เสียงโทรศัพท์มือถือปลุกให้เจ้าของสะดุ้งตื่นขึ้นในตอนเช้าและรีบคว้ามันขึ้นมาแนบหู
“บทที่ 2 ของนายมาแล้ว” นั่นคือข้อความที่เขาเฝ้ารอมาตั้งแต่เมื่อวานทำให้ความง่วงงัวเงียอันตรธานหายไปในพริบตา รีสรับคำแล้วรีบลุกขึ้นแต่งเนื้อแต่งตัวเพื่อเดินทางไปสำนักพิมพ์โดยทันที
แต่ความตื่นตัวทั้งมวลก็ถูกหยุดลงเมื่อเขามาถึงสถานีรถไฟฟ้า
รีสยืนอยู่ใกล้ประตูเพราะเขาเดินทางเพียงระยะสั้น ๆ แต่แม้จะมองออกไปด้านนอกกระจก แต่ภาพทั้งหมดที่เป็นก็เป็นเพียงผนังอุโมงค์มืดและทอดยาว ซึ่งแม้จะรู้ว่ารถไฟฟ้าวิ่งได้เร็วเพียงใด แต่ภาพที่เห็นตอนนี้และความเงียบภายในตัวรถกลับทำให้รู้สึกเหมือนเวลาหยุดนิ่ง นั่นทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าตัวเองลืมบางสิ่งบางอย่างไป เป็นเรื่องราวในความฝันเมื่อคืนนี้ก่อนที่จะถูกปลุก
มันเป็นเรื่องยากที่จะจดจำให้ได้ถึงความฝันที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเป็นฝันที่กำลังค้างคาและถูกปลุกอย่างกะทันหัน
หัวแม่มือกดลงเบา ๆ บนหัวคิ้ว เขารู้สึกเหมือนความฝันเมื่อคืนนี้จะมีบางอย่างที่ทำให้รู้สึกติดใจจนปล่อยวางไม่ลง ซ้ำยังหงุดหงิดใจที่นึกไม่ออกเสียอีก จำได้ราง ๆ ว่ามีฉากของเมืองและตัวเขาอยู่ในนั้น เอ...แต่ถ้าคิดดูดี ๆ แล้วมันน่าจะดูแฟนตาซีหน่อยกระมัง?
เสียงประกาศชื่อสถานีทำให้ความทรงจำที่ติดอยู่ข้างในปลิวหายไปอีกครั้ง รีสยอมแพ้ต่อธรรมชาติของความฝันแล้วโยนมันทิ้งไปเมื่อก้าวออกจากตัวรถ
“อรุณสวัสดิ์” รีสเจอกับพนักงานสองสามคนที่เดินออกมาจากรถไฟฟ้าขบวนเดียวกันจึงกล่าวทักทาย
“แปลกจัง” หนึ่งในนั้นเปรยขึ้นมาขณะเดินออกจากสถานี “ช่วงนี้มีอะไรหรือเปล่าคะ คุณแคสเลอร์? ฉันไม่เคยเห็นคุณมาที่ออฟฟิศถี่ขนาดนี้มาก่อนเลย”
“จริงด้วยสิ เมื่อวานกับวานซืนก็มาด้วยนี่นา” อีกคนกล่าวเสริม
ดูเหมือนโมแรนจะไม่ได้พูดเรื่องต้นฉบับของเขาให้ใครฟัง ดังนั้นทุกคนจึงมีแต่เพียงความสงสัยที่เห็นนักเขียนผู้เก็บเนื้อเก็บตัวถี่กว่าปกติถึงขนาดนี้
ซึ่งความไม่รู้ของทุกคนทำให้เขาเองก็ลำบากใจไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไร เพราะไม่รู้ว่าฝ่ายบรรณาธิการใหญ่ประจำสำนักพิมพ์อย่างโมแรนจะอยากให้คนอื่น ๆ รู้เรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน
อาการยิ้มแกน ๆ อย่างไร้คำตอบของรีสทำให้เหล่าพนักงานที่ร่วมทางกันยิ่งอยากรู้อยากเห็นเข้าไปใหญ่หากไม่ใช่เพราะไม่ได้สนิทกันมากนัก อาจจะโดนถล่มถามไปหลายคำถามแล้วก็เป็นได้ และเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ได้สนิทชิดเชื้อจึงทำให้การสนทนาจบลงเพียงเท่านั้นโดยที่รีสไม่กล้าจินตนาการเลยว่าในหัวของคนเหล่านี้กำลังสันนิษฐานอะไรอยู่บ้าง
เสียงทักทายอรุณสวัสดิ์ดังต่อเนื่องเมื่อก้าวเท้าเข้าไปในห้องและพนักงานกำลังทักทายกัน รวมถึงเอ่ยทักทายหัวหน้าใหญ่ของสำนักงาน
โมแรนกำลังดื่มกาแฟยามเช้าและตรวจงานบนจอคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งอยู่
“อรุณสวัสดิ์ครับบอส!” พนักงานกลุ่มที่ขึ้นมาด้วยกันเอ่ยทักทายเสียงใส
“อรุณสวัสดิ์ อ้าว มาเร็วดีนี่กำลังคิดอยู่เลยว่าโทรเช้าแบบนี้นายจะเผลอหลับต่อหรือเปล่า” หลังจากทักทายพนักงานของตนเองแล้วชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีบรอนด์ก็หันมาเห็นคนที่ตนเชิญมา “มาทางนี้สิ ของของนายอยู่ทางนี้ ฉันทำสำเนาไว้ให้แล้ว”
ท่าทางของฝ่ายนั้นดูตื่นเต้นกว่าปกติเล็กน้อยทำให้รีสอดสงสัยไม่ได้
“เจอในตู้ตอนเช้าเหรอ?” เขาเอ่ยถามขณะเดินตามเข้าห้อง
“ใช่ ครั้งนี้ฉันเป็นคนเจอ แต่เท่าที่ลองถามรปภ.ดู เขาบอกว่ามันมาเหน็บไว้เมื่อวานนี้ตอนที่ทุกคนกลับไปหมดแล้ว” โมแรนหยิบซองเอกสารส่งให้รีสแล้วส่งสายตาให้ลองเปิดดูเอง ประกายเล็ก ๆ ในดวงตาสีเขียวทำให้คนมองได้แต่มุ่นคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ ถึงอย่างนั้นก็ยอมเปิดดูตามคำคะยั้นคะยอ
ภายในซองเป็นปึกกระดาษที่บนหัวเขียนเอาไว้ว่าบทที่ 2
ชายหนุ่มไหวไหล่เหมือนจะบอกว่ามันก็ปกติดีนี่ก่อนนั่งลงที่เก้าอี้แขกแล้วเริ่มอ่าน ในระหว่างนั้นก็ถูกเจ้าของห้องจับสังเกตไม่วางตา
นอกจากยกกาแฟขึ้นจิบแล้ว โมแรนแทบจะไม่ทำอย่างอื่นเลยนอกจากจ้องมองนักเขียนของตนสลับกับกระดาษในมือที่พลิกผ่านไปแผ่นแล้วแผ่นเล่า
“จ้องแบบนั้นมันน่าอึดอัดนะ...” ในที่สุดรีสก็พูดออกมาหลังจากพลิกไปได้สามแผ่น
“อ่านต่อไปเถอะ ฉันจะไปตรวจอะไรนิดหน่อยก่อนแล้วกัน” เพราะไม่อยากรบกวนสมาธิ หรือหมดความสนใจแล้วก็ไม่อาจทราบได้ ชายหนุ่มร่างสูงก็ผละจากโต๊ะเพื่อนำแก้วกาแฟที่ดื่มจนเกลี้ยงไปวางไว้ที่ถาดวางแก้วใช้แล้วก่อนจะกลับไปที่โต๊ะที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ มองอะไรสักอย่างอยู่ตอนที่รีสเข้ามา
หลังจากสายตากดดันจากไปรีสก็หายใจหายคอสะดวกขึ้นเล็กน้อย เขาเริ่มต้นอ่านต่อโดยที่ยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนที่เห็นมันคนแรกจึงตื่นเต้นถึงขนาดนั้น
ต้นฉบับบทที่ 2 สั้นกว่าบทแรก มันมีจำนวนแปดหน้ากับอีกไม่กี่บรรทัดบนแผ่นถัดไปซึ่งเป็นแผ่นสุดท้าย
ในตอนแรกรีสก็คิดว่าตนเองเสร็จสิ้นภารกิจประจำวันแล้ว แต่เขาก็ต้องสะดุดใจเมื่อสังเกตว่าบนกระดาษแผ่นสุดท้ายนั้นมีรอยกดเหมือนว่าอีกฝั่งของกระดาษก็ถูกใช้งานเช่นกันแต่เป็นการใช้ปากกาเขียน
นั่นน่าแปลกมากเพราะทั้งสองบทแรกต่างถูกพิมพ์ลงบนกระดาษหน้าเดียว ซึ่งบทนี้เองก็เป็นเช่นนั้นเพราะทุกแผ่นจะมีหน้าที่ว่างเปล่าอยู่ด้านหลัง มีเพียงแผ่นนี้เท่านั้นที่ต่างออกไปทำให้รีสต้องพลิกดูด้วยความกังขาและอยากรู้อยากเห็น
ขอโทษด้วยที่ช้า
เป็นลายมือขนาดค่อนข้างใหญ่แต่เป็นถ้อยคำที่สั้นจนยากจะตีความ
ปากกาที่ใช้เป็นหมึกสีน้ำเงินลูกลื่นที่พบเห็นได้ทั่วไป หัวลูกกลิ้งใหญ่ แรงกดเยอะ ทำให้ตัวอักษรคมชัดและเส้นหนาหนักแน่น รูปแบบตัวอักษรเป็นภาษาอังกฤษแบบตัวพิมพ์ที่เขียนด้วยลายมือทำให้อ่านง่าย รีสจึงมั่นใจได้ว่าตนเองอ่านไม่ผิดแน่นอน
ขอโทษที่ช้างั้นเหรอ?
อาจเพราะอาการชะงักนิ่งงันของรีสทำให้โมแรนรับรู้ได้ว่าเจ้าตัวพบสิ่งที่เขาพยายามจะนำเสนอแล้ว
“คิดว่ายังไง?” เสียงถามทำให้รีสสะดุ้งน้อย ๆ เหมือนว่าเมื่อครู่กำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์
“เขาเขียนเหรอ?”
“หรือเธอ” ฝ่ายบรรณาธิการท้วงคำเพราะยังไม่แน่ใจนักว่าคนที่นำมาส่งคืนเป็นชายหรือหญิง “แต่ดูจากลายมือแล้ว อาจจะเป็นเขาก็ได้”
คำตอบของโมแรนเป็นที่แน่ชัดว่าเจ้าตัวเองก็สงสัยแบบเดียวกัน
ฝ่ายเจ้าของเนื้อเรื่องยกปลายนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากคล้ายกำลังกำลังครุ่นคิด ก่อนลดมือลงสัมผัสบนเนื้อกระดาษและรอยกดของน้ำหนักมือ
ว่ากันว่าลายมือบ่งบอกอะไรได้หลายอย่างเกี่ยวกับเจ้าของของมัน ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายที่รีสไม่เคยศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้แม้จะชอบการเขียนด้วยมือมากแค่ไหนก็ตาม แม้กระนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ว่าใครคนนั้นมีตัวตนอยู่จริงเป็นสิ่งแรกที่บ่งบอกได้ถึงตัวตนของเขา การมีอยู่ของเขา ชีวิตจิตใจของเขา
นั่นทำให้รีสเผลอผลิรอยยิ้มน้อย ๆ
“นายรู้จักเหรอ?”รอยยิ้มที่เห็นกลับทำให้โมแรนตีความไปอีกทาง
“เปล่า...ฉันไม่คุ้นเคยลายมือแบบนี้มาก่อนเลย” เจ้าของรอยยิ้มตอบตามตรงแล้วกลับไปตีหน้าเฉยเมยเช่นเดิม “ฉบับนี้ฉันขอแล้วกัน?”
สองบทก่อนหน้านี้รีสไม่เคยสนใจเลยว่าฉบับที่ตนเองได้มาจะเป็นตัวจริงที่คนพิมพ์ส่งมาหรือว่าเป็นสำเนาที่ถูกทำขึ้นในออฟฟิศนี้ แต่ฉบับนี้เป็นครั้งแรก...ที่เขาอยากได้ตัวจริงเก็บไว้เอง
“เอาสิ ตามสบาย” ลายมือบนกระดาษไม่ได้มีความหมายกับโมแรนมากนัก เพราะหากไม่รู้ว่าเป็นของใคร จะเป็นตัวจริงหรือสำเนาก็มีค่าเท่ากัน
ระหว่างที่กำลังนำกระดาษใส่กลับคืนซองรีสก็ยังสงสัยวลีที่เพิ่งอ่านผ่านไปอยู่
“บางทีอาจเป็นอย่างที่นายว่า เพราะเมื่อวานฝนตกทำให้ส่งมาไม่ทันตอนที่ฉันมารอ”
“งั้นเขาก็คงขอโทษเรื่องนั้น” ผู้ฟังเห็นด้วย “แต่ตัวเขาก็ไม่รู้ว่านายมาที่นี่ ดังนั้นฉันคิดว่าเขาตั้งใจจะส่งมาให้ทันวันละตอน ถ้าอย่างนั้นวันนี้อาจจะมีมาอีกตอนหนึ่งก็ได้”
ได้ยินอย่างนั้นรีสก็หันมองนาฬิกาบนโต๊ะของโมแรน
“แต่คงไม่ใช่ตอนเช้าแบบนี้”เขาพึมพำ
“อาจจะเที่ยงหรือบ่ายฉันก็ไม่แน่ใจ นายจะอยู่รอก็ได้ ยังไงฮีทเตอร์ที่ห้องของนายก็ยังไม่ได้ซ่อมใช่ไหม?” เดาได้ราวกับตาเห็น รีสบิดรอยยิ้มเจื่อนหลังฟังจบ
ที่จริงแล้วขอเสนอของโมแรนค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว ห้องออฟฟิศค่อนข้างอุ่นเมื่อเทียบกับอากาศข้างนอกที่ทั้งเย็นและชื้น แต่เมื่อพิจาณาจากสภาพแวดล้อมแล้วรีสกลับไม่กล้าตกปากรับความหวังดี เขารู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่ที่จ้องมองเขาตั้งแต่ก้าวเข้ามาในสำนักงานและนั่งอยู่ในห้องนี้ แน่นอนว่าบางครั้งเขาก็เหลือบมองกลับไปแต่เมื่อทุกคนรู้ว่ากำลังถูกมองตอบก็รีบหลบตาในทันที
เขาไม่โทษความอยากรู้อยากเห็นเหล่านั้นหรอก...
แต่จะให้นั่งอยู่ท่ามกลางความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่อาจให้คำตอบได้โดยสะดวกใจก็เป็นเรื่องที่น่าอึดอัดเหมือนกัน
“เอาแบบนี้แล้วกัน...” หลังจากคิดสรตะแล้วรีสก็ตัดสินใจพูดขึ้น “ถ้าหากว่าวันนี้มีฉบับต่อไปมาส่งก็ฝากเก็บไว้ให้ด้วย ฉันจะมารับพร้อมกับฉบับที่น่าจะมาในวันพรุ่งนี้”
โมแรนไม่ได้พยายามรั้งตัวรีสเอาไว้ เมื่อเจ้าตัวอยากกลับก็ปล่อยให้กลับ อาจเพราะตัวโมแรนเองก็สัมผัสถึงบรรยากาศแปลก ๆ ที่อบอวลไปทั่วออฟฟิศได้เช่นกัน...
<------------------------------------>
ผู้เขียนพกพาเอกสารบทที่ 2 ซึ่งมือลายมือของผู้พิมพ์ประทับอยู่กลับมาจนถึงห้อง หลังจากโยนกุญแจห้องไปที่โต๊ะแล้วเขาก็หยิบกระดาษในซองออกมาเพื่อนำไปรวบรวมกับส่วนที่ได้รับมาก่อนหน้าทันที
อาจเป็นความรู้สึกของเขาเองก็ได้ แต่รีสคิดอยู่บ่อยครั้งว่าตัวพิมพ์ในคอมพิวเตอร์หรือเครื่องพิมพ์ดีดดูเย็นชา แข็งกระด้าง และไร้หัวใจ
สิ่งเหล่านั้นคือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาชอบทำงานด้วยการเขียนมากกว่าการพิมพ์
แน่นอน...เขาไม่ชอบการติดต่อทางโซเชียลด้วย...
เพราะตัวอักษรที่เกิดจากลายมือให้ความรู้สึกถึงการมีชีวิตได้มากกว่า...
ลายมือที่เขียนอยู่ด้านหลังกระดาษไม่ได้ดูสวยน่ามองเป็นพิเศษเลย จัดว่าเป็นลายมือธรรมดา ๆ เสียด้วยซ้ำ กระนั้นกลับดึงดูดให้ชายหนุ่มจ้องมองมันซ้ำแล้วซ้ำอีก
แต่เดิม สิ่งที่คั่นอยู่ระหว่างเขากับคนที่เอาต้นฉบับไปมีเพียงความว่างเปล่า แม้จะส่งคืนมาบางส่วนด้วยการพิมพ์ขึ้นใหม่แต่มันก็ไม่ต่างกับการติดต่อสื่อสารกับบางสิ่งที่ไม่อาจจินตนาการถึงได้ เป็นบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ห่างไกลเสียจนไม่อาจสัมผัส
ทว่า...ครั้งนี้มีความแตกต่างออกไป...
รู้สึกว่าใกล้เข้าไปมากขึ้น...จะว่าแบบนั้นก็ไม่ผิด
หากจะให้อธิบายเป็นภาพก็คงจะเหมือนคนที่มองตรงไปบนเส้นทางยาวไกลและมืดมิดโดยไม่รู้จุดหมายปลายทาง แต่แล้ววันนี้กลับได้เห็นแผ่นหลังของคนที่เดินนำหน้าอยู่ไกล ๆ
เพียงแค่ข้อความที่ถูกเขียนเพียงสั้น ๆ กลับทำให้รีสหยุดคิดไม่ได้เลยว่าคนที่เขียนมันขึ้นมาจะเป็นคนแบบไหนและมีความคิดอ่านอย่างไร อย่างน้อยก็อยากจะรู้เหตุผลที่เจ้าตัวกระทำสิ่งเหล่านี้ ทั้งการลักขโมย และการนำส่งคืนด้วยวิธีที่แปลกประหลาด
หลังจากนั่งคิดอยู่หลายนาที หรืออาจจะเกือบครึ่งชั่วโมงชายหนุ่มก็ส่ายศีรษะและยิ้มขัน
เขาเริ่มจะจับจดกับคนแปลกหน้าคนนี้มากเกินไปแล้ว
รีสตำหนิตนเอง
อันที่จริงชีวิตของเขาก็ไม่เคยว่างถึงขนาดจะคิดถึงใครได้นานนัก มันเป็นความจงใจของเขาที่จะหมกมุ่นกับการเขียนงานใหม่ ๆ อยู่เสมอ
หรือว่า...ควรจะเริ่มคิดเรื่องใหม่ให้พิจารณาตามที่โมแรนเสนอดี?
นิยายเจ้ากรรมที่เป็นปัญหาชีวิตตอนนี้มีจำนวนตอนทั้งหมดราว ๆ ยี่สิบตอนได้ หมายถึงอาจจะต้องรอเกือบเดือนกว่าที่ทางสำนักพิมพ์จะได้ต้นฉบับทั้งหมด นั่นนับเฉพาะในกรณีที่คนพิมพ์ส่งมาวันละตอนอย่างสม่ำเสมอและมีวินัยจริง ๆ และช่วงเวลาที่เฝ้ารอมันคงจะว่างเปล่ามากทีเดียว
เขาดันปึกกระดาษที่ประกอบด้วยสามบทแรกของนิยายไปไว้ข้างตัว แล้วดึงกระดาษที่เอาไว้รวบรวมไอเดียออกมาก่อนเปิดไปยังหน้าว่าง
[ขโมย]
คำแรกที่เขียนลงไปก่อนที่รีสจะขีดทิ้ง
ไม่...นั่นยังไม่ใช่คำศัพท์ที่จะอธิบายถึงสิ่งที่อยู่ในหัวของเขาเวลานี้ได้
ประสบการณ์ในส่วนที่อยากกลั่นออกมาเป็นไอเดียสำหรับเรื่องใหม่ดูจะค่อนข้างซับซ้อนและยากจะหาคำนิยาม รีสเคาะปากกาลงกับกระดาษจดหลายครั้งแต่ก็ยังคิดไม่ออกว่าควรเขียนอะไร
เมื่อถึงทางตัน เจ้าของห้องก็มองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งตอนนี้ยังนับว่าเป็นเวลาเช้าอยู่ คนทั่ว ๆ ไปคงเพิ่งเข้าทำงานและมันยังไม่ถึงเวลาตื่นตามปกติของเขาเสียด้วยซ้ำ เหมือนกับว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดสวิตซ์สมอง ทำให้เมื่อพยายามฝืนใช้มันก็กลับเริ่มรู้สึกอยากนอนขึ้นมาชอบกล
แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้พาตัวเองกลับลงเตียง เขานั่งขดขาอยู่บนเก้าอี้ทำงานและเท้าคางพลางจ้องมองออกไปไกลอย่างไร้จุดหมาย
มีความรู้สึกคุ้นเคยผุดพรายขึ้นมาในส่วนลึกของจิตใจ
ความฝันที่ติดค้างเมื่อเช้านี้...เป็นทิวทัศน์ของเมืองที่เห็นอยู่เป็นประจำ สิ่งที่ดูแปลกไปก็คือ...
ใช่แล้ว เริ่มจะมีภาพขึ้นมาราง ๆ
ในความฝันของเขานั้นไม่มีคนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว เป็นเมืองว่างเปล่าที่ดูปกติ นอกจากเรื่องที่ทุกคนหายไปหมดแล้วก็ไม่มีอะไรที่ดูแปลกไปจากเดิม
ถึงจะเริ่มนึกออกบ้างแต่เอาเข้าจริงก็จำรายละเอียดไม่ได้หรอก แต่ช็อตที่ทำให้เขาติดใจจนต้องมานั่งคิดอยู่นี่ก็คือ...ก่อนที่เขาจะตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือดูเหมือนจะกำลังฝันว่าได้เจอใครบางคน พวกเขายืนอยู่คนละฝั่งของตรอกแคบ ๆ และคนคนนั้นพูดบางอย่างเกี่ยวกับกระเป๋าของเขารวมถึงต้นฉบับที่หายไป ถ้าเป็นภาพยนตร์ก็คงพูดได้ว่ากำลังจะถึงจุดไคลแม็กซ์เต็มที
แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
มันดังเข้าไปถึงในฝันของเขาทำให้ไม่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายหนึ่ง หนำซ้ำ ในวินาทีที่ผู้ชายคนนั้นหันกลับมา สติของเขาก็ตื่นตัวขึ้นพอดีทำให้ภาพทุกอย่างหายวับไปในพริบตา
จะว่าอย่างไรดี...รีสไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องฝันบอกเหตุ ดังนั้นจึงไม่ได้คิดว่าสิ่งที่เห็นก่อนตื่นจะเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไรนัก เพียงแต่...การถูกปลุกในช่วงจังหวะแบบนั้นมันก็ไม่ต่างจากการถูกขัดจังหวะหนังในช่วงใกล้จบเรื่องและทุกอย่างกำลังจะถึงบทสรุป
ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่นึกแปลกใจเลยที่ฝันอะไรแบบนั้นขึ้นมา เพราะเขาเองเป็นพวกที่พอใจจดจ่อหมกมุ่นกับอะไรแล้วก็มักจะเก็บไปฝันเอาง่าย ๆ
อา...ชักอยากจะลองกลับไปฝันต่อแล้วสิ...
อย่างน้อยได้เจอต้นฉบับทั้งหมดในฝันก็ยังดีล่ะนะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in