ชื่อของผมในฐานะชาวประมงนั้นก็ถือเป็นที่รู้จักอยู่ทั่วชานเมืองเนอาโปลิส ทุกวันผมจะนั่งเรือลำเล็กออกไปทอดแหที่ชายทะเล สักพักก็นั่งเรือแล่นออกไปอีกสักหน่อย ปล่อยให้ตัวเองชื่นชมความงามของทัศนวิสัยริมขอบฟ้าพวกนั้นจนชินตา นกนางนวลสีขาวบนฟ้าครามร้องเสียงเจี้ยวแจ้วประดับฉาก ตัดเสียงคลื่นสีขาวกระทบขอบเรือนั่นราวกับเมโลดี้ที่ถูกแต่มแต้มไว้เป็นอย่างดี
ตั้งแต่ตอนนั้นที่คุณพ่อจากไปผมก็รับงานชาวประมงนี่มาตลอด อาจจะพูดยากว่าที่รับมาก็เพราะเป็นธุรกิจของพ่อที่ทำมาตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กตัวเล็ก เอาเข้าจริงก็เพราะแม่ด้วยส่วนนึงผมถึงไม่ได้ออกไปไกลจากชานเมืองนี่เสียเท่าไหร่
ทุกวันผมจะรอจนกว่าวันปีใหม่ของทุกปีจะมาถึง
วันที่แม่กลับมาบ้าน พร้อมกับผู้ชายคนใหม่ที่แม่แต่งงานด้วย
จะว่าผมงี่เง่าก็คงไม่แปลกอะไร แม่ที่ทิ้งผมกับพ่อออกไปหาสีสันพวกนั้นต่อให้ผมจะรักแค่ไหนก็คงทำใจชอบอีกครั้งไม่ลง
ทว่าเรื่องมันก็ผ่านมาสิบกว่าปีเข้าไปแล้ว จะให้ผมทำตัวเงอะงะขี้งอแงแบบเด็กเล็กๆนั่นคงจะเสียหน้าวัยรุ่นกำลังโตไม่ใช่น้อย อย่างว่า กล่าวทักทายสวัสดีสักครั้ง หาข้าวปลาให้เขาทาน พาเดินเล่นไปทั่วแบบที่เคยทำ
ก็แค่เรื่องเดิมๆที่ผมต้องทำในทุก ๆ ปี
ผมเริ่มเขียนบันทึกเล่มแรกเมื่ออายุได้ 15 ปี
บนสมุดบันทึกหน้าแรก ผมเริ่มด้วยเรื่องราวของการอยู่ตัวคนเดียว ชีวิตชาวประมงของผมมันเริ่มจากตรงนั้น
ทั้งทุกข์และสุข แต่ละวันของผมถูกแต่งแต้มเป็นตัวอักษร เรียงร้อยถ้อยคำแสนวิเศษลงบนแผ่นกระดาษสีชา บางวันก็เป็นเพียงเรื่องราวสั้นๆไม่กี่บรรทัด บางวันก็ราวกับนิทานเล่มเล็กที่หาได้ตามท้องตลาด รู้ตัวอีกทีการเขียนบันทึกก็กลายเป็นชีวิตประจำวันของผมไปเสีย
น้ำหมึกหยดลงบนผิวกระดาษผิวหยาบ ร้องเรียงตัวอักษรออกมาตามความรู้สึก บางครั้งก็เผลอกดหมึกแรงไปจนน้ำหมึกสีทมิฬทะลุไปหลายหน้ากระดาษ แต่ผมก็ใช่จะถือสาอะไร
ยังไงเสียก็มีแต่ผมที่จะได้อ่านเรื่องราวแสนวิเศษที่ว่านี่
จากเล่มที่หนึ่ง สู่เล่มที่สอง
เล่มที่สาม
เล่มที่สี่..
เล่มที่ห้า…
ไม่นานอายุของผมก็ก้าวเข้าสู่ปีที่ 20
ชื่อเสียงของผมโด่งดังในหมู่ของชาวประมงด้วยกันในฐานะเด็กหนุ่มมากกำลังท่ามกลางหมู่ผู้ใหญ่ ทุกสิ่งค่อยๆเติบโตขึ้นด้วยความห่วงใยและความรู้มากมาย รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นที่รู้จักของผู้คนรอบเนอาโปลิส เสียงขานเรียกชื่อของผมที่ได้ยินจนชินหู ตอบรับคำเรียกเหล่านั้นด้วยรอยยิ้ม
ชาวประมงหนุ่มบนผืนทะเลสีคราม
กลายเป็นที่รักชอบของผู้คนมากมาย ราวกับของขวัญแสนล้ำค่าที่เปลี่ยนชีวิตแสนบัดซบนั่นให้มันมลายหายไปผ่านตัวอักษรที่ร้อยเรียงขึ้นมาในทุก ๆ วัน
ครั้งหนึ่งผมออกไปหาปลา นั่งเรือออกไป ทอดแหยาวลงทะเลแสนกว้างใหญ่
ลมยามบ่ายพัดประหน้าเสียจนผมหน้าม้ายุ่งกระเซิง ทิวากรสาดแสงอ่อนผ่านกลุ่มเมฆหนาที่บดบังไว้ราวกับไม่ต้องการให้ผู้ใดก้าวผ่าน นกนางนวลขาวยังคงส่งเสียงเจื้อยแจ้วตัดคลื่นขาวกระทบขอบเรือไม่ขาดสาย ผมล่องเรืออยู่ข้างนอกนั่นเกือบวัน ปล่อยให้ปลาเข้ามาติดแห พอตกเย็นก็จัดการเก็บกวาดทุกอย่างแล้วค่อยกลับมาเริ่มใหม่ในอีกวัน
ชีวิตของผมดำเนินด้วยเรื่องราวแบบนั้น เรื่องราวแสนวิเศษที่ผมลงมือเขียนมาตลอดห้าปี เนื้อเรื่องเดิมๆบนกระดาษสีชา ไม่มีอะไรแปลกใหม่หรือแตกต่าง
ผมเคยคิดแบบนั้นมาตลอด
กระทั่งวันที่ผมได้พบกับเธอ
" ..ตัวเธอผู้แสนวิเศษ
เธอผู้ไม่เหมือนใครและจะหาใครเหมือน
ดวงตาของเธอส่องประกายยามเมื่อต้องแสงทินกร
งดงามยิ่งกว่าสิ่งใดที่ผมเคยพบ
ครั้งหนึ่งผมเคยได้ยินเสียงเรียกจากเธอ
ราวกับเสียงแห่งความหวังที่รอวันกังวาน
รู้ตัวอีกทีผมก็เผลอหลงรักเข้าเสียเต็มอก
หลงรักเข้ากับสิ่งที่ไม่รู้จัก
หลงรักกับสิ่งที่ไม่ทราบแม้แต่นาม
สิ่งที่สัมผัสได้หากจะมีแต่เสียงของเธอจากท้องทะเลไร้จุดจบ.. "
ตั้งแต่ที่ผมได้ยินเสียงของเธอในวันนั้น
รู้ตัวอีกทีก็ลบมันออกไปไม่ได้เสียแล้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in