ในบางครั้งการจินตนาการถึงรูปธรรมของคนเราก็แตกต่างกันออกไปตามแต่ประสบการณ์ อย่างเช่น หากให้จินตนาการถึงรูปธรรมของความเร็ว ภาพในหัวของหลาย ๆ คนอาจเป็นรถยนต์ เครื่องบิน หรือม้า แต่สำหรับเขา...กลับเป็นประสบการณ์เล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในวันหนึ่ง...
มันเป็นวันธรรมดา ที่คนธรรมดาคนหนึ่งกำลังจะเดินทางไปทำงานเช่นเดียวกับทุก ๆ คน
มีฝนตกปรอยตั้งแต่เช้ามืดพาให้บรรยากาศหม่นมัวแต่ชวนเกียจคร้าน
รีสเดินทอดก้าวอย่างเนิบช้าไปตามถนน ปกติแล้วเขาจะตื่นสายกว่านี้มาก แต่วันนี้แตกต่างออกไปจากวันปกติเล็กน้อย ซึ่งนั่นทำให้เขาต้องฝืนพาตนเองออกจากเตียงอันอบอุ่นทั้งที่เพิ่งได้ทิ้งตัวลงไปเพียงสี่ชั่วโมงกว่า ๆ
สี่แยกขนาดใหญ่ขวางกั้นระหว่างเขากับจุดหมายปลายทาง
ร้านกาแฟขนาดไม่ใหญ่นักตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนน
ชายหนุ่มมองประตูร้านกาแฟที่อยู่ห่างออกไปหลายเมตรก่อนหลุบตามองกระเป๋าหนังที่อยู่ในมือ สิ่งที่เขาต้องทำมีเพียงการเอาของที่อยู่ในนี้ไปส่งให้คนที่รออยู่ในร้าน จากนั้นเขาก็จะสามารถกลับไปนอนต่อได้
สัญญาณไฟยังไม่เปลี่ยนไป ผู้คนเริ่มยืนแออัดกันตรงฟุตบาท ต่างคนต่างคาดหวังจะข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งโดยเร็ว ในชั่วขณะนั้นเองที่ทุกสิ่งเกิดขึ้น มันเป็นเพียงวินาทีสั้น ๆ ที่สัญญาณไฟเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียวเขาก็ถูกใครบางคนกระแทกใส่ด้วยความเร่งร้อน และหลังจากอาการซวนเซเพียงเล็กน้อยรีสก็ได้พบว่า...กระเป๋าที่อยู่ในมือของเขาอันตรธานหายไปเสียแล้ว
ในวูบแรกเขาคิดว่ามันคงตกพื้นตอนที่ถูกชนจึงรีบก้มลงมอง
ไม่ มันไม่อยู่ที่นั่น!
จากความง่วงงุนเมื่อครู่กลับกลายเป็นตาสว่างในชั่วพริบตารีสผงกศีรษะขึ้นมองรอบตัว
กระเป๋าใบสำคัญของเขาหายไปไหน!?
กระนั้นทัศนวิสัยของเขากลับถูกบดบังโดยผู้คนที่เดินสวนมา บางคนก็ส่งเสียงสบถเพราะถูกเขาบังทางสัญจร ทว่าชายหนุ่มไม่ได้นึกใส่ใจ ในหัวมีแต่เพียงคำถามก่อนที่ขาทั้งสองจะก้าวพรวดลงไปบนถนนโดยไม่ได้สังเกตสัญญาณไฟจราจร
เสียงแตรยาวบาดหูปลุกชายหนุ่มขึ้นจากความตระหนก
“ระวัง!” เสียงของใครบางคนตะโกนใส่ในชั่วขณะเดียวกับที่ทั้งร่างลอยหวือขึ้นไปตั้งหลักบนฟุตบาทอีกฝั่งและรถคันหนึ่งแล่นผ่านหน้า เขายังทันได้เห็นใบหน้าเดือดดาลของคนขับด้วยซ้ำ...
“เฮ้ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”คำถามที่ดังกรอกหูเรียกให้สติคืนกลับมาหาตัว และได้เห็นชายแปลกหน้าที่กำลังมองกลับมาด้วยสายตาถมึงทึง
“ไม่...ผมไม่เป็นอะไร” รีสตอบกลับพลางขยับแว่นสายตาให้เข้าที่เข้าทาง จิตใจของเขาไม่ได้จดจ่ออยู่ที่คนถาม รถ หรือถนนหนทางนัก เพราะเมื่อมองเห็นทุกอย่างชัดเจน สิ่งแรกที่ทำก็คือการมองไปรอบๆ เพื่อค้นหาของที่หายไป ทว่า...ไร้ซึ่งวี่แวว
บางส่วนในใจของเขายังเชื่อว่ามันไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่มันอยู่ในมือและเขามองไม่เห็นมันเท่านั้น...
“แคสเลอร์!” ใครบางคนพุ่งออกมาจากร้านกาแฟและตรงดิ่งเข้ามาหาหลังจากชายแปลกหน้าที่ช่วยดึงเขาขึ้นจากถนนเดินจากไปแล้ว “เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ ๆ นายวิ่งตัดหน้ารถแบบนั้น มองไม่เห็นสัญญาณไฟหรือไง!? แล้ว...กระเป๋าของนายหายไปไหน?”
จากคำถามที่ได้ยินทำให้รีสเพิ่งเรียบเรียงความทรงจำได้ว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
ใช่...เขาเพิ่งวิ่งตัดหน้ารถ...
และใช่...
ชายหนุ่มค่อย ๆ สูดหายใจให้อากาศเย็นเข้าไปทำให้สมองชาเล็กน้อย
“ฉันโดนวิ่งราว...” แม้คำตอบจะฟังดูเย็นใจแต่ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นเพราะเขายังไม่อยากเชื่อว่ามันเกิดขึ้นจริงเท่านั้นเอง
<------------------------------------>
ไม่กี่นาทีต่อมารีสก็ถูกพาเข้ามานั่งในร้านกาแฟ ท่าทางของเขาข้างนอกนั่นทำให้ใครต่อใครมองมาด้วยสายตากังขา อย่างน้อยการหลบเข้ามาข้างในก็ทำให้เขารู้สึกตื่นตระหนกน้อยลงได้บ้าง
“เอาล่ะ นายบอกว่านายโดนวิ่งราวก็เลยพยายามจะวิ่งตามโจรใช่ไหม?” ชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะเอ่ยถามพลางนวดขมับตนเอง
รีสพยักหน้ารับ เมื่อตั้งสติแล้วเขาก็เริ่มจดจำทุกอย่างได้และสิ่งที่ติดตรึงในความทรงจำมากที่สุดคือชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่กระแทกเขาจนเกือบล้ม ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากเสียจนไม่อาจจดจำรายละเอียดอื่นได้อีก แต่มันเป็นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นก่อนที่กระเป๋าของเขาจะหายไปจึงมั่นใจได้ว่าต้องเป็นชายคนนั้นอย่างแน่นอน
เสียแต่...ถึงแม้จะสูงใหญ่แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นนักเมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คน
“แล้ว...ต้นฉบับก็อยู่ในนั้นด้วย...”
รีสพยักหน้าอีกครั้ง นั่นทำให้คู่สนทนายิ่งปวดหัวหนัก ฝ่ายเจ้าของกระเป๋าเองได้เห็นบรรณาธิการของตนท่าทางเคร่งเครียดก็อดรู้สึกผิดไม่ได้เพราะหากเขาถือกระเป๋าให้มั่นกว่านี้ หรือรู้ตัวให้เร็วพอที่จะคว้าโจรไว้ทัน อย่างน้อยตอนนี้เขาก็จะมีของมาส่งให้อย่างที่รับปาก
“เอาล่ะ นอกจากต้นฉบับแล้ว กระเป๋าเงินและโทรศัพท์มือถือของนายก็อยู่ในกระเป๋านั้นเหมือนกัน ฉันว่าเราควรจะเริ่มจากการไปแจ้งตำรวจ”
“โทษทีนะ วีลลิส” รีสเอ่ยปาก “ไม่รู้สิจนถึงตอนนี้ฉันยังรู้สึกเหมือนว่าควรจะทำอะไรได้มากกว่านั้น” เขาพูดพลางถอนหายใจมันอาจจะเป็นความรู้สึกผิดและพยายามโกหกตัวเองตามประสาของคนที่เพิ่งสูญเสียของสำคัญแต่ความรู้สึกผิดที่ทำให้อีกฝ่ายต้องมาลำบากด้วยนั้นเป็นของจริงอย่างแน่นอน
ผู้ฟังได้แต่พรูลมหายใจแรง แน่ล่ะเจ้าตัวรู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่าย กระนั้นก็ยังอดฉุนเฉียวไม่ได้
“ช่างมัน” เขาตัดบท “ก่อนอื่นเราไปแจ้งจำตรวจกันก่อนจากนั้นค่อยว่ากันอีกที”
<------------------------------------>
รีส แคสเลอร์ เป็นนักเขียนแนวระทึกขวัญที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในฐานะนักเขียนที่เข้าใจได้ยาก
ในยุคโลกาภิวัตน์ที่นักเขียนส่วนใหญ่จะนิยมใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยในการทำงาน รีสกลับนิยมเขียนต้นฉบับด้วยมือเหมือนอย่างสมัยก่อนที่จะมีเครื่องพิมพ์ดีด ซึ่งนอกจากจะทำให้ทางสำนักพิมพ์ต้องนำต้นฉบับมาทำไฟล์ซ้ำแล้วมันยังเป็นต้นฉบับที่ไม่มีตัวสำรองอีกด้วย
โมแรน วีลลิส บรรณาธิการของรีสซึ่งรู้จักมักจี่กันมานานพยายามอย่างยิ่งที่จะขอให้เจ้าตัวหัดใช้คอมพิวเตอร์เสียบ้าง เพราะการส่งไฟล์ดิจิตอลมันสะดวกกว่ามาก กระนั้นกลับถูกปฏิเสธไปเสียทุกครั้ง
รีสรู้สึกว่าการพิมพ์กับการเขียนเป็นสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เขาไม่สามารถสร้างสรรค์อะไรได้เลยหากปลายนิ้วสัมผัสโดนแต่ปุ่มพลาสติก ความหลงใหลในกลิ่นกระดาษและหมึกเขียนเป็นจุดเริ่มต้นของความใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียนและนั่นทำให้เขายืนยันจะใช้วิธีเดิมต่อไป ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ดีว่าสำเนานั้นสำคัญอย่างไร ปกติจึงมักจะเข้าร้านถ่ายเอกสารก่อนวันส่งต้นฉบับเพื่อสำเนาไว้อย่างน้อยสองชุด
แต่ครั้งนี้...มันเป็นเพราะเขาเพิ่งจะสามารถปิดต้นฉบับได้สี่ชั่วโมงก่อนวันนัดรับ ทำให้เขาต้องหอบหิ้วต้นฉบับตัวจริงออกมาส่งและนั่นกลายเป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดที่กำลังเผชิญในเวลานี้...
<------------------------------------>
รีสกลับมาถึงห้องในตอนบ่ายคล้อยหลังจากแจ้งตำรวจและจัดการเรื่องเอกสารต่าง ๆ เสร็จแล้ว
เขานั่งลงที่โต๊ะทำงานที่มีกระดาษวางเรียงกันเป็นระเบียบ รวมถึงปากกาหลายด้ามเผื่อว่าด้านไหนใช้ไม่ได้ก็จะหยิบอีกด้ามมาใช้ได้ทันที
โชคดีที่ยังไม่ได้โยนช็อตโน้ตทิ้งไป
มันเป็นกระดาษหลายใบที่ถูกตัดเป็นชิ้นเท่าโพสอิทและถูกแม็กซ์ติดกัน เต็มไปด้วยรอยขีดเขียนมากมายทั้งที่ถูกขีดทิ้งหรือบางหน้าก็มีแต่คำศัพท์ที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ แต่ส่วนใหญ่แล้วมันจะถูกจดความคิดบางอย่างลงไปซึ่งอาจจะดูไม่ค่อยต่อเนื่องแต่มันก็เป็นวิธีที่เขาใช้เวลาที่มีความคิดผุดขึ้นมาในหัว
ต้นฉบับที่หายไปนั้นเป็นนิยายเรื่องยาวที่เขาเขียนเป็นครั้งแรก ปกติเขาชอบเรื่องสั้นมากกว่า อย่างไรก็ตาม เขายังจดจำรายละเอียดต่าง ๆ ที่เขียนลงไปได้ ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณความช่างจดช่างบันทึกของตนเอง ทำให้ส่วนสำคัญต่าง ๆ ในต้นฉบับไม่ได้สูญหายไปพร้อมกับมัน
เขาบอกโมแรนเอาไว้ว่าจะเขียนมันขึ้นใหม่อีกชิ้นหนึ่งเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ
ถึงอย่างนั้น...รีสก็รู้แก่ใจดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ต่อให้ไม่ใช่นักเขียนยังเข้าใจสภาพการณ์ของเขา ต่อให้สามารถเขียนเรื่องขึ้นใหม่ได้ด้วยไอเดียเดิมแต่รูปแบบอารมณ์และรายละเอียดปลีกย่อยจะแตกต่างออกไปไม่มากก็น้อย
นั่นทำให้รีสเลือกผละจากโต๊ะแล้วทิ้งตัวเองลงบนโซฟา
น่าจะบอกขอเขียนเรื่องใหม่แทนยังจะดีเสียกว่า
ชายหนุ่มอดคิดเช่นนั้นไม่ได้
ทุกกระเบียดของห้วงอารมณ์ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาได้ถูกทุ่มเทมันลงไปในต้นฉบับอันนั้นหมดสิ้นแล้ว และเมื่อมันจบ ทุกสิ่งของเขาที่เกี่ยวกับมันก็จบลงไปด้วย
หากจะอธิบายง่าย ๆ ก็คือเขาหมดสิ้นความเสน่หาต่อมันไปแล้วตั้งแต่ได้จรดปากกาคำว่า The End
น่าแปลกที่จนถึงตอนนี้รีสยังคงทำใจเชื่อไม่ได้ว่ามันหายไปจริง ๆ เขาอยากจะลุกขึ้นไปค้นโต๊ะ ตู้ หรืออะไรก็ตาม บางทีเขาอาจจะไม่ได้หยิบมันออกไปจากห้องด้วยซ้ำ หรือไม่..เขาอาจจะบังเอิญทำสำเนาเอาไว้มากกว่าครึ่งเรื่อง
เปลือกตาบางปรือปิดลงก่อนลมหายใจจะทอดยาว
ใช่...มันจากไปแล้ว
รีสจำต้องย้ำกับตนเองเพื่อจะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงว่าเขาต้องแก้ไขมัน
เพื่อที่จะทำใจยอมรับได้ง่ายขึ้น ห้วงคำนึงก็เริ่มย้อนกลับไปเมื่อตอนเช้าอีกครั้ง พยายามนึกย้อนกลับไปอย่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกให้ลองทำเผื่อว่าจะจำหน้าคนร้ายได้
ที่จริงมุกนี้เขาก็เคยเขียนลงไปในนิยายเหมือนกัน
คนพวกนั้นพูดว่าอะไรกันนะ?
ใช่แล้ว ความทรงจำของคนเรานั้นซับซ้อนและละเอียดอ่อนกว่าที่ใครจะคาดคิด
มันเป็นสิ่งที่เขียนแต่รีสไม่เคยเชื่อหรอกว่ามันจะเป็นจริง หรือหากมันจริง ก็ต้องถูกกระทำโดยผู้เชี่ยวชาญ ใช่ว่านั่งฌานเอาเองแล้วจะได้ผลเสียเมื่อไหร่
แต่เพราะไม่มีทางเลือก ทั้งร่างตอนนี้ไร้เรี่ยวแรงกระทั่งจะลุกขึ้นไปนั่งจรดปากกาที่โต๊ะตัวเองด้วยซ้ำความทรงจำยามเช้าจึงได้เริ่มเดินหน้าภายใต้เปลือกตาที่ยังเห็นแสงสว่างจากหลอดฟลูออเรสเซนต์อยู่รำไร
กลิ่นควันรถและน้ำค้างผสมปนเปกันในอากาศ มันเป็นอากาศปกติในช่วงเช้าของฤดูนี้
เรื่องราวดำเนินไปจนถึงช่วงสำคัญ
ร่างโปร่งยืนท่ามกลางผู้คนที่นิ่งงันบนฟุตบาท กระเป๋าอยู่ในมือแน่นอน เขาจำได้ว่าก้มลงมองมันอยู่ จากนั้นเกิดอะไรขึ้นอีกนะ?
ไฟจราจรเปลี่ยนสี ผู้คนเริ่มเคลื่อนตัว
การกระแทกจากด้านหลัง
ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องปกติของการเดินกระทบกระทั่งกันในเวลาเร่งด่วน แต่เขากลับติดใจมันเป็นพิเศษเพราะหลังจากนั้นกระเป๋าก็หายไป พอนึกย้อนตอนนี้แล้วรีสรู้สึกราวกับว่ามันเป็นความทรงจำเท็จที่เขาสร้างขึ้นเพื่อหลบหนีจากความเป็นจริงที่เขาได้ทำบางสิ่งหายไปเองเสียด้วยซ้ำ
แน่นอน รวมถึงตัวตนของผู้ชายเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่เขาจำได้ด้วย
เรือนผมสีดำตัดสั้น ดูเป็นทรงที่เด็กวัยรุ่นนิยมกัน เสื้อหนังแขนยาวที่ดูจะร้อนเกินไปหน่อยสำหรับอากาศตอนนี้ บางทีอาจจะเป็นพวกนักซิ่งก็ได้หรืออาจจะเมสเซนเจอร์
ส่วนสูงของคนคนนั้นไม่ได้มากกว่าเขาสักเท่าไหร่ ตอนที่ซวนเซสายตาของเขาอยู่ตรงระดับบ่าของอีกฝ่ายเห็นจะได้
รีสลืมตาขึ้น นั่นน่าแปลกใจมากจริง ๆ ที่เขาจดจำได้มากถึงขนาดนั้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีเดียว
ไม่สิ...หรือว่าจะเป็นเสื้อสเวตเตอร์กันนะ? เสื้อสเวตเตอร์กับกางเกงยีนส์หรือเปล่า?
บ้าจริง! เขาไม่ได้ก้มลงมองด้วยซ้ำ จะไปเห็นกางเกงได้ยังไง!?
ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นแล้วถอดแว่นออก เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำเรื่องไร้สาระ ความทรงจำของเขาก็เริ่มสับสนจนแยกไม่ออกว่าอันไหนคือความจริงและอันไหนคือสิ่งที่คาดการณ์เอาเอง เพราะในความเป็นจริงก็คือ...
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไปเสียจนเขาไม่ทันได้สังเกตอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว
<------------------------------------>
สารภาพว่า...เราเขียนตอนนี้ขึ้นจากความรู้สึกที่จำได้ตอนโดนกรีดกระเป๋าครั้งแรกค่ะ ตอนที่รู้ตัวว่ากระเป๋าหายเราใช้เวลานานมากจริง ๆ ในการยอมรับความจริง เหมือนยังหลอกตัวเองอยู่เลยว่ามันยังอยู่เราแค่หาไม่เจอ หรือเราอาจจะแค่ทำบางอย่างผิดพลาดไป :'D
เรื่องนี้เราตั้งใจจะเขียนเป็นเรื่องยาว โดยแต่ละตอนจะเป็นประเด็นตามหัวข้อสุ่มในแท็ก Inktober ดังนั้นเราจะไม่มีพล็อตอะไรเป็นพิเศษเลย ขึ้นกับว่าหัวข้อวันต่อไปจะเกี่ยวกับอะไร รวมถึงความยาวแต่ละตอนก็อาจจะยาวหรือสั้นไม่เท่ากัน แต่เราเองก็ไม่มั่นใจนะคะว่าจะสามารถทำชาเลนจ์ได้ทุกวันจริงๆไหม เพราะเราเองก็ร้างลาจากการเขียนนิยายไปนานเพราะเรื่องหลาย ๆ อย่าง แม้แต่สำนวนตัวเองยังต้องทบทวนใหม่ ได้แต่หวังว่าจะทำสำเร็จแหละนะคะ orz
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in