ไอรดาไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนรอบคอบ แต่ก็ไม่คิดว่าความหละหลวมและหลุดโลกของเธอจะทำให้ต้นมะม่วงโตขึ้นสูงจนไปพันกิ่งมั่วซั่วกับเล็บมือนาง
นั่นคือเรื่องใหญ่มาก
หญิงสาวยืนถือเลื่อยและกรรไกร เวลาสี่ห้าโมงเย็น และบรรยากาศทึมเทาเหมือนฝนจะร่วงลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ หมวกฟางและกางเกงลินินที่เธอสวมใส่ไม่เข้ากันเลยกับสถานการณ์ แต่เธอทนไม่ได้อีกแล้ว ไม่รู้จะขอบใจหรือโทษสายตาที่เผลอผินมองลอดหน้าต่างมาเจอโศกนาฏกรรมของพฤกษศาสตร์ในรั้วบ้าน
ไอรดาทิ้งผงหวานจากข้างบ้านไว้กับโต๊ะในครัว แล้ววิ่งฉิวมาที่สวนหลังบ้านพร้อมกับกระไดและเครื่องมือสองสามอย่างที่เคยซื้อติดบ้านไว้ตอนไปตลาดต้นไม้กับขจี
ลมหวิวพัดมาพร้อมกับเม็ดฝนที่หญิงสาวคิดไปเอง บ้านเขาเงียบกริบ ไฟปิดมืด เปิดสปอตไลท์ไว้แค่สวนที่พ้องเกี่ยวกับบ้านