เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) สำคัญกับผิวอย่างไร ? เจาะลึกตัวช่วยผิวสวยที่ควรรู้article_beauty
ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) สำคัญกับผิวอย่างไร ? เจาะลึกตัวช่วยผิวสวยที่ควรรู้
  • ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid)

    ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญของผิวชุ่มชื้น อิ่มฟู และคงความอ่อนเยาว์ แต่เมื่ออายุมากขึ้น ไฮยาลูรอนในร่างกายจะลดลง ส่งผลให้ผิวเสื่อมสภาพ เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย

    ในบทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับไฮยาลูรอนในทุกแง่มุม ตั้งแต่ไฮยาลูรอนคืออะไร ? ช่วยฟื้นฟูผิวอย่างไร ? สาเหตุใดที่ทำให้ไฮยาลูรอนเสื่อมสภาพ พร้อมตอบคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการใช้ไฮยาลูรอน ติดตามอ่านได้ที่นี่

    ไฮยาลูรอน คืออะไร ? มีกระบวนการทำงานอย่างไร ?

    ไฮยาลูรอน หรือ Hyaluronic Acid (HA) คือ สารธรรมชาติที่ร่างกายผลิตได้เอง มีบทบาทสำคัญในการกักเก็บความชุ่มชื้นในชั้นผิว ช่วยให้ผิวดูอิ่มน้ำ ยืดหยุ่น และอ่อนเยาว์

    ซึ่งตามธรรมชาติไฮยาลูรอนจะกระจายตัวในชั้นหนังแท้และหนังกำพร้า ช่วยเสริมการทำงานของคอลลาเจนและอิลาสติน เพื่อให้โครงสร้างผิวแข็งแรง พร้อมทั้งกักเก็บน้ำในเซลล์ผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้นและดูเรียบเนียน

    แต่เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตไฮยาลูรอนได้น้อยลง ส่งผลให้ผิวแห้ง มีริ้วรอย และความหย่อนคล้อย ดังนั้น ทางการแพทย์จึงได้พัฒนาไฮยาลูรอนสังเคราะห์ขึ้นมา เพื่อทดแทนในส่วนที่ร่างกายสร้างได้น้อยลง

    ในด้านความงาม ไฮยาลูรอนสังเคราะห์ถูกนำมาใช้ทั้งในฟิลเลอร์และสกินแคร์ เพื่อช่วยเติมเต็มและฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ประโยชน์ของสารไฮยาลูรอน ช่วยฟื้นฟูผิวอย่างไร ?

    กรดไฮยาลูรอนิค เป็นสารสำคัญในการดูแลผิวพรรณ โดยช่วยฟื้นฟูและปกป้องผิว ดังนี้

    - เติมความชุ่มชื้น : กักเก็บน้ำในชั้นผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดปัญหาผิวแห้งและการระคายเคือง

    - ลดเลือนริ้วรอย : เติมเต็มร่องลึกและช่วยให้ริ้วรอยดูตื้นขึ้น ผิวเรียบเนียนและดูอ่อนเยาว์

    - เพิ่มความยืดหยุ่น : กระตุ้นการทำงานของคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้ผิวแน่นกระชับ ลดปัญหาผิวหย่อนคล้อย

    - ฟื้นฟูเซลล์ผิว : กระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดดหรือมลภาวะ ลดรอยแดงและจุดด่างดำ

    - ปกป้องผิวจากมลภาวะ : สร้างเกราะป้องกันผิว ลดความเสี่ยงจากการระคายเคืองและการอักเสบ

    สาเหตุที่ทำให้ไฮยาลูรอนเสื่อมไว และปัญหาผิวที่อาจเจอได้

    ไฮยาลูรอนในร่างกายสามารถลดลงได้จากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายในและภายนอกที่เร่งการเสื่อมสภาพของผิว

    ปัจจัยภายใน

    - อายุที่เพิ่มขึ้น : เมื่ออายุเกิน 25 ปี การผลิตไฮยาลูรอน คอลลาเจน และอิลาสตินจะลดลงตามธรรมชาติ

    - การแสดงอารมณ์ทางสีหน้า : เช่น การยิ้ม ขมวดคิ้ว หรือหัวเราะ ซึ่งทำให้ผิวหน้าถูกยืดและหดตัวซ้ำ ๆ

