให้เขาก่อนจะรีบก้มหน้าดื่มโกโก้ร้อนแก้วนั้นให้หมดเสียเร็วๆด้วยความเขินอายแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงแอบมองเขาอยู่เป็นระยะชายแปลกหน้าตรงข้ามหันกลับไปใส่ใจกับหนังสือของตัวเองต่อโดยไม่ได้มองมาทางเธออีก เพื่อกลบเกลื่อนความเห่อร้อนที่ใบหน้าเธอจึงหยิบสมุดวาดภาพออกมาจากกระเป๋าก่อนจะใช้ดินสอไม้ร่างภาพหยาบๆลงบนสมุดเล่มนั้น เธอค่อยๆ ร่างภาพสิ่งแวดล้อมภายในร้านกาแฟเล็กๆ แห่งนี้ลงไปช้าๆค่อยๆ ไล่เก็บรายละเอียดภาพ ไม่ว่าจะเป็นเคาน์เตอร์คิดเงินที่อยู่มุมร้านหน้าต่างบานเล็กที่มีหยดน้ำฝนเกาะพราว แจกันดอกไม้บนโต๊ะภาพเขียนผนังของร้านและ...โต๊ะตรงข้ามเธอ
เธอรู้สึกกระดากอายขึ้นมาหน่อยๆเมื่อจรดดินสอลงบนกระดาษตั้งใจจะวาดโครงร่างของผู้ชายแปลกหน้าที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขายังคงจดจ่ออยู่กับหนังสือและไม่ได้สนใจเธอแต่อย่างใด เธอค่อยๆใช้ดินสอร่างภาพของชายเบื้องหน้าไว้คร่าวๆก่อนจะรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เธอวางดินสอลงก่อนจะพ่นลมหายใจเบาๆแล้วหันไปยกแก้วโกโก้ขึ้นดื่มทว่าภายในแก้วกลับว่างเปล่าเธอส่ายหัวเล็กน้อยแล้วลุกเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อสั่งโกโก้ร้อนเป็นแก้วที่สอง
กลิ่นโกโก้ร้อนๆ ทำให้จิตใจเธอพอจะสงบขึ้นมาได้บ้างแต่แล้วภาพที่เห็นเบื้องหน้าก็ทำเอาใจเธอแทบจะกระดอนออกจากอกแล้วลอยไปนอกร้านเลยทีเดียวเมื่อเดินกลับมาที่โต๊ะของตัวเองแล้วพบว่ามีร่างสูงของชายแปลกหน้าที่นั่งตรงข้ามกำลังยืนถือแก้วชาและสะพายกระเป๋าเป้อยู่บนบ่าเพ่งมองไปที่รูปสเก๊ตช์ของเธอ
เขาเงยหน้าขึ้นสบตาเธอก่อนจะเอียงคอน้อยๆ ด้วยความเขินหน่อยๆ “วาดรูปสวยดีนะครับ”
ใบหน้าของเธอเห่อร้อนขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้และไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดออกไปได้
เขาระบายยิ้มที่ทำให้เห็นลักยิ้มน่ารักที่แก้มซ้ายก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า“อยากเห็นตอนวาดเสร็จเหมือนกันนะครับ”
แต่เธอก็ยังยืนนิ่งเฉยเหมือนสมองไม่สั่งการเสียแล้ว เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะโบกมือให้เธอแล้วเดินผ่านเธอออกจากร้านไป
เสียงกระดิ่งที่แขวนไว้ที่ประตูร้านค่อยทำให้เธอได้สติขึ้นมาเธอหันขวับมองตามร่างสูงของเขาที่ก้าวออกจากร้านไปก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดเรี่ยวหมดแรง
และนี่เองก็คงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอนอนไม่หลับติดกันมานับแต่นั้น
เธอกลับไปที่ร้านกาแฟแห่งนั้นอีกหลายครั้งเพื่อหวังเพียงได้พบเจอเจ้าของลักยิ้มน่ารักคนนั้นอีกสักครั้งแต่นอกจากโกโก้ร้อนที่ยังคงมีรสชาติเหมือนเดิมแล้วเธอก็ไม่ได้พบกับเขาอีก เช่นเดียวกับสายฝนที่ไม่เคยตกลงมาอีกเลยนับแต่วันนั้น
