Henrietta: What happens when an unstoppable force meets an immovable object?
บทนี้เกือบจะเป็นพื้นที่ของ
เพราะเราไม่ต่างอะไรไปจากวิลเลี่ยมในร้านหนังสือเดินทางกับกาแฟแค่ครึ่งแก้ว ที่ถูกจักรวาลเหวี่ยงไปหาคนที่ตัวเองชื่นชมแต่สูงเกินเอื้อมอย่าง แอนนา สก็อต จนเกิดเป็นความรักที่มองยังไงก็ไม่เหมาะสมสิ้นดี
แต่ความรู้สึกอยู่เหนือทุกกฎเกณฑ์ที่มนุษย์ตั้งขึ้น และคุณจะรักคนที่คุณรัก (ระวังหัวใจไปก็ใช่เปล่า ...จริงไหม?)
น่าขำที่เรารักษาตำแหน่งพระเอกไปไม่ได้จนจบเรื่อง เพราะดันกลายมาเป็นคนที่ยืนอยู่ในตำแหน่งของนางเอกแล้วพูดประโยคแสนจะโด่งดังนั้นแทน
จากสูงสุดสู่ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ ยามหัวใจบอกกับแอนนาว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะฟังเสียงคนรอบข้างหรือคำกล่าวว่าจากนักข่าวที่เธอแทบไม่รู้จัก ถ้าเธอต้องเสียคนที่เธอเป็นตัวเองด้วยได้มากที่สุดไป เธอก็ขอเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
และผู้หญิงธรรมดาที่กำลังบอกรักและขอให้ถูกรัก ก็อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ของคำว่าเพศสภาพ เธออาจจะยืนอยู่หน้าชายหนุ่ม เธออาจจะยืนอยู่หน้าหญิงสาว แต่คำว่ารักที่เธอกล่าวไม่ได้เปลี่ยนความหมาย
พอถึงตรงนี้ บทนี้ก็ไม่ใช่ของ Notting Hill อีกต่อไป
Imagine Me& You เป็นหนังกึ่งเก่ากึ่งใหม่จากปี 2005 เป็นหนังที่คงความคลาสสิคแบบฉบับหนังรักฝั่งอังกฤษเอาไว้ได้ไม่มีบกพร่อง ทั้งบรรยากาศแสนละมุนใต้ฟ้าอึมครึม และฉากงานแต่งงานภายในโบสถ์ เผลอมองผ่านคุณอาจไม่ทันรู้ว่าหนังจะบอกเล่าเรื่องราวการตกหลุมรักของเจ้าสาวหมาดๆกับสาวเจ้าของร้านขายดอกไม้
'ดูให้จบ
หากพอหยิบกลับมาดูอีกครั้งหลังจากที่พี่ไม่อยู่ข้างๆแล้ว หนังไม่ได้ลดอุณหภูมิความอบอุ่นลง แต่เปิดมุมมองหลายอย่างที่เราไม่ทันนึกคิดเมื่อตอนที่หัวใจยังไม่เจ็บปวด หนังเรื่องนี้ไม่ได้จับปากกาสีขีดไฮไลท์ที่เพศของสองนางเอก แต่สิ่งที่หนังบอกกับเราคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากหัวใจจริงๆ ที่ห้ามไม่ได้ อธิบายไม่ได้ และหยุดไม่ได้ เรเชลที่คิดมาตลอดว่าตัวเองรักเฮคกลับค้นพบว่า สุดท้ายแล้วหัวใจเธอไม่ได้ต้องการตอนจบสวยหรูที่ถูกคนอื่นตีกรอบ แต่หัวใจเธอต้องการในสิ่งที่มันต้องการ (Everyone promises you happily ever after, but life turns into a different kind of fairy tale.)
เรเชลเป็นผู้หญิงแบบที่พี่คงใช้คำว่า 'ผู้หญิงผู้หญิง' สวย หวาน เหมาะสมกับผู้ชายสักคน เราเป็นคนที่ถูกพี่มองแบบนั้น ถูกสังคมคนรอบข้างพี่มองแบบนั้น
เราทำให้เรื่องมันยากขึ้น...ฟังยังไงก็เจ็บ แต่ก็คงจริง
ความรัก ไม่ใช่เหตุผลที่ดีพอ แต่มันเป็นเพียงเหตุผลเดียวที่เราดื้อดึงไม่ยอมเลิกรา ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเจ็บเจียนจะขาดใจอยู่แล้วทำไมยังเอาตัวเองกลับไปเจ็บซ้ำๆอยู่ได้ แค่ความหวังว่าจะสามารถแก้ไขเรื่องราวนี้ได้และได้อยู่ข้างพี่อีกครั้ง แค่ความหวังว่าจะสามารถรักษาความรักครั้งนี้เอาไว้ได้ แค่ความหวังว่าสิ่งที่เรามีระหว่างกันมันจะพิเศษและทรงพลังมากพอ แค่ความหวังที่ดูไม่มีหวังเอาเสียเลยพวกนั้นรวมกันทั้งหมด ...มันก็แค่ คำว่ารัก
เรากลายเป็นแรงที่หยุดไม่ได้ (an unstoppable force) ไปโดยไม่ทันรู้ตัว ในขณะที่พี่ยืนยันอยู่กับคำพูดของตัวเอง บอกต่อหน้าเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่ได้ พี่กลายมาเป็นคนที่ไม่ยอมขยับเขยื้อน (an immovable object)
คำตอบของลูซจากหนังประจำบทนี้บอกชัดว่า หากสิ่งหนึ่งหยุดไม่ได้อีกสิ่งย่อมต้องยอมขยับและในทางกลับกันหากมีอะไรที่ไม่อาจขยับได้สุดท้ายอีกสิ่งก็ต้องหยุด
ตอนได้ยินประโยคนี้ครั้งแรกจากในหนังก็หลุดขำทั้งน้ำตา อะไรมันจะตรงแสนตรงได้ขนาดนี้ แรงเสียดสีที่เกิดขึ้นจากการปะทะสร้างบาดแผลและความเจ็บปวดมากมายอย่างที่น่าสงสัยว่าเราต่างทนอยู่กับมันได้ยังไง พี่บอกกลับมาว่าหรือบางทีเราทั้งคู่อาจเสพติดความเจ็บปวด แต่เรากลับมองว่าเพราะตอนไม่ได้เจ็บปวดมันมีพลังเหนือกว่าต่างหาก
ถึงแม้อย่างนั้น... ถึงเราจะเป็นข้อยกเว้นมาได้นานถึงตอนนี้ ก็ใช่ว่าเราจะเป็นข้อยกเว้นของการมีอยู่พร้อมกัน ของสิ่งที่หยุดไม่ได้และสิ่งที่ไม่เคลื่อนไหวได้ตลอดไป
ถึงตอนนี้... ขณะที่เขียน ก็ยังไม่รู้ว่าใกล้หรือไกลจากจุดจบของแรงปะทะ ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะเป็นแรงอย่างเราที่ต้องหยุดลง หรือจะเป็นคนอย่างพี่ที่ต้องยอมขยับ
รู้ไว้เพียงว่า แรงที่ไม่น่าจะมีอยู่จริงได้นี้ มันขับเคลื่อนอยู่ได้ด้วยพลังงานเพียงสองอย่าง คือ ความหวัง และ ความรัก.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in