นี่คือสิ่งที่เราคิดหลังจากกลายเป็นนักศึกษาเอกภาษาจีนมาได้ระยะหนึ่ง สำนักพิมพ์แจ่มใสเป็นหนึ่งในสำนักพิมพ์ที่เรารู้จักและตามอ่านนิยายมาตั้งแต่เด็กๆ บวกกับขณะเรียนเราก็รู้ตัวว่าชอบการแปลมากกว่าการสื่อสาร ชอบอยู่กับหนังสือมากกว่าทำงานที่ต้องได้เคลื่อนย้ายตัวบ่อยๆ เมื่อสิ้นสุดชีวิตปีสาม เราจึงลงมือเริ่มต้นเป้าหมายที่เคยวางไว้
นี่เป็นการเขียนบันทึกประสบการณ์ครั้งแรกของเรา เป็นบันทึกประสบการณ์ที่เราได้เรียนรู้และพบเจอขณะใช้ชีวิตอยู่ที่แจ่มใสทั้ง 4 เดือน หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ ^^
เริ่มต้นสมัครฝึกงาน
สมัยเรียนมหาลัย หลักสูตรของเรากำหนดให้ออกฝึกงานช่วงปีสี่เทอมสอง เรามีเป้าหมายในใจเราแล้ว ยังไม่จบปีสามดีเราก็เริ่มหาข้อมูลเรื่องการสมัครฝึกงานที่แจ่มใส แน่นอนว่าต้องเป็นกองบรรณาธิการภาษาจีน โดยทางแจ่มใสได้ลงข้อมูลไว้บนเว็บแล้วเสร็จสรรพ
(จิ้ม) ซึ่งระบุว่ารับสาขาของเราพอดี (เย่!) ล็อคเป้าเรียบร้อยแล้ว พอปิดเทอมเราก็เริ่มติดต่อสมัครงานกับทางสำนักพิมพ์
กรกฎาคมก็หาที่ฝึกงานแล้ว ขณะที่คณะเราเขาให้เริ่มส่งชื่อที่ฝึกงานกันช่วงกันยายน ตอนแรกเราแอบคิดอยู่เหมือนกันว่ารีบไปรึเปล่านะ แต่สิ่งที่ได้เจอกลับทำให้เรารู้สึกว่าโชคดีนะที่ติดต่อไปแต่เนิ่นๆ แทน เพราะการสมัครฝึกงานต้องได้ทำแบบทดสอบ!
นี่เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเราอยู่เล็กน้อย เพราะเห็นเพื่อนๆ ไปฝึกงานกันก็ไม่เห็นว่าต้องได้ทำแบบทดสอบอะไร แต่พอนึกถึงสายที่เรามาก็เข้าใจได้ แบบทดสอบสำหรับเข้าฝึกงานไม่เยอะมากค่ะ (สำหรับเรานะ) เป็นแบบทดสอบที่วัดทักษะการแปลและการอ่าน และมีส่วนจิปาถะเล็กน้อย เหมือนทุกคนที่สมัครฝึกงานจะได้ทำแบบทดสอบนะคะ อันนี้เพื่อนเราที่สมัครก็ได้ทำเช่นกัน แต่ไม่แน่ใจว่าแผนกอื่นจะเป็นเหมือนกันไหม
ส่งแบบทดสอบไปไม่นาน รออย่างใจจดใจจ่อก็ได้อีเมลตอบกลับว่า 'ผ่าน' ค่า ในที่สุดเป้าหมายที่ตั้งใจมานานสำเร็จลุล่วงไปอีกหนึ่ง รวมๆ ขั้น ตอนนี้กินเวลาไปประมาณหนึ่งเดือนได้ค่ะ จึงเป็นที่มาของความรู้สึกโชคดีที่กล่าวไปข้างต้น
เพิ่มเติม คณะเราความจริงแล้วเขาจะมีรายชื่อบริษัทไว้ให้อยู่แล้ว ช่วงกันยายนก็จะเปิดให้นักศึกษาปีสี่เลือกบริษัทที่สนใจเพื่อเข้าไปฝึกงานค่ะ ซึ่งตอนแรกไม่มีสำนักพิมพ์แจ่มใสในนั้น เราจึงทำเรื่องขอให้ทางคณะเพิ่มชื่อให้เอง ส่วนนี้คณะเราทำได้นะคะ ส่วนที่อื่นอาจต้องถามทางคณะดูเอง
ชีวิตฝึกงาน
ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง เข้าบริษัทปุ๊บก็เจอเรื่องเซอร์ไพร์สปั๊บ เราได้เจอเพื่อนสนิทของเพื่อนสนิท แถมบ้านก็อยู่โซนจังหวัดเดียวกัน ตอนนั้นรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเลย ด้วยความที่เป็นคนต่างจังหวัดมาอยู่กรุงเทพฯคนเดียว เพื่อนก็ไม่มี (ทั้งสาขามีเราคนเดียวฝึกที่นี่ค่ะ) ญาติก็อยู่อีกฟาก ภายในวันเดียวก็คุ้นเคยกันเลย
วันแรกเป็นวันของการแนะนำตัว ห้องที่เราอยู่เป็นห้องใหญ่รวมหลายแผนก มีนักศึกษาฝึกงานทั้งหมดห้าคน สามคนอยู่กองภาษาจีน สองคนอยู่กองภาษาเกาหลี หลังจากทำความรู้จักกันแล้ว ก็จะมีพี่ๆ พาไปเดินแนะนำตัวกับทุกฝ่าย รวมทั้งแนะนำห้องต่างๆ ในบริษัทค่ะ
◆ ฝึกงานกองบรรณาธิการจีนต้องทำอะไรบ้างนะ
พอทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง งานก็เริ่มตบเท้าเดินเข้ามาหา...