เธอนั่งอยู่ในร้านกาแฟร้านเดิม โต๊ะเดิม มุมเดิมฟังเสียงดนตรียุคแปดศูนย์กล่อมคลอมาเป็นคืนที่...เท่าไหร่ก็ไม่รู้รู้แค่ว่าเธอมาบ่อยจนแทบจะไม่ต้องบอกเมนูกับพนักงานแล้ว คืนนี้ฝนไม่ตกฤดูฝนผ่านพ้นไปแล้ว เหมือนกับความทรงจำรางเลือนที่พัดผ่านไปเธอเริ่มจะจำใบหน้าของชายแปลกหน้าในคืนนั้นไม่ได้แล้วแต่ลักยิ้มและนัยน์ตาสีดำสนิทยังคงแจ่มชัดในความทรงจำอยู่
เธอเปิดหน้าสมุดวาดภาพก่อนจะพินิจมองผลงานศิลปะของตัวเองที่ใกล้สมบูรณ์เรียบร้อยจากภาพร่างร้านกาแฟในคืนนั้น ในตอนนี้มีสีสันแต่งแต้มดูงดงามคงจะมีเพียงแค่รูปของผู้ชายที่นั่งโต๊ะตรงข้ามกับเธอเท่านั้นที่ยังคงเป็นแค่โครงร่างดินสอไร้ซึ่งรายละเอียดแต่งแต้มใดๆ
เธอจ้องมองไปยังโต๊ะฝั่งตรงข้ามที่ว่างเปล่าพลันภาพความทรงจำในค่ำคืนนั้นก็หวนกลับมาคิดไปแล้วก็ทำเอาจิตใจหดหู่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เธอยกแก้วโกโก้ขึ้นจิบก่อนจะพบว่ามันว่างเปล่าเสียแล้วเธอลุกเดินไปเคาน์เตอร์ตั้งใจจะสั่งโกโก้ร้อนเพิ่มอีกสักแก้วเพื่อยืดระยะเวลานั่งแช่อยู่ในร้านให้นานขึ้นอีกสักหน่อยฉับพลันก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โชยมาจากแก้วชาของลูกค้าสาวคนหนึ่งที่เดินผ่านเธอไปกลิ่นนั้นทำให้เธอนึกถึงชายแปลกหน้าในคืนวันนั้นขึ้นมาใช่...วันนั้นเขาก็ดื่มชาที่มีกลิ่นแบบนี้...
เธอยืนใจลอยอยู่หน้าเคาน์เตอร์อยู่นานจนพนักงานตรงหน้าต้องเรียกเธอซ้ำถึงสามครั้งจึงค่อยได้สติเธอรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่พนักงานสาวตรงหน้าเป็นพนักงานที่เธอไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลยพนักงานสาวมีนัยน์ตาสีฟ้าใสเหมือนชาวตะวันตกจนเธออดชื่นชมความสวยอยู่ในใจไม่ได้เธอค่อยเรียบเรียงสติก่อนจะสั่งชื่อชาที่คิดว่าน่าจะใช่ชาที่ชายหนุ่มแปลกหน้าผู้มีลักยิ้มอันตรายในคืนนั้นสั่ง
กลิ่นชาหอมกรุ่นที่พนักงานสาวส่งให้ทำให้หัวใจเธอเต้นแรงเหมือนในคืนนั้นชากุหลาบสีแดงอิฐในมือทำให้เธอระบายยิ้มออกมาน้อยๆ ขณะที่ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้และมองไปรอบๆตัวก่อนจะพบว่านอกจากเธอแล้วภายในร้านก็ไม่มีลูกค้าคนอื่นอีกโต๊ะฝั่งตรงข้ามของเธอก็ยังคงว่างเหมือนเช่นเคย
เธอยกแก้วชาขึ้นสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆของชาให้สมองผ่อนคลายความตึงเครียดฉับพลันเสียงดนตรียุคแปดศูนย์ภายในร้านก็เงียบลงเธอรู้สึกถึงความหนาวยะเยือกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุไฟสีนวลตาภายในร้านดูหม่นแสงลงกว่าเดิมนิดหน่อย แทบไม่แตกต่าง แต่เธอสัมผัสได้เธอหันไปมองพนักงานที่เคาน์เตอร์ก่อนจะพบว่าไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้นเสียแล้ว บรรยากาศในร้านเงียบสนิทมีเพียงเสียงลมหายใจของเธอและเสียงคล้ายสายฝนอยู่ไกลๆแต่เมื่อหันมองที่หน้าต่างก็พบว่าปราศจากเม็ดฝนใดๆ