    - ความเครียด : กระตุ้นให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนที่ส่งผลเสียต่อผิว

    ปัจจัยภายนอก

    - แสงแดด : รังสี UV ทำลายโครงสร้างของไฮยาลูรอนและคอลลาเจนในผิว

    - มลภาวะ : ฝุ่น ควัน และสิ่งสกปรกในอากาศ ทำให้ผิวอักเสบและสูญเสียความชุ่มชื้น

    - การสูบบุหรี่ : ควันบุหรี่ทำให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และขัดขวางการผลิตไฮยาลูรอนตามธรรมชาติ

    - การบริโภคน้ำตาล : น้ำตาลส่วนเกินทำลายคอลลาเจนและลดการสร้างไฮยาลูรอน

    ปัญหาผิวที่อาจเจอได้เมื่อขาดไฮยาลูรอน

    - ผิวหมองคล้ำ แห้งกร้าน ขาดน้ำ

    - ครีมหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวซึมเข้าสู่ผิวได้ยาก

    - ริ้วรอยและร่องลึกเกิดขึ้นง่าย ทำให้ใบหน้าดูแก่ก่อนวัย

    - เกิดริ้วรอยพับบริเวณลำคอ (Necklace Line)

    - ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น ไม่กระชับ

    - เกิดรอยแดงและการระคายเคืองง่าย

    หากปล่อยให้ผิวขาดไฮยาลูรอนต่อเนื่อง ปัญหาเหล่านี้จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลต่อความมั่นใจและสุขภาพผิวในระยะยาว

    การฉีดฟิลเลอร์ที่มีสารไฮยาลูรอน อันตรายไหม ตกค้างในร่างกายหรือไม่ ?

    การฉีดฟิลเลอร์ที่มีไฮยาลูรอน หรือฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid ถือว่าปลอดภัย และไม่เป็นอันตราย เนื่องจากกรดไฮยาลูรอนิคในฟิลเลอร์มีโครงสร้างใกล้เคียงกับสารธรรมชาติในร่างกาย โอกาสเกิดอาการแพ้จึงน้อย อีกทั้งยังสามารถสลายได้เอง 100% ตามธรรมชาติ โดยไม่ก่อให้เกิดสารตกค้างในร่างกาย

    อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัย ควรเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย. และฉีดโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ภายในคลินิกที่ได้มาตรฐาน

    วิธีตรวจสอบไฮยาลูรอนแท้ - ปลอม ดูอย่างไร ?

    ปัจจุบัน ฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอนกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมในวงการเสริมความงาม แต่การใช้ผลิตภัณฑ์ปลอม หรือไม่ได้มาตรฐาน อาจส่งผลเสียต่อผิวและสุขภาพ จึงควรตรวจสอบว่าไฮยาลูรอนหรือฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นของแท้หรือไม่

    โดยมีวิธีตรวจสอบฟิลเลอร์ไฮยาลูรอนแท้ด้วยตัวเอง ดังนี้

    - ตรวจดูสภาพกล่อง : กล่องฟิลเลอร์ต้องปิดผนึกเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยการเปิดแกะ

    - เช็กเอกสารกำกับภาษาไทย : ในกล่องต้องมีเอกสารกำกับภาษาไทย ระบุข้อมูลผลิตภัณฑ์ครบถ้วน พร้อมเลขทะเบียน อย.

    - ตรวจสอบเลข Lot. ให้ตรงกัน : เลข Lot. บนกล่อง ซอง สติกเกอร์ และหลอดฟิลเลอร์ ต้องตรงกันทุกจุด

    - ตรวจสอบวันหมดอายุและราคา : บนกล่องต้องมีวันหมดอายุที่ชัดเจน และระบุราคาผลิตภัณฑ์

    - สแกน QR Code : บางยี่ห้อมี QR Code บนกล่อง สามารถสแกนเพื่อตรวจสอบความถูกต้องผ่านแอปพลิเคชัน

    - โทรสอบถามกับบริษัทนำเข้า : โทรเช็กเลข Lot. กับบริษัทนำเข้าผลิตภัณฑ์โดยตรง เพื่อยืนยันว่าเป็นของแท้

    FAQs เกี่ยวกับไฮยาลูรอน

    การใช้สารไฮยาลูรอนเหมาะ - ไม่เหมาะกับใคร ?

    ไฮยาลูรอนเหมาะกับ

    - ผู้ที่มีผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น

    - ผู้ที่มีริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย หรือร่องลึกจากอายุที่เพิ่มขึ้น

    - ผู้ที่ต้องการเติมเต็มใบหน้า เช่น เสริมคาง หน้าผาก ขมับ ด้วยฟิลเลอร์โดยไม่ต้องผ่าตัด

    - ผู้ที่อยากรักษาความอ่อนเยาว์ และชะลอการเกิดริ้วรอย

    ไฮยาลูรอนไม่เหมาะกับ

    - ผู้ที่เคยมีอาการแพ้ฟิลเลอร์หรือกรดไฮยาลูรอนิค แอซิด

    - สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร

    - ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกแล้วหยุดยาก หรือมีแผลฟกช้ำง่าย

    - ผู้ที่อยู่ในช่วงรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, NSAIDs, วิตามินอี, หรือสารสกัดจากใบแปะก๊วย

    - ผู้ที่มีโรคผิวหนัง เช่น เริม หรือ งูสวัด ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ไฮยาลูรอน

    ไฮยาลูรอนมีผลข้างเคียงหรือไม่ ?

    ไฮยาลูรอนที่ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัยสูง โอกาสเกิดผลข้างเคียงแทบไม่มี แต่ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบที่ใช้

    - ไฮยาลูรอนแบบทา : ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นไม่เกิน 2% เพื่อป้องกันอาการแพ้ เช่น ผื่นหรืออาการบวม โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบอบบาง

    - ไฮยาลูรอนแบบฉีด (ฟิลเลอร์) : หากใช้ฟิลเลอร์ของแท้ ผลข้างเคียงที่อาจพบ เช่น อาการบวม รอยแดง หรือรอยเข็ม ซึ่งเป็นอาการปกติและหายได้เอง แต่ควรฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน

    - ไฮยาลูรอนแบบกิน : เช่น อาหารเสริม ควรเลือกยี่ห้อที่ได้มาตรฐานหรือปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนใช้ เพื่อป้องกันการซื้อผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพ

    ไฮยาลูรอนในฟิลเลอร์ สามารถอยู่ได้นานไหม ?

    ไฮยาลูรอนในฟิลเลอร์ สามารถคงอยู่ได้ประมาณ 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ รุ่นของฟิลเลอร์ ตำแหน่งที่ฉีด และการดูแลตัวเองหลังฉีด เช่น หลีกเลี่ยงแสงแดดและความร้อน การดูแลที่เหมาะสมช่วยยืดอายุของฟิลเลอร์และให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน

    ไฮยาลูรอนแบบกิน ปลอดภัยหรือไม่ ?

    ไฮยาลูรอนแบบกิน มักอยู่ในรูปของอาหารเสริมชนิดเม็ด แม้ยังไม่แพร่หลายมากนัก เพราะนิยมใช้ในคนบางกลุ่ม แต่ก็มีงานวิจัยที่ระบุว่าการรับประทาน Hyaluronic Acid 120-240 มิลลิกรัมต่อวัน ติดต่อกัน 1 เดือน ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและเนียนนุ่มขึ้น

    สำหรับผู้ป่วยโรคข้ออักเสบ การรับประทาน วันละ 80-200 มิลลิกรัม สามารถบรรเทาอาการปวดข้อได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เพื่อความปลอดภัย

    สรุปเรื่องไฮยาลูรอนฟื้นฟูผิวให้ชุ่มชื้น

    ไฮยาลูรอน เป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่จะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้ผิวเสื่อมสภาพ มีริ้วรอยต่าง ๆ หากต้องการแก้ปัญหาผิวที่มีริ้วรอย ร่องลึก หรือความหย่อนคล้อย การฉีดฟิลเลอร์ไฮยาลูรอน เป็นวิธีที่ได้ผลลัพธ์รวดเร็วและแก้ปัญหาอย่างตรงจุด เพราะช่วยเติมเต็มริ้วรอย ฟื้นฟูผิวให้กลับมาชุ่มชื้น ใบหน้าดูเรียบเนียน อ่อนเยาว์อีกครั้ง

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in