ขอเกริ่นก่อนว่า ก่อนจะมาฝึกงาน ขณะเรียนอยู่เราเคยฝึกแปลด้วยการแปลซับซีรีส์ แปลเพลง รวมทั้งแปลนิยายมาก่อน (ทำได้อยู่ตอนสองตอน ซึ่งตอนนี้ดองไปแล้ว 5555) จึงพอคุ้นชินกับการแปลอยู่บ้าง ทั้งเรื่องนิยายฝั่งจีนของแจ่มใสส่วนใหญ่จะเป็นแนวย้อนยุค ส่วนนี้เราก็เตรียมใจมาแล้ว
งานแรกที่ได้เจอคือการแปลคำโปรยนิยาย นิยายเรื่องหนึ่งจะมีคำโปรยประมาณครึ่งหน้าเอสี่ต่อเรื่อง ช่วงนี้เรายังรู้สึกว่าไม่หนักมาก ทำงานนี้ประมาณอาทิตย์ถึงสองอาทิตย์ได้ก็ได้หาข้อมูลนิยายติดท็อปจากเว็บต่างๆ เพื่อเสนอบ.ก. ส่วนนี้ก็ได้แปลคำโปรยที่มีความยาวเพียงสั้นๆ เช่นเดิม
รู้สึกว่าทำงานได้อย่างลื่นไหลอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็เจองานเวอร์ชั่นอัพเลเวล ครั้งนี้ต้องแปลข้อมูลและเรื่องย่อนิยายความยาวประมาณ 4-7 หน้าต่อเรื่อง มาทีหนึ่งก็มาพร้อมกันหลายๆ เรื่อง แถมเป็นแนวย้อนยุคซะส่วนใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่เราเจอตัวอักษรจีนที่ต้องแปลเยอะขนาดนี้ และเป็นครั้งแรกที่รู้สึกอยากจะอ้วกเป็นตัวหนังสือ ช่วงนี้คือตบตีกับตัวหนังสือจนกระอักกันไปข้าง จนหมดอารมณ์อ่านนิยายไปพักหนึ่ง นิยายที่พี่ๆ ให้มาช่วงฝึกงานต้องนอนแกร่วอยู่ที่มุมห้อง
สงครามยังไม่จบ ยังนับศพทหารไม่ได้! วันหนึ่งเราได้รับมอบหมายงานต้องอ่านสรุปนิยายหนึ่งเล่ม ได้ยินปุ๊บ ในใจร้องโอ้ -ิบหายเลย กลัวไม่ไหวมากเพราะตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยอ่านนิยายที่เป็นภาษาจีนเลย นี่จึงเป็นครั้งแรกของเรา ที่มาพร้อมด้วยเดดไลน์ ส่วนนี้กระอักยิ่งกว่าด้านบนซะอีก กว่าจะเสร็จก็หืดขึ้นคอเหมือนกัน
คิดว่ามีเพียงแค่แปลจีน-ไทยใช่ไหมคะ ผิดค่ะ! ที่แจ่มใสมีนิยายหลากหลายประเภท ทั้งแปล ทั้งที่เป็นของคนไทยเราเอง ซึ่งอยู่ช่วงหนึ่งที่เราได้แปลเรื่องย่อนิยายไทยเป็นภาษาจีน แอบประหม่าอยู่เหมือนกันเพราะเราคิดว่าทักษะการแปลไทย-จีนของเราไม่ค่อยดีนัก แต่ก็พยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้
ทั้งหมดนี่คืองานที่เราได้เจอทั้งหมดขณะฝึกงานอยู่แจ่มใสทั้ง 4 เดือน วนเวียนอยู่ในขอบเขตนี้ ถือเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าสำหรับเรามากๆ เพราะสิ่งไหนที่ไม่เคยทำก็ได้ทำ ช่วยพัฒนาทักษะของเราให้ดียิ่งขึ้น และระหว่างฝึกงานเราจะมีพี่เลี้ยงดูแลด้วยนะคะ พี่เลี้ยงจะให้คำปรึกษา ติดตรงไหน สงสัยตรงไหน ก็ถามได้เสมอเลยค่ะ หรือจะถามพี่ๆ คนอื่นในกองก็ได้ ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะทำไม่ได้
สรุปแล้วสงครามนี้เราก็ไม่ได้กลายเป็นศพค่ะ อิอิ
◆ หนึ่งวันในแจ่มใส
เวลางานของแจ่มใสเริ่มงานเก้าโมงเช้าเลิกงานหกโมงเย็น ยกเว้นวันศุกร์ที่จะเข้างานได้ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าเผื่อบางคนต้องการเลิกเร็ว
ช่วงฝึกงานเราเช่าที่พักใกล้แจ่มใสค่ะ เดินไปขึ้นวินครู่เดียวก็ถึงตึก ตอนเช้าพอไปถึงแจ่มใสก็เซ็นชื่อลงเวลาเข้าทำงาน ส่วนนี้นักศึกษาฝึกงานต้องทำทุกคน เพราะว่าหลังจบฝึกงานแล้วต้องเขียนสรุปเพื่อรับเงินค่าเดินทางแต่ละวัน ทุกเช้าที่ห้องอาหารเพื่อนๆ จะนั่งกินข้าวด้วยกันค่ะ ใครมาเช้าก็นั่งกินด้วยกัน ส่วนเราจะไปถึงพอดีกับเพื่อนเขาขึ้นห้องกันค่ะ เพราะชอบกินนมมากกว่า นานๆ ทีกินข้าว
พอพักเที่ยง เราก็จะลงไปกินข้าวพร้อมกันค่ะ ที่แจ่มใสจะมีข้าวเที่ยงให้ฟรี เมนูจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ซึ่งเราชอบมากค่ะ เพราะรู้สึกว่าไม่จำเจดี ทำให้ได้กินบางเมนูที่ไม่เคยกินด้วย พอกินข้าวเสร็จ จากนี้ไปจะเป็นช่วงที่เราชอบมาก ที่แจ่มใสจะมีห้องพักผ่อน ในนั้นจะมีทั้งโซนนั่งเล่น มีเกมกระดานต่างๆ มีกระจกสำหรับซ้อมเต้นด้วยนะ ที่เราชอบที่สุดคือโซนนิยาย จะเป็นโซนที่รวมนิยายทั้งหมดของแจ่มใสไว้ สามารถหยิบอ่านได้ จะยืมกลับไปนอนอ่านเล่นที่ห้องก็ได้ ฟินมากบอกเลย
ช่วงบ่ายจะมีรถเร่มาขายของ เช่น ก๋วยเตี๋ยวหลอด ขนมจีบ ใครหิวก็สามารถซื้อขึ้นมากินได้เลยค่ะ พี่ๆ ไม่ห้าม จริงๆ ตอนทำงานก็สามารถฟังเพลงไปด้วยได้นะคะ บรรยากาศเป็นกันเองพี่ๆ ใจดี แต่ไม่ใช่ฟังเพลงจนอู้งานน้า
เมื่อเลิกงานแน่นอนว่าต้องเซ็นชื่อออกที่ป้อมยามอีกครั้ง ขากลับทุกวันเราจะเดินกลับพร้อมกับเพื่อนๆ ค่ะ ระยะทางจากแจ่มใสถึงปากซอยไม่ไกลเลย เดินได้ชิลๆ แต่ตอนเช้าแต่ละคนแยกกันมา ไม่มีเพื่อนเดินเราจึงเลือกนั่งวินดีกว่า
◆ นอกเหนือจากการฝึกงาน
กิจกรรมในวันพิเศษ ที่แจ่มใสจัดกิจกรรมบ่อยมากค่ะ ช่วงเราไปที่ได้เจอก็ตัวอย่างเช่น กิจกรรมวันวาเลนไทน์ กิจกรรมวันตรุษจีน ในวันนั้นก็จะจับสลากแจกของกัน ซึ่งนักศึกษาฝึกงานสามารถเข้าร่วมด้วยได้ เราก็เคยได้รางวัลด้วยนะ
บุกแจมคลับ แจมคลับเป็นคาเฟ่ของแจ่มใสค่ะ อยู่แถวเซนปิ่น วันนั้นเป็นกิจกรรมพิเศษที่บริษัทจัดให้นักศึกษาฝึกงานค่ะ ทุกคนจะได้ไปที่ร้านและลองทำเครื่องดื่มกัน ถือว่าเป็นการผ่อนคลายนอกสถานที่ ซึ่งนอกจากคาเฟ่แล้วด้านบนจะเป็นโซนขายหนังสือ ใครสนใจสามารถไปเยี่ยมชมได้นะคะ รับรองว่ามีให้เลือกอย่างจุใจแน่นอน
สัมมนานอกสถานที่ ส่วนนี้เป็นส่วนที่เราสมัครกับด้านนอกเองค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นงานสัมมนาเกี่ยวกับการแปล สมัยเรียนหายากมากเพราะเราไม่ได้เรียนที่กทม. พอมาอยู่กทม.มีงานไหนให้ไปก็สมัครไปหมด แต่บางครั้งมันตรงกับวันธรรมดา ทำให้เราต้องขออนุญาตพี่เลี้ยง ตอนแรกเราหวั่นใจมากเพราะมันเป็นงานนอกบริษัท แต่พี่ๆ ก็ใจดีอนุญาตให้ไปได้ ทำให้เราดีใจมากๆ เลย ฮือ
ความเปลี่ยนแปลง
ระยะเวลา 4 เดือนจะว่าสั้นก็สั้น จะว่านานก็นาน หลังจากสิ้นสุดสู้รบกับตัวอักษรที่เยอะจนตาลายแล้ว เราก็พบว่าตัวเราเปลี่ยนแปลงไป
เรียนจบไม่นานเราก็ได้เข้าทำงานเลย เป็นอาชีพที่อยู่ในสายเดียวกัน พี่ๆ ในบริษัทจะชอบทักว่า 'โห ตัวหนังสือเป็นพรืด อ่านได้ยังไง' เราได้ยินก็ชะงัก 'เออว่ะ' ความรู้สึกอยากอ้วกเวลาเจอตัวอักษรจีนเยอะๆ หายไปตั้งแต่ตอนไหนแล้วไม่รู้ คิดไปคิดมา มันต้องเป็นช่วงฝึกงานสี่เดือนนั้นแน่นอน นี่เป็นสิ่งแรกที่เราสังเกตเห็นได้ว่าเปลี่ยนไป
ความเร็วการแปลและการอ่านเพิ่มขึ้น จากตอนแรกที่แปลได้วันละสั้นๆ สมัยฝึกแปลนิยายเล่นตอนนึงก็ทำตั้งหลายวัน หลังจากจบฝึกงานเราก็ทำได้เร็วขึ้น
ตัวเต็ม ส่วนนี้ไม่ใช่ว่าอ่านออกทั้งหมดเลยนะคะ เพียงแต่รู้สึกว่าคุ้นเคยมากขึ้นจากที่แต่ก่อนเห็นแล้วเราจะส่ายหน้าหนีทันที เพราะนิยายส่วนหนึ่งก็มาจากไต้หวันก็มี ทำให้เราต้องอ่านตัวเต็ม ซึ่งครั้งแรกที่เจอแน่นอนว่ารู้สึกอย่างอ้วก ฮ่าๆๆ เป็นหนึ่งในสิ่งที่ไม่คาดคิดและไม่ได้เตรียมใจมาเลยค่ะ
จบแล้วค่ะ ทั้งหมดคือชีวิตฝึกงานทั้งสี่เดือนของเรา จนถึงตอนนี้เรารู้สึกว่าเราคิดไม่ผิดเลยที่เลือกฝึกงานที่นี่ ตอนแรกไม่ได้วางแผนเลยว่าจะได้มาเขียนเล่า หลังจากผ่านไปพักใหญ่ก็พบว่าตัวเราเองเริ่มจำรายละเอียดยิบย่อยไม่ได้ จึงตัดสินใจเขียนไว้ดีกว่า ก่อนที่จะลืมไปมากกว่านี้
สุดท้ายอยากฝากถึงคนที่สนใจอยากทำงานในด้านนี้ ไม่รู้ว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนกันไหม ส่วนตัวเรา เราคิดว่าทุกอย่างต้องอาศัยเวลาและการฝึกฝน ไม่อยากให้คนที่สนใจในด้านนี้ล้มเลิกความต้องการหรือคิดว่าทำไม่ได้เพราะเห็นว่าตัวหนังสือเยอะแล้วลายตาเท่านั้น
ขอบคุณที่อ่านมาถึงจนจบนะคะ :)
สารภาพเลยว่าตอนแรกยังคิดไม่ออกว่าเรียนจบอยากทำงานอะไร เพราะสายนี้มันกว้างมากจริงๆค่ะ
ㅜㅡㅜ ตอนนี้ก็รู้ตัวแล้วค่ะว่าชอบอ่านมังงะ อ่านนิยาย มาทางสายนี้น่าจะเข้ากับตัวเองมากกว่า หนูจะพยายามนะคะ???