เธอรู้สึกฉงนใจขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้นึกใส่ใจอะไรนักเครื่องเล่นเพลงอาจมีปัญหา และเสียงฝนอาจเป็นเสียงน้ำไหลธรรมดาๆเธอยกแก้วชาจรดริมฝีปากก่อนจะค่อยๆ ปล่อยให้ชาอุ่นๆ ไหลผ่านลำคอไปช้าๆกลิ่นหอมของกุหลาบและรสชาติของชาทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยไปในที่แสนไกล...เสียงสายฝนที่ตกกระทบกันพื้นดินและขอบหน้าต่างดังชัดขึ้นเรื่อยๆเธอรู้สึกราวกับว่าแสงสว่างในร้านดับวูบไปชั่วครู่ แต่เพียงแค่พริบตาเดียวก็กลับมาเป็นปกติดังเดิมเธอได้กลิ่นโกโก้ร้อนและกลิ่นชากุหลาบลอยปะปนอยู่ในอากาศ
เธอก้มลงมองสมุดวาดภาพของตัวเองบนโต๊ะที่ดูจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่น่าเชื่อภาพที่ควรจะวาดเสร็จไปเกือบหมดแล้ว บัดนี้กลับมีเพียงภาพโครงร่างดินสอคร่าวๆเท่านั้น
ในขณะที่เธอกำลังสับสนกับสถานการณ์เบื้องหน้าอยู่เสียงกระดิ่งแขวนประตูร้านก็ดังขึ้น เธอเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงก่อนจะเห็นแผ่นหลังกว้างของใครบางคนในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าที่พับแขนเสื้อขึ้นมาถึงศอกเส้นผมสีน้ำตาลเข้มตัดสั้นพลิ้วไหวไปตามแรงลม เธอไม่เห็นหน้าของเขาแต่หัวใจกลับสั่นไหวอย่างรุนแรงประตูร้านที่เปิดออกทำให้เธอได้ยินเสียงสายฝนที่ดังชัดเจนเสียงฟ้าร้องคำรามดังขึ้นเป็นระยะเธอยังนั่งอยู่ที่เดิมแต่สายตากลับจับจ้องไปที่ร่างสูงนั้นอย่างไม่ละสายตา
ในชั่วขณะที่ร่างสูงนั้นสะบัดปลายร่มพลาสติกใสให้กางออกเธอก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้แล้วก้าวเร็วๆตามเขาออกไปด้านนอกร้านที่มีสายฝนโปรยปรายลงมาไม่ขาดสายในทันทีเธอไม่มีร่มติดตัวมาและก็ไม่ได้คิดว่ามันสำคัญเท่าไหร่นักเพราะหัวใจของเธอก้าวนำหน้าตัวเองไปหาร่างสูงนั้นแล้ว
ร่างสูงนั้นเดินกางร่มไปท่ามกลางสายฝนเธอพยายามก้าวเท้ายาวๆ ให้ทันเขาทว่าเสียงคำรามของท้องฟ้าก็ทำให้เธอหลุดกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจเสียงร้องของเธอทำให้ร่างสูงที่เดินอยู่ข้างหน้าหยุดชะงักลงทำให้เธอเองก็ชะงักไปด้วยเช่นกันเขาคนนั้นค่อยๆ หันหน้ากลับมาหาเธอมุมปากของเขายกสูงขึ้นเล็กน้อยทำให้เห็นลักยิ้มที่แก้มซ้ายที่ทำเอาใจเต้นไม่เป็นส่ำร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าเดินตรงเข้ามาหาเธอที่ยังคงยืนนิ่งจ้องมองใบหน้าของเขาเหมือนคนไม่รู้ความ
ร่มพลาสติกใสนั้นถูกยื่นเข้ามาบังศีรษะของเธอไม่ให้ต้องโดนสายฝนไปมากกว่านี้เธอเงยหน้าขึ้นสบตาชายเบื้องหน้าก่อนจะรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งกาย เขาขยับเข้ามาใกล้เธอเพื่อให้สามารถยืนอยู่ภายใต้ร่มคันเดียวกันได้ก่อนจะเอ่ยขึ้น“กำลังจะไปทางไหนเหรอครับ เดี๋ยวผมกางร่มไปส่ง”
เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่าในมืออีกข้างของเขามีแก้วชาสีอ่อนอยู่ซึ่งทำให้เธออดสงสัยไม่ได้ว่าเขาไปซื้อมาตอนไหนกันในเมื่อเธอนั่งอยู่ในร้านตลอดเวลาและก็ไม่ได้เห็นตอนที่เขาเข้ามาสั่งเครื่องดื่มในร้านเลย
เธอลอบสังเกตคนข้างกายด้วยความฉงนในขณะที่ยืนอยู่ใต้ร่มคันเดียวกันจะว่าไปแล้วเขาก็ใส่ชุดเดิมเหมือนคืนนั้นเลยด้วยกระเป๋าเป้ที่สะพายก็เหมือนคืนนั้น ชาในมือเขานั่นก็เหมือนกับคืนนั้นไม่มีผิด หรือว่าเขาจะเป็นพวกชอบทำอะไรตามแบบแผนเดิมๆกันนะ
“คุณเป็นศิลปินเหรอครับ” จู่ๆเสียงทุ้มจากคนที่กำลังเดินอยู่ข้างๆ ก็ดังขึ้น
เธอหันไปมองหน้าเขาด้วยความสนเท่ห์ “คะ?”
“ผมเห็นรูปวาดของคุณที่โต๊ะน่ะขอโทษที่เสียมารยาทแอบดูผลงานของคุณนะครับ แต่ผมแค่คิดว่าคุณวาดภาพสวยดีก็เท่านั้น”
คำพูดของเขายิ่งทำให้เธองุนงงแต่ในขณะเดียวกันก็อดใจเต้นแรงไม่ได้“คุณ...จำฉันได้ด้วยเหรอคะ”
ทว่าปฏิกิริยาจากคนข้างกายกลับไม่ใช่สิ่งที่เธอคาดไว้เลยแม้แต่น้อยเขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “ผมไม่ได้ความจำสั้นขนาดจะจำคนที่เพิ่งเจอกันในร้านเมื่อสิบห้านาทีก่อนไม่ได้หรอกนะคุณ”
สิบห้านาที? เขาหมายความว่าอย่างไรกัน เธอนิ่งงันไปด้วยความงุนงงการพบกันครั้งสุดท้ายของเธอและเขาคืออย่างน้อยก็เมื่อปลายฤดูฝนที่แล้วนับดูก็ย่างเข้าสองเดือนเข้าไปแล้ว ระยะเวลาสองเดือนย่อมไม่ใช่สิบห้านาทีอย่างแน่นอน
“ฝนตกหนักแบบนี้รีบหาที่หลบดีกว่านะครับเห็นเค้าว่าวันนี้พายุเข้าด้วย เดือนพฤษภาคมก็แบบนี้ทุกทีสิน่า”
คำพูดของเขาทำให้เลือดในกายของเธอเย็นเฉียบแต่ยังไม่ทันที่จะได้เอื้อนเอ่ยคำใดต่อไปสายฝนที่ตกลงมาเป็นสายอยู่แล้วก็เทกระหน่ำลงมาอย่างแรงราวกับมีใครเล่นตลกสาดน้ำห่าใหญ่ลงมาจากท้องฟ้าเธอมองไม่เห็นสิ่งอื่นใดนอกจากสายฝนเบื้องหน้าเธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังร่วงหล่นลงสู่ที่ห่างไกลก่อนที่จะได้กลิ่นชากุหลาบลอยมาจางๆเธอหลับตาลงช้าๆ ใช้ประสาทสัมผัสดมกลิ่นชาที่ลอยเจือมาครั้นเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งเธอพบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่ในร้านกาแฟร้านเดิมข้างนอกร้านปราศจากหยดฝนใดๆ เบื้องหน้าเธอมีแก้วชากุหลาบวางไว้
เสื้อผ้าของเธอแห้งสนิทชากุหลาบบนโต๊ะยังคงมีควันลอยขึ้นมาอยู่เธอหันไปมองนาฬิกาก่อนจะพบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบตีห้าแล้ว ใกล้รุ่งสางเต็มที เธอสูดลมหายใจเข้าลึกด้วยความสับสนคล้ายว่าทุกสิ่งที่เธอเผชิญกลายเป็นเพียงความฝัน แต่เธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่ไม่มีฝันที่ไหนจะเสมอเหมือนได้ถึงเพียงนั้นหรอก เธอกัดริมฝีปากด้วยความตื่นเต้นเธอมั่นใจว่าตัวเองได้ย้อนกลับไปสู่อดีตเมื่อสองเดือนก่อน วันแรก ที่ได้พบกับเขาคนนั้นหากน่าเสียดาย...เธอพลาดโอกาสที่จะได้รู้จักเขาอีกเป็นครั้งที่สอง...
