สวัสดีทุกคน
เคยมีคนบอกว่าอะไรที่เป็นครั้งแรกมักยากเสมอ ไม่เพียงแต่การเอาชนะใจตัวเองไม่ให้กลัวเท่านั้น
แต่ยังรวมถึงการสร้างแรงผลักดันตัวเองให้กล้าเผชิญหน้าเช่นกัน
วันหนึ่งในระยะเวลาห้าปีกว่าๆของการทำงานในสายงานสอบบัญชี มันทำให้เรารู้สึกอึดอัดกับสิ่งที่คอยกรอบเราให้ทุกเช้าเราต้องตื่นขึ้นไปทำงาน และคอยทุ่มเทให้กับงานจนกลับบ้านดึกดื่น วนเป็นลูปไปเป็นเวลากว่าห้าปีในบริษัทที่เด็กจบใหม่หลายคนเฝ้าฝันอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ประกอบกับการลงเรียนปริญญาโท ที่ทำให้การจัดสรรเวลาเป็นไปด้วยการบีบอัด จนรู้ตัวอีกทีความกระตือรือร้นที่เราเคยมีในวันแรกที่เริ่มทำงาน มันกลับเริ่มลดระดับแรงใจในการอยากไปทำงาน
วันนั้นจึงเป็นวันที่เราตัดสินใจอยากลองออกจากกรอบที่เราสร้างขึ้นมา เพื่อออกไปรู้จักกับกรอบที่ใหญ่ขึ้นกว่ากรอบการทำงาน>>เรียน>>กลับบ้าน นั่นคือเราตัดสินใจเข้าร่วมโครงการนักศึกษาแลกเปลี่ยนไปเนเธอร์แลนด์ แดนนมโค
Rotterdam School of Management (RSM) เป็นสถาบันที่ตอบรับเราเข้าร่วมโครงการ นั่นหมายความว่าเราจะได้ไปอยู่ประเทศนอกเป็นเวลาถึงกว่าห้าเดือน ในประเทศที่พูดภาษาดัชต์ พอพอกับภาษาอังกฤษ ทันทีที่เราได้รับอีเมล์จาก RSM ความกระตือรือร้นก็กลับมา นี่สินะเวลาที่เราได้ลงทำอะไรใหม่ๆ ไฟในตัวเราก็จะลุกโชน มันอาจเป็นเพราะธรรมชาติของมนุษย์เราเองที่จะต้องเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ไม่ปกติ
Rotterdam คือชื่อเมืองที่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย ซึ่งอยู่ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ดินแดนโคนม และดอกทิวลิป เป็นเมืองท่าเรือที่สำคัญของยุโรปถึงขนาดที่ว่ามีการจัดงานสัปดาห์ท่าเรือ (Week of Port Day) ที่บริษัทต่างๆที่ตั้งอยู่ในบริเวณท่าเรือมาเป็นผู้สนับสนุนใหญ่ของการจัดงาน สิ่งของต่างๆตั้งแต่น้ำมัน รถยนต์ โกโก้ลามปามไปถึงเครื่องเทศในครัวต่างๆก็ถูกขนส่งจากหลายที่ในโลกไปขึ้นที่ท่าเรือนี้
จากการที่เมืองนี้อยู่ในประเทศเนเธอร์แลนด์ จึงไม่แปลกที่คนรู้จักจะได้ยินและถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงว่าจะอยู่ได้ไหมเพราะภาษาที่เป็นตัวกลางในการสื่อสารของเราและของเค้า หรือแม้แต่ของสากลมันไม่เหมือนกัน แต่สำหรับเราเรากลับตื่นเต้นที่จะได้เจอมากกว่า ไม่รู้สิ! สำหรับเราเราเชื่อว่าทุกคนมีสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ดังนั้นเราก็มั่นใจว่าเราเองก็มีสัญชาตญาณนั้นอย่างเต็มเปี่ยม
วันแรกที่เราไปถึง อากาศค่อนข้างเย็น อาจเพราะฝนตก เราเริ่มต้นด้วยการถูกปล่อยลงจากรถที่ทางมหาวิทยาลัยจัดไปรับนักศึกษาที่สนามบิน หลังจากที่รถวนไปส่งนักศึกษาตามหอพักของมหาวิทยาลัยที่ไม่เอื้อให้กับนักศึกษาที่มีระยะเวลาเพียง 5 เดือนอย่างเรา เนื่องจากมันได้ถูกสำรองให้กับสำหรับนักศึกษาที่มีระยะเวลาเรียนมากกว่า 1 ปี อีกทั้งรถยังงวนไปส่งนักศึกษาที่เช่าหอนอก/โฮสเทลที่มีสายสัมพันธ์กับทางมหาวิทยาลัย ซึ่งราคาต่อเดือนก็แพงไม่เบาหลังจากคิดคำนวนคูณอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว
เราผู้ที่ยืนอยู่ใต้ท้องฟ้าของเมืองร็อตเตอร์ดัมในเวลาเกือบห้าทุ่ม ภายใต้เสื้อสูทเนื้อบางตามสถาพอากาศเมืองไทย และสองมือกึ่งลากกึ่งจูงกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่สองใบ พร้อมสะพายเป้โน๊ตบุคใบโตที่่หลัง ดังนั้นผมที่อยู่บนหัวจึงลู่ตามแรงโน้มถ่วงและสายฝนอย่างไม่ต้องสงสัย เรามีหน้าที่เดินไปหาสถานที่ที่เราได้นัดเจอกับเจ้าของบ้านที่เราเช่าบ้านเค้า ผู้ที่มีน้ำใจมารับเราเพียงเพราะเราบอกเค้าว่าเรามีกระเป๋าใบโตถึงสองใบ เค้าเสนอตัวจะมาช่วยขนกระเป๋าเข้าบ้าน โดยที่สถานที่ที่เจ้าของบ้านนัดกับเรานั้นเรามารู้ในวันรุ่งขึ้นว่ามันคือแลนด์มาร์คของเมืองนี้นั่นคือตึก Cube สีเหลืองรูปทรงแปลกตา
นั่นไง! ผู้หญิงผิวสีน้ำผึ้ง ฟันขาว รูปร่างสูงโปร่ง อกเอวสะโพกมาเต็มตามตำรับผู้หญิงละติน ตามรูปที่เราเห็นตอนที่เรานัดสไกป์กับเธอเพื่อตกลงเช่าบ้านเป็นระยะเวลา 5 เดือน เธอชื่อ เดียน่า เป็นสาวโคลอมเบียน ที่พูดภาษาสเปน แต่อยากพูดภาษาอังกฤษคล่องๆ เลยบินมาเรียนที่อังกฤษ ก่อนจะได้รุ็จักกับแฟนหนุ่มชาวดัชต์เลยตัดสินใจมาเรียนต่อปริญญาโทอีกใบที่ RSM เธออาสาขอลากกระเป๋าใบที่หนักกว่าขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อกลับอพาร์ทเม้นที่เราจะได้อยู่กับเธออีกห้าเดือนต่อแต่นี้
อพาร์ทเม้นที่เธออนุญาตให้เรามาอยู่ด้วยนั้นนับว่าสะดวกสบายทีเดียว เพราะบันไดรถไฟฟ้าแทบจะจอดเทียบหน้าตึก และข่าวดีเราอยู่ชั้น 16 ชั้นขนาดนี้ถ้าอยู่กรุงเทพกับเราเองคงรู้สึกเฉยๆ เพราะสถานที่ทำงานเราเองแต่เดิมก็อยู่ชั้นยี่สิบกว่าๆ แต่สำหรับที่นี่ ที่ร็อตเตอร์ดัมชั้นที่สิบหกในบริเวณที่อยู่นับว่าเป็นตึกที่สูงจนสามารถเห็นเส้นขอบฟ้าได้เลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้นข้างของเครื่องใช้ในบ้านของเธอ เธออนุญาตให้เราสามารถหยิบ จับ แตะ แกะ วาง กด ใช้ ได้ทุกชิ้น ย้ำว่าทุกชิ้น! ประหนึ่งเหมือนเราได้เช่าโรงแรมอยู่ แต่เราต้องทำความสะอาดเอง ยังไม่หมด.....
เธอยังกล้าทิ้งบ้านเธอไว้กับเราถึงหนึ่งเดือนเต็ม โดยเธอให้เหตุผลกับเราว่าเธออยากกลับไปเยี่ยมบ้านที่โคลอมเบีย เธอยังมีน้ำใจถามเราว่าเราสามารถอยู่คนเดียวได้หรือไม่ระหว่างที่เธอกลับบ้านที่อยู่อีกครึ่งโลก นั่นสินะมันเป็นคำถามที่เราควรกังวลหรือว่าเราจะอยู่คนเดียวในอพาร์ทเม้นขนาด 3 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องครัว 2 ห้องน้ำ และ 1 ห้องเอนกประสงค์ คนเดียวในเวลา 1 เดือนได้ไหม??
หลังจากที่ฟังจนแน่ใจว่าเราฟังและแปลความหมายของประโยคที่เธอพูดไม่ผิด เราก็ถามกลับไปว่าความกล้าระดับไหนกันนะที่ทำให้คนที่เพิ่งเจอกันไม่ถึง 48 ชั่วโมงคนนี้อยู่ในบ้านเธอ ในขณะที่เธอบินข้ามโลกไปอยู่กับครอบครัวเธออีกประเทศนึงเป็นระยะเวลากว่า 1 เดือน .... หรือนี่คือความเชื่อใจในระดับปกติที่คนเมืองอย่างเราไม่เคยพบเจอมาก่อน???
---- To be continued ----
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in