เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
otherssean and his nightmares
(Ulrich Nielsen x Jonas Kahnwald) ; Melody X
  • Title : Melody X

    Author : .sean

    Pairing : Ulrich Nielsen x Jonas Kahnwald

    Rating : No Rate

    Fandom #DarkNetflix


    *Spoiler Alert*


    enjoy และคอมเมนท์ฟิคได้ที่ #seanfic











    “Jemandfreut sich sehr, wenn du kommst.

    Und esist nicht Mugnus.”

     

    .

     

    “Gut.Also dann bis später,Romeo.”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เวรแล้ว..” จู่ ๆ คำสบถก็ถูกเอ่ยออกมาเมื่อความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในสมองของเขา โยนาสผุดลุกขึ้นยืนแทบจะทันที กางเกงสีครีมที่ถอดกองอยู่ข้างกายถูกหยิบขึ้นมาสวมด้วยความเร่งรีบ

     

     

    มีอะไรเหรอ ?” มาร์ธ่าเอ่ยถาม

     

     

    ฉันต้องไปแล้ว” เขาพูดพร้อมกับพยายามยัดขาทั้งสองข้างเข้ากางเกง

     

     

    เธอขยับตัวเล็กน้อย, มองโยนาสด้วยความไม่เข้าใจ “ไปไหน ?”

     

     

    เราให้แท็ปเล็ตกับย่าอิเนสเป็นของขวัญวันเกิด ยังดีที่ของใช้ยังไม่ถูกหยิบออกมามากนัก เลยไม่ต้องเสียเวลาเก็บสักเท่าไหร่ - โยนาสรูดซิปกระเป๋าและสะพายมันใส่บ่าของตัวเอง ฉันต้องไปสอนย่าใช้แท็ปเล็ตน่ะ

     

    งั้น... ไว้เจอกันนะเสื้อกันฝนสีเหลืองกับผ้าเช็ดตัวสีน้ำเงินซีดถูกหยิบขึ้นมาถือเป็นอย่างสุดท้าย รอยยิ้มนั้นเขามอบให้เธอเหมือนทุกครั้งที่เอ่ยคำบอกลา

     

     

    โยนาสแต่เป็นมาร์ธ่าเองที่เอ่ยเรียกเขา ก่อนที่จะเดินจากไป

    ทำไมพกเสื้อกันหนาวล่ะ?”

     

     

    เพราะเดี๋ยวฝนก็จะตกยังไงล่ะเขาตอบยิ้ม ๆ ถ้างั้น...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    I

     

     

     

    สัญญาณไฟแปรเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดง ทบกับจังหวะที่ล้อหน้าของรถจักรยานเคลื่อนมาเทียบอยู่หลังเส้นจราจรสีขาว เสียงเบรกบนล้อหลังดังเอี๊ยดอยู่หน่อย ๆ ก็ตอนที่เฮือกสุดท้ายของป้ายไฟกลายเป็นสีแดง

     

    เวร...เด็กหนุ่มสบถออกมาด้วยความหงุดหงิดใจ เป็นแบบนี้ทุกทีเลยเวลาที่เขารีบ

     

     

    แต่หากนึกทวนให้ดีก็ใช่ว่าวินเดนจะรถเยอะเสียหน่อย ในช่วงเวลาเร่งรีบและฉุกละหุกแบบนี้ใคร ๆ เขาก็ทำกันนี่นะ

     

    โยนาสชั่งใจกับตัวเองอยู่เสี้ยววินาที- แต่พอนึกได้ว่าเวลาคงไม่รอคอยใคร มือข้างซ้ายและขวาที่กำเบรกเอาไว้จึงค่อย ๆ ปล่อยออก และเท้าข้างหนึ่งที่วางอยู่บนพื้นก็ยกขึ้นแตะบนคันเหยียบของรถจักรยาน

     

    กำลังจะออกตัวปั่นจักรยานอยู่แล้วเชียวเสียงแตรรถจากทางด้านหลังก็ดึงโยนาสเอาไว้เสียก่อน

     

    แน่นอนว่าเด็กชายเองก็คงตกใจอยู่ไม่น้อย... เขาหันหลังกลับไปและรู้ได้ทันทีว่าเจ้าของเสียงแตรรถนั้นไม่ใช่ใครอื่นไกล

     

     

     

    รถสีเทาคันใหญ่จอดเทียบอยู่ข้าง ๆ กับรถจักรยานคันสีดำที่จอดอยู่ก่อนหน้า – หน้าต่างรถถูกลดลงหมดทุกบาน ประหนึ่งใช้แอร์ธรรมชาติ