เธอไม่ได้กลับไปที่ร้านกาแฟนั้นอีกหลายเดือนด้วยเหตุหลายประการแต่คราวนี้ใบหน้าของชายหนุ่มแปลกหน้าที่เธอไม่รู้แม้แต่ชื่อกลับยังติดตรึงอยู่ใจเธอจำได้แม้กระทั่งโทนเสียงที่เขาใช้พูดกับเธอด้วยซ้ำ แล้วในวันที่อากาศหนาวเย็นเวียนมาถึง เสียงเพลงคริสต์มาสสะท้อนไปทั่วเมืองเธอเดินเลียบเรื่อยมาด้วยความอ้างว้างหากแต่จิตใจมีความปรารถนาอันล้ำลึก เธอมาหยุดยืนอยู่หน้าร้านกาแฟร้านเดิมเวลานี้ยังเป็นเวลาเช้ามากอยู่นัก นอกจากชายฝรั่งตัวโตที่นั่งละเลียดเค้กอยู่ในร้านแล้วก็ไม่มีลูกค้าอื่นใดอีกเธอค่อยๆ ผลักประตูร้านเข้าไปก่อนจะเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์เพื่อสั่งเครื่องดื่ม แน่นอนว่าเธอสั่งชากุหลาบ
เธอเดินถือแก้วชากุหลาบที่ทำให้หวนนึกถึงเรื่องในคืนวานก่อนจะตัดสินใจนั่งลงบนที่นั่งเดิมของตัวเองและในขณะที่กำลังจะยกแก้วชาขึ้นดื่มเธอก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงสายฝนอีกครั้งกลิ่นชาหอมรุนแรงขึ้นมากทุกที เธอได้ยินเสียงกระดิ่งที่ประตูดังทั้งๆที่ไม่มีลูกค้าคนไหนเดินเข้ามาสักคน เธอค่อยๆ จิบชากุหลาบช้าๆก่อนจะรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังหมุนเคว้ง เธอหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งและพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่หน้าร้านกาแฟร้านเดิมทว่าท้องฟ้าด้านนอกกลับมืดสนิทและมีฝนตกหนักเธอลอบยิ้มด้วยมั่นใจว่าตัวเองได้ย้อนกลับมาสู่อดีตอีกครั้ง
ในตอนนั้นเองที่เธอได้ยินเสียงกระดิ่งแขวนประตูดังขึ้นเธอหันหน้าไปตามเสียงก่อนจะพบว่าหัวใจตัวเองเต้นแรงเพียงใดเมื่อเห็นร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าที่เปียกโชกเล็กน้อยยืนหอบอยู่ที่หน้าประตูเขามีสีหน้าแปลกใจอย่างถึงที่สุดในขณะที่ก้าวตรงมาหาเธอ
“คุณกลับมาที่นี่เร็วขนาดนี้ได้ยังไงจู่ๆ คุณก็หายตัวไป ผมก็เลยลองกลับมาดูที่นี่...”
เธอไล่สายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนเดิมทุกอย่าง...เขาเหมือนเดิมทุกอย่าง กระเป๋าเสื้อผ้าหรือแม้แต่กระทั่งแก้วชาในมือ เธอไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ตัวเองเผชิญเธอไม่ตอบคำถามที่เขาถามแต่กลับเป็นฝ่ายตั้งคำถามกลับเสียเอง
“วันนี้วันที่เท่าไหร่คะ”
เขามีสีหน้างุนงงไปเล็กน้อยแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังตอบคำถามของเธอ“วันที่ 25 พฤษภาคมไงครับ”
ราวกับมีเสียงฟ้าผ่าดังมาจากที่ไกลๆเธอจ้องหน้าเขาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง “หลังจากนี้คุณจะไปไหนหรือคะทำไมถึงไม่กลับมาที่ร้านนี้อีกเลย”
คำถามของเธอทำให้เขานิ่งอึ้งไปนัยน์ตาสีรัตติกาลวูบไหวไปเล็กน้อยเขาดูประหลาดใจและเคลือบแคลงในตัวเธอจนไม่กล้าเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาอยู่พักใหญ่แต่มันอาจจะเป็นเพราะสีหน้าของเธอ แววตาของเธอหรือกลิ่นชาหอมๆที่ทำให้เขาเอ่ยปากบอกเธอไป
“เอ่อ...พรุ่งนี้ผมจะย้ายบ้านไปญี่ปุ่นอีกนานกว่าจะได้กลับมาอีกคงไม่ได้กลับมาดื่มชาที่ร้านนี้อีกนานเลยล่ะ”
เธอรู้สึกเหมือนเสียงฝนด้านนอกกำลังจะเริ่มจางหายไปเธอเริ่มร้อนรนขึ้นมา กลิ่นชาเริ่มแรงขึ้นอีกครั้ง เธอจะปล่อยให้การกลับมาครั้งนี้สูญเปล่าไม่ได้
“ถะ...ถ้างั้นคุณคิดว่ามันจะฟังดูแปลกๆ มั้ยถ้าฉันจะขอ...” เธอรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีกำลังจะเอ่ยปากออกไปทว่าภาพเบื้องหน้ากลับกลายเป็นเหมือนสายน้ำเธอรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังจมอยู่ในมหาสมุทรอันหนาวเหน็บเธอมองเห็นหน้าเขาที่จดจ้องมาที่เธออย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองพร้อมๆกันนั้นก็รู้สึกถึงหยดน้ำอุ่นๆ ที่ไหลออกมาจากหางตาของตนเองไม่ทัน...เวลาไม่ยอมโอนอ่อนให้เธออีกแล้ว...
ผ่านมาหลายปีแล้วแต่เธอยังจำเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนได้ไม่มีลืมและพร้อมกันนั้นก็ยังไม่เคยลืมชายแปลกหน้าที่เธอไม่เคยรู้จักแม้แต่ชื่อของเขาแต่กลับไม่เคยลืมเขาได้เลย
ฤดูฝนหวนกลับคืนมาอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้เธอเองก็ไม่เคยนับเธอกางร่มพลาสติกออกก่อนจะเดินเลียบเรื่อยไปตามทางยามรุ่งสางอันเงียบสงบของประเทศอาทิตย์อุทัยพระอาทิตย์ใกล้จะโผล่พ้นจากขอบฟ้าเต็มทีเธอเดินมาหยุดอยู่หน้าทางม้าลายรอให้สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวก่อนจะออกเดินเร็วๆ
ลมฝนทำให้เธอต้องชะงักไปเล็กน้อยเมื่อมันพัดพาผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าอ่อนของใครบางคนลอยมาปะทะใบหน้าของเธอพอดีกลิ่นชาสมุนไพรอ่อนๆ เจือจางอยู่ในผ้าผืนนั้นเธอหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากใบหน้าของตัวเองก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาหยุดลงตรงหน้า
เธอไล่สายตาขึ้นมองร่างสูงของคนตรงหน้าเขาสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มและใส่หูฟังสีขาวนัยน์ตาสีดำสนิทจับจ้องมาที่เธอไม่ละสายตา
เธอค่อยๆยื่นผ้าเช็ดหน้าในมืออันสั่นเทาของตัวเองไปให้เขาโดยที่ไม่รู้ตัวน้ำตาของเธอไหลออกมาเงียบๆแสงอาทิตย์โผล่พ้นจากขอบนภาสาดส่องลงมาบนพื้นดินที่มืดมิดให้ปรากฏแสงสว่างของรุ่งอรุณพร้อมๆ กับสายลมอบอุ่นแรกของฤดูที่พัดผ่านระหว่างทั้งสองคน
“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะคะ...”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in