     

     

    ไงจ๊ะ โยนาส” เป็นเสียงของคาธารีน่าที่เอ่ยทักก่อน หล่อนโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างเล็กน้อยเพื่อคุยกับเขา

    ไม่ได้ไปทะเลสาบกันหรอกเหรอ?” ... มาร์ธ่ากับมักนุสออกไปตั้งนานแล้วนะ

     

     

    ชนกำปั้นขั้นสุดยอดกันหน่อยไหม ?” มือที่เล็กกว่าถูกยื่นออกมาจากประตูฝั่งด้านหลัง มิเกลนั่งอยู่ตรงนั้นในชุดนอนสีแดงเลือดหมู

     

     

    อย่าไปแตะเจ้าตัวแพร่เชื้อนี่เชียว... เขาเป็นหัดเยอรมันคุณนายนีลเซ่นพูดต่อทันทีที่ลูกชายของเธอพูดจบ และกำปั้นเล็กของมิเกลก็ถดหายไปด้วยความเบื่อเซ็งที่โดนห้าม

     

     

    ผมลืมว่าวันนี้ต้องไปสอนคุณย่าใช้แท็ปเล็ตน่ะครับ

     

     

    ถ้าอย่างนั้นวันนี้จะไปอยู่ใช่ไหม ?” เสียงของอีกบุคคลหนึ่งเอ่ยถามโยนาสหันหน้าไปมองเจ้าของเสียงนั้นที่กำลังขยับตัวเข้ามาใกล้เพื่อให้เขาได้มองเห็นชัดเจนขึ้น

     

     

    ถ้าไม่ติดอะไรก็คงไปได้ครับพยักหน้าเล็กน้อย รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขาเช่นเคย

     

     

    งั้นเจอกันคืนนี้นะ” คาธารีน่าพูดขึ้นบ้าง

     

     

    จะมีคนหนึ่งดีใจมากถ้าเธอมา และนั่นก็ไม่ใช่มักนุสด้วยอูลริคพูดต่อตามด้วยรอยยิ้มแบบนั้น ที่เขาชอบยิ้ม

     

     

    อูลริค ไม่เอาน่า” คุณนายนีลเซ่นถอนหายใจเล็กน้อย ผลักหลังมือใส่อกของสามีให้กลับไปยังที่นั่งของตัวเอง

     

     

    ทำไมล่ะ ?” เป็นฝ่ายของมิเกลที่สวนขึ้นบ้าง เรื่องที่พี่มาร์ธ่าคลั่งพี่โยนาสก็ไม่ใช่ความลับนี่นา

     

     

    พอเลยหล่อนห้าม ก่อนจะรีบเอ่ยตัดประโยค ถ้าอย่างนั้นก็เจอกันคืนนี้นะโยนาส

     

     

    ไว้เจอกันนะ โรมิโอ อูลริคขยับตัวยื่นหน้าเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มนั่นอีกแล้ว แต่ไม่ทันไรก็โดนผลักมือใส่หว่างไหล่อีกรอบ .. คุณตำรวจเลยจำใจต้องดึงเบรกมือลงและเป็นฝ่ายขับรถออกไปก่อน

     

     

     

    .. แม้เขาจะขับรถออกไปได้ไกลแล้ว แต่โยนาสก็ยังคงมองตามท้ายรถคันนั้นจนสุดสายตา พร้อมกับรอยยิ้มที่ว่าซึ่งยังติดตรึงและเด่นชัดอยู่ในหัวของเขา ..

     






     

     

     

     

    II

     

     

    Gib mirdie Hand

    Ich baudir ein Schloß aus Sand

    Irgendwie,irgendwo, irgendwann.

     

    .

     

    DieZeit ist reif für einbißchen Zärtlichkeit

    Irgendwie,irgendwo, irgendwann.

     

     

     

    เสียงกระหึ่มของเครื่องเสียงดังไปทั่วบ้าน แม้กระทั่งกระจกบนบานประตูเองก็ยังสั่นไหวไปตามเสียงของเบสทุ้ม

     

    โยนาสมาถึงบ้านนีลเซ่นพร้อมกับฮันนาห์ คาห์นวัลด์ .. แม่ของเขา - แม้จะยังไม่ถึงช่วงเวลาที่ฟ้ามืดเสียเท่าไหร่ แต่คนที่มาถึงก่อนหน้าก็มีแทบไม่น้อยเลย และกลายเป็นว่าการปรากฏตัวของสองแม่ลูกนั้นจะเรียกได้ว่า สายแล้ว’ ก็ยังว่าได้

     

     

     

    รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่มเป็นอย่างแรกเมื่อเห็นมาร์ธ่าเดินลงมาจากชั้นบนของบ้าน หล่อนอยู่ในชุดลายลูกไม้สีขาว ... ที่โยนาสเองก็คิดว่ามันเข้ากับเธอมากเสียทีเดียว

     

    สวัสดีจ้ะมาร์ธ่า..” ฮันนาห์ทักเจ้าหล่อนก่อน

     

     

    สวัสดีค่ะ แม้ปากจะเอ่ยตอบ แต่สายตาคู่นั้นกลับไม่ได้จับจ้องเจ้าของคำพูดก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย.. มาร์ธ่ามองโยนาสด้วยรอยยิ้ม

     

    และโยนาสก็รู้ที่มาของรอยยิ้มนั้นดี

     

     

    ดีใจที่นายมาได้นะ” มาร์ธ่าพูดต่อ โดยที่มือของเธอจับพันกันไปมาแทบอยู่ไม่เป็นสุข อยากดื่มอะไรก่อนไหม ?”

     

     

    เดี๋ยวผมเอาทีรามิสุไปวางไว้ให้นะครับ” เป็นฝ่ายของโยนาสเองที่เอ่ยตัดบทขึ้นมาเสียดื้อ ๆ – ถาดอาหารในมือผอมบางของผู้เป็นแม่ถูกหยิบมาถือเอาไว้เพื่อใช้เป็นข้ออ้าง

     

     

    ไงจ๊ะ โยนาส !” เสียงทักของคาธารีน่าดังขึ้นแทบจะทันทีที่เห็นเด็กหนุ่มผมบลอนด์และแม่ของเขาที่ยืนอยู่ตรงโถงทางเดิน ดูท่าเจ้าหล่อนคงจะเมาอยู่พอตัว เพราะน้ำสีใสในแก้วแชมเปญนั่นกระฟัดกระเฟียดจนแทบกระเด็นโดนเสื้อเชิ้ตของโยนาส แต่หล่อนคงไม่ทันได้สังเกตหรอก นึกว่าเธอจะไม่มาแล้วเสียอีก

     

    แขนข้างหนึ่งควบคล้องบนลำคอของโยนาส ประหนึ่งต้องการลากให้เข้าไปร่วมกลุ่มตรงกลางที่มีการเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน

     

     

    ผมเอาทีรามิสุมา-” ยังไม่ทันจะได้พูดจบประโยคเลยด้วยซ้ำ คุณนายนีลเซ่นก็รีบปล่อยแขนออกจากรอบคอของเขา

     

     

    ฉันพลาดเพลงนี้ไม่ได้นี่เพลงโปรดของฉันเลย !” ความจริงแล้วหล่อนเพียงแค่ต้องการมาหยิบเครื่องดื่มจากโต๊ะข้างราวบันไดเพิ่มเท่านั้น ก่อนจะหายลับเข้าไปในกลุ่มฝูงชนอีกครั้ง

     

     

    โยนาสหันไปมองหน้าผู้เป็นแม่ของตัวเอง ก่อนจะได้รับคำอนุญาตจากการพยักเพยิดหน้าของเธอ และมาร์ธ่าที่ยืนยิ้มเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ตรงนั้น ... แต่ก็อย่างว่า

     

    โยนาสรู้ที่มาของรอยยิ้มนั้นดี

     






     

     

     

     

    III

     

     

        เสียงดนตรีดังอื้ออึงเช่นเคย- จับใจความไม่ได้แล้วว่าเพลงที่กำลังเล่นอยู่นั้นมันคือเพลงอะไร ... คนมากหน้าหลายตาเดินสวนเสกันไปมาจนดูวุ่นวายไปหมด

     

        เด็กชายพยายามทำตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจนัก เพราะแขกในงานส่วนมากแล้วก็มีแต่ผู้ใหญ่วัยทำงาน แถมโยนาสเองก็แทบจะไม่รู้จักใครเลยนอกจากมาร์ธ่าและมักนุส เพื่อนร่วมชั้นของเขา – แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก... หากจะมองหาจุดเด่นของงานเลี้ยงนี้ได้ง่าย ๆ โดยที่ไม่ต้องสังเกต

     

     

        เขามีส่วนสูงที่เด่นชัดและสามารถมองเห็นได้จากตรงนี้ แม้จะมีผู้คนมากมายรายล้อมรอบตัวเขา ... ริมฝีปากที่กำลังโปรยยิ้ม ไม่บอกก็รู้ว่าเจ้าของนั้นพราวเสน่ห์มากสักเพียงไหน – เสื้อเชิ้ตสีเทาเข้มไม่ได้ทำให้เขาถูกดูดกลืนหายไปพร้อมกับฝูงชน ... แต่กลับทำให้เขาดูมีแรงดึงดูดบางอย่างที่น่าหลงใหล

     

    และโยนาสก็ไม่สามารถละสายตาคู่นั้นไปจากอูลริคได้เลย

     

     

    นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้... ที่ดวงตาคู่นั้นจับจ้องกลับมาที่เด็กชาย

    ไม่ใช่แค่โยนาสที่จมหายเข้าไปในภวังค์ แต่อูลริคเองก็หลุดลอยเข้าไปในห้วงแห่งกาลเวลาเช่นเดียวกัน

     

     

    แทบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาคนนั้นมายืนอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าของโยนาส – จะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่กลิ่นโคโลญจน์จาง ๆ ของคุณตำรวจลอยเข้ามาปะทะใบหน้าของเด็กชาย

     

     

    พอได้อยู่ใกล้ในระยะที่ประชิดขนาดนี้ โยนาสก็แทบจะลืมไปทุกอย่าง ลืมแม้กระทั่งลมหายใจ สัมผัสได้เพียงแต่เสียงระรัวที่ดังอยู่ข้างในอกของตัวเอง

     

    รู้สึกเหมือนมีผีเสื้อเป็นล้าน ๆ ตัวบินวนอยู่ในท้องเลย...

     

     

     

    ดีใจนะที่เธอมา” เขาอยู่ตรงหน้า พร้อมกับขวดแชมเปญที่เปิดฝาแล้ว ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ถือแก้วทรงสูง ... น้ำสีใสรินไหล เขาไม่ไถ่ถาม ไม่รีรอ แต่กลับยืนแก้วใบนั้นให้กับโยนาส งดเป็นตำรวจหนึ่งวัน

     

     

    แต่...

     

     

    ถาดทีรามิสุที่ถืออยู่ อูลริคคงเพิ่งสังเกตเห็น เขาวางขวดแชมเปญลงบนโต๊ะข้าง ๆ ก่อนจะคว้าเอาถาดนั้นมาถือแทน ... แก้วในมือถูกยื่นให้อีกครั้ง เร็ว.. เดี๋ยวแม่เธอเห็นเข้า จะอดนะ”

     

     

    “…” โยนาสรับแก้วแชมเปญมาถือไว้ ก่อนจะยกขึ้นจิบพอเป็นพิธีตามคำยุยงของคนตรงหน้า

     

     

    แล้วเธอจะขอบคุณฉันทีหลัง เขาวางถาดทีรามิสุที่คุณนายคาห์นวัลด์ทำไว้ลงบนโต๊ะเล็กข้างกำแพง ก่อนจะหยิบขวดแชมเปญก่อนหน้าขึ้นมาดื่มแบบปากต่อขวด

     

     

     

    โยนาสเห็นรอยยิ้มแบบนั้นของเขาอีกแล้ว... รอยยิ้มแบบเดียวกันที่เขาเห็นเมื่อตอนบ่ายของวันนี้  และอีกทีเมื่อสามวินาทีที่แล้วก่อนที่ปากขวดแชมเปญจะปิดบังรอยยิ้มนั้นไป

     

    เด็กชายยังคงมองตามทุกอิริยาบถของคนตรงหน้า ห้ามตัวเองไม่ให้มองไม่ได้ด้วยซ้ำ... ลูกกระเดือกของเขาที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการดื่มกลืนแอลกอฮอล์ในขวด นึกแล้วอยากสัมผัสมันด้วยปลายนิ้วสักครั้งเสียจริง ๆ

     

    ดื่มขนาดนี้เขาจะรู้สึกเมาบ้างไหมนะ... หรือการดื่มแบบนี้ มันจะกลายเป็นปกติของเขาไปแล้ว ?

     

     

     

    เพื่อสุขภาพของเรา” เหมือนว่าเขาเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างออก ขวดแชมเปญที่กรอกใส่ปากถึงถูกลดลงอีกครั้ง ก่อนจะยื่นมาข้างหน้าเล็กน้อย ตรงกับแก้วที่โยนาสถืออยู่พอดี

     

    หมดแก้วนะ

     

     

    ถ้าผมหมดแก้ว แล้วคุณจะหมดขวดหรือยังไง...

     


    แต่เมื่อได้สบกับสายตาคู่นั้นที่จ้องมอง เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่เหลือเส้นทางอื่นใดให้หลบเลี่ยงได้เลย เว้นเสียแต่จะยกแก้วในมือขึ้นดื่มให้มันจบไปสักที

     

    เสียงแก้วกระทบขวดเบา ๆ ก่อนที่โยนาสจะเป็นฝ่ายยกขึ้นดื่ม คราวนี้อูลริคคงไม่ยอมต่อให้อีกครั้งแน่ ๆ .. อย่างน้อยก่อนหน้านี้ เขาก็ต่อให้ด้วยการดื่มไปก่อนเกือบครึ่งค่อนขวดแล้วนี่นะ

     

     

     

    แม้จะเลี่ยงสบสายตาด้วยการยกแก้วขึ้นดื่ม แต่กลับสัมผัสได้ถึงการถูกจ้องมองของคนตรงหน้า ที่เอาแต่จับจ้องเขาด้วยรอยยิ้ม - เหมือนตอนนี้... กลับกลายเป็นว่าโยนาสกำลังถูกอูลริคบังคับให้เล่นเกมด้วยกัน โดยที่ตัวของโยนาสเองนั้น เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปแล้วตั้งแต่เกมยังไม่ทันจะได้เริ่มด้วยซ้ำ

     

    มีอะไรหรือเปล่าครับ ?” สุดท้ายแล้วโยนาสก็เป็นฝ่ายเอ่ยถามออกไปในที่สุด เขายอมแพ้ให้กับสายตาคู่นั้นได้ไม่นานหรอก...

     

     

    อูลริคเงียบไปช่วงขณะหนึ่ง เขากำลังรินแชมเปญจากขวดลงสู่แก้วที่เพิ่งฉวยมาจากมือของโยนาสเมื่อสักครู่

     

    ถ้าฉันบอกว่าไม่มี.. แล้วฉันจะได้คุยกับเธอต่อหรือเปล่า ?” ตอบคำถามกลับมาด้วยคำถาม มุมปากของเขาถูกกระตุกให้ยิ้มได้ตามใจชอบ เขี้ยวเล่มสวยที่โผล่พ้นริมฝีปากล่างนั่น ยิ่งมองยิ่งทำให้โยนาสรู้สึกเหมือนหัวใจของตัวเองกระตุกวูบไปเสียดื้อ ๆ อย่างนั้น

     

     

    ร้าย... ร้ายมาก ๆ...

     

     

     

     

     

    ตาแก่..มาเต้นกับฉันหน่อยเร็ว !” เสียงที่คุ้นเคยทำให้โยนาสเผลอมองข้ามไหล่ของคนที่สูงกว่าไปโดยอัตโนมัติ พร้อมกับเท้าทั้งสองข้างที่สลับถอยห่างออกมา ... ถึงแม้ในความรู้สึกแรกจะแอบเสียดายกลิ่นโคโลญจน์เย็น ๆ ของเขาก็ตามที

     

    มือที่ไม่ปริศนาซึ่งทาเล็บด้วยสีแดงโผล่พ้นไหล่กว้างของเขามา บีบดึงคางของคนตรงหน้าราวกับว่ามันเป็นเรื่องสนุกสนานที่ปกติคนในครอบครัวมักจะหยอกล้อกัน – อูลริคยอมเอี้ยวตัวตามไปอย่างว่าง่ายจากแรงดึงของคาธารีน่า

     

    หากการที่เดาว่าเขาคงจะเมาแล้ว... มันก็คงเป็นเรื่องจริง ไม่ต้องหาข้อพิสูจน์อะไรให้มากความหรอก

     

     

    จังหวะดนตรีเร็ว ๆ กับท่าทางโยกเย้าที่เข้าคู่กันของภรรยาในอ้อมแขน ดูก็รู้ว่าเขารักกันมานานแค่ไหน ไม่อย่างนั้นทั้งคู่จะจัดงานเลี้ยงครบรอบ 25 ปีที่แต่งงานด้วยกันหรือ ?

     

     

     

    โยนาสได้แต่ยิ้ม... ยิ้มมองคู่เต้นรำที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมของผู้คนซึ่งขยายออกกว้างพอให้พื้นที่สำหรับทั้งคู่ - แก้วแชมเปญถูกยกขึ้นดื่มอีกรอบ และคราวนี้เขายกมันจนหมดแก้ว

     






     

     

     

     

    IV

     

     

        สายลมพัดโหม เป็นเค้าลางที่บอกได้ดีทีเดียวว่า อีกไม่นานห่าฝนใหญ่ก็คงกลับมาเยี่ยมเยียนวินเดนอีกครั้ง – มองไปรอบกาย ตอนนี้เหลือเพียงแค่โต๊ะยาวที่ถูกคลุมไว้ด้วยผืนผ้าสีขาว ประดับประดาด้วยขวดน้ำอัดลมเปล่า กับแก้วพลาสติกสีแดงที่ใช้แล้ว อาหารที่เหลือรับประทานอยู่ไม่มากก็น้อย แต่หากให้มากกว่านั้น.. ก็คงเป็นร่องรอยของแขกเหรื่อที่ก่อนหน้าคงจะจัดเลี้ยงกันตรงนี้

     

     

        จริง ๆ ตั้งใจว่าจะให้เป็นปาร์ตี้ในสวน.. แต่แบบนี้ดูเป็นกันเองกว่าเยอะ’  โยนาสได้ยินคาธารีน่าพูดแบบนั้นกับแม่ของเขาตอนที่ทั้งคู่มาถึงงานเลี้ยงใหม่ ๆ

     

     

     

        นี่มันวันสิ้นโลกหรือเปล่านะ...” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร แต่โยนาสก็ยังคงหันกลับไปหาเจ้าของเสียงนั้นอยู่ดี

     

        เสียงฟ้าร้อง และเมฆใหญ่ตั้งเค้าเงาทะมึนมาแต่ไกล แต่พื้นที่ว่างข้างกายกลับไม่ได้ว่างเปล่าดั่งเคย อูลริคนั่งลงตรงนั้น บนชิงช้าฝั่งขวาของโยนาส – ขาเหยียดยาวของเขายันพื้นหญ้าเอาไว้ พร้อมกับโยกไปมาช้า ๆ

     

     

        “ถ้าอย่างนั้นก็คงน่าผิดหวังนะครับ สองมือของเด็กหนุ่มคว้าจับเส้นเชือกสีขาวที่ใช้ห้อยเก้าอี้ชิงช้า ออกแรงเหวี่ยงด้วยปลายเท้าเบา ๆ ชิงช้าก็ขยับไปมาแล้ว

     

     

        ฉันนึกว่ามันจะเสียงดังกว่านี้..” อูลริคเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีทมิฬ แสงสว่างวาบที่ทำให้เกิดฟ้าแลบไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกลัวหรือตกใจเลยแม้แต่นิดเดียว ..ภาพบาดตากว่านี้”

     

        บุหรี่ในซองที่เขาพกติดกระเป๋าเสื้อมาปลายตาของโยนาสแอบเห็นว่าคนข้างกายนั้นดูหวาดระแวงอยู่เล็กน้อย .. คงแอบออกมาสูบบุหรี่ล่ะสิท่า

     

        บุหรี่มวนหนึ่งถูกหยิบขึ้นมาคาบไว้ด้วยริมฝีปาก แล้วเขาก็หันกลับมามองที่โยนาส เพราะใบหน้านิ่งเฉยของเด็กชาย ทำให้เจ้าตัวเป็นฝ่ายหลุดหัวเราะเจื่อน ๆ ออกมาเองเสียอย่างนั้น มุขฉันมันฝืดขนาดนั้นเลยหรือไง

     

     

        ฮะ ๆ เมื่อกี้คุณเล่นมุขเหรอครับ ?” แสร้งหัวเราะ พร้อมกับหันไปสบตาคนข้าง ๆ ที่มองเขาอยู่ก่อนหน้าแล้ว

     

     

        ถ้าพรุ่งนี้เป็นวันสิ้นโลก และทุกอย่างเริ่มต้นใหม่” ..เขาเว้นจังหวะไปช่วงหนึ่ง “เธอจะขออะไร

     

    ท่ามกลางแสงสลัวของไฟสีส้มที่ติดอยู่ริมกำแพง แสงสว่างของไฟแช็กใต้อุ้งมือใหญ่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้โยนาสได้เห็นใบหน้าของอูลริคชัดเจนยิ่งขึ้น - ช่วงเวลาหยุดกระชั้น พร้อมกับคำพูดในหัวมากมายที่หลุดลอยหายไป ไม่ทันได้ไขว่คว้า แต่ทันทีที่เขาหันกลับมาสบตาอีกครั้ง เด็กชายก็ได้แต่เสใบหน้าไปทางอื่น

     

     

    โลกที่ไม่มีวินเดน...

    แล้วคุณล่ะครับ ?”

     

     

    ไม่มีคำตอบใดหลุดออกมาจากปากของอูลริค ที่เขาทำก็มีเพียงแค่ยกบุหรี่ในมือขึ้นสูบเอาควันสีเทาเข้าปอดของตัวเอง ... โยนาสมองตามเปลวไฟสีแดงบนปลายกระดาษห่อเส้นยาสูบ ที่กำลังหดหายไปเรื่อย ๆ จากการถูกเผาไหม้

     

    เขาไม่ได้คาดหวังอะไรในคำตอบของคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

    เพียงแค่อยากจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น ในแบบที่อยากทำเสมอมา... ก็เท่านั้นเอง

     

     

     

     

    หยดน้ำตาของท้องฟ้าเริ่มรินไหล- แตะสัมผัสลงบนปลายจมูกของโยนาสเด็กชายแหงนมองไปยังที่มาของน้ำฝน เปาะแปะลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมือใหญ่ที่เพิ่งโยนบุหรี่ทิ้งไปจะรีบคว้าจับเอาฝ่ามือของเขาเอาไว้ และวิ่งหาที่หลบฝนด้วยกัน

     

    ด้านข้างของโรงจอดรถคงเป็นพื้นที่สำหรับให้ยืนหลบน้ำฝนได้ดี.. โยนาสคิดว่าอย่างนั้น- แต่ที่มากกว่านั้นคงเป็นมืออุ่นที่กุมรวบอยู่รอบมือของเขา เมื่อกี้.. เพียงอูลริคออกแรงดึงแค่นิดเดียว โยนาสก็วิ่งตามไปแล้ว

     

     

    การเปียกฝนใช่ว่าจะเป็นเรื่องสนุกสักเท่าไหร่ แต่การได้เปียกฝนกับคนคนนี้.. เด็กชายเองก็คิดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ดีอยู่เหมือนกัน อูลริคหัวเราะและโยนาสก็หัวเราะ สถานการณ์แบบนี้มันน่าตลกกว่ามุขเฝื่อน ๆ ที่เคยเล่นไว้เสียอีก

     

    แต่ที่ตลกกว่า คือ... ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ฝันที่โยนาสเคยได้ถวิลหาอยู่ทุกคืน

     

     

    ลองบีบมือเขาดูสักครั้ง – ความหนาและความหยาบกร้านทำให้โยนาสรู้ได้ดีว่านี่คือเรื่องจริง ฝ่ามือของอูลริคยังคงกุมกระชับฝ่ามือของโยนาสเอาไว้เช่นเดิม ก่อนจะสัมผัสได้ถึงลิ่มนิ้วที่ค่อย ๆ วางซ้อนลงในช่องว่างระหว่างนิ้วมือของโยนาส

     

    ศีรษะที่เล็กกว่าเอียงซบลงบนไหล่กว้างของคนข้างกาย กลิ่นโคโลญจน์ยังคงติดอยู่บนเสื้อผ้าของเขา โยนาสสูดดมกลิ่นหอมนั้นเอาไว้เสียจนลืมตัว แต่ตอนนี้แล้ว จะห้ามอะไรได้ไหว...

     

     

     

    เธอชอบฉันเหรอ ?” ริมฝีปากของอูลริคแทบจะจรดแนบชิดกับกระหม่อมของโยนาส หยาดน้ำฝนเล็ก ๆ ทิ่ติดค้างอยู่บนปลายเส้นผมค่อย ๆ หยดลงบนแก้มใส ฝ่ามือของเขาประคองอยู่ใต้สันกรามของเด็กชายตรงหน้า

     


    ถ้าผมบอกว่าชอบคุณ แล้วคุณจะชอบผมกลับหรือเปล่า ?”

     

    อุ้งมือที่เล็กกว่าสัมผัสกับมือที่จับประคอง เอียงศีรษะซบลงบนฝ่ามือใหญ่นั้น ในความคิดหนึ่ง.. อยากหลับตาและหยุดช่วงเวลาเหล่านี้เอาไว้เหลือเกิน– แต่สุดท้ายแล้ว เวลาก็พรากสิ่งเหล่านั้นให้จากไป กลั้นใจดึงละฝ่ามือนั้นออก ยกยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับส่ายหน้าไปมา...

     

    นั่นสินะความเงียบก็ถือว่าเป็นหนึ่งในคำตอบของคำถามอยู่แล้ว

    และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลเหมือนกันที่พื้นดินมักจะเป็นคำตอบสุดท้ายให้โยนาสเสมอ

     

     

    เสี้ยววินาทีหนึ่ง โยนาสนึกถอดใจ... ไม่กล้าแม้แต่จะสบสายตาอูลริคด้วยซ้ำ ภาวนากับสายฝน ขอให้ตัวเองแตกสลายไปพร้อมกับสายลมที่กรรโชกจะได้ไหม – แต่อีกเสี้ยววินาทีหนึ่ง ที่โยนาสไม่ได้เป็นคนคิดกำหนด มันกลับเกิดขึ้นแล้วในตอนนี้

     

     

     

    มือใหญ่ทั้งสองข้างจับรั้งเข้าที่ข้างศีรษะเล็ก จรดริมฝีปากลงแนบชิดกับเด็กชาย เสี้ยววินาทีนั้น... โยนาสถึงได้รู้ด้วยตัวเองแล้วว่า อูลริคคือปีศาจร้ายในคราบของมนุษย์ชัด ๆ - ปีศาจร้ายที่มาพร้อมกับความเร็ว โดยที่ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ

     

     

    โชคยังเข้าข้างโยนาสอยู่บ้าง ที่อูลริคนั้นยังคงมีความปรานีอยู่

    เขาละริมฝีปากออก ตอนที่กำปั้นเล็กพยายามทุบลงบนแผ่นอกเพื่อขอเวลานอก

     

     

    แบบนี้เรียกว่าชอบได้หรือยัง ?”

     

     

    โยนาสไม่ตอบคำถามของคนตรงหน้า, เอาแต่ขบเม้มริมฝีปากของตัวเองแน่น รอยจูบก่อนหน้านี้ทำเอาเขาหมดคำจะพูดเลย... ไหนจะกลิ่นบุหรี่ที่เคล้ากับกลิ่นจาง ๆ ของแชมเปญนั่นอีก

     

     

    ไม่ชอบเหรอ ?” อูลริคถาม พร้อมกับช้อนสายตามองเด็กตรงหน้าที่เอาแต่ก้มหงุด ไม่ยอมมองเขาเลยแม้แต่น้อย หรือฉันทำให้เจ็บ ?”

     

     

    ผมชอบครับ... ไม่ต้องถามอะไรอีกแล้วศีรษะของคนที่ตัวเล็กกว่าเลือกเอนซบลงบนหน้าอกกว้างของเจ้าของบ้าน- บ้าชะมัด... แพ้จนไม่เหลืออะไรจะให้แพ้แล้ว

     

     

    ลมหายใจที่สั่นไหว โยนาสสัมผัสมันได้ผ่านแผ่นอกของคนตรงหน้า .. อูลริคกำลังหัวเราะเขา แต่ท้ายสุดแล้วก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ที่ทำได้ก็มีเพียงแค่กำชายเสื้อของอูลริคเอาไว้แน่นจนแทบจะหลุดออกมานอกเข็มขัดเท่านั้น

     

    ฉันรู้แล้วว่าทำไมมาร์ธ่าถึงได้คลั่งเธอเสียขนาดนั้น

     

     

    โยนาสเงยหน้ามองเจ้าของคำพูดเมื่อสักครู่นี้ ก่อนจะละตัวออกจากคนตรงหน้า แล้วใช้กำปั้นทุบเข้าให้อีกหนึ่งหน

     

     

     

     แต่สุดท้ายเธอก็มองแค่ฉันอยู่ดีนี่ถูกไหม ?”

     

     

    คุณดูออก ?”

     

     

    ตั้งแต่มาร์ธ่าพาเธอมาเล่นที่บ้านตอนมอต้น

     

     

    แต่คุณก็ไม่พูดอะไรอยู่ดี

     

     

    หาโอกาสคุยกับเธอมันยากอยู่นะ...

     

     

     

    อูลริคยิ้ม, ก่อนที่มือทั้งสองข้างนั้นจะฉวยโอกาสรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ รวบดึงโยนาสเข้าหาตัวเองอีกครั้ง.. ริมฝีปากของเขากดแนบชิดลงบนหน้าผากของเด็กชาย แต่คราวนี้กลับอ่อนโยนกว่าจูบเมื่อสักครู่เป็นไหน ๆ

     

     

     

    แต่ตอนนี้เธออยู่กับฉันแล้วนะ

     

     

    ครับ...ผมอยู่กับคุณ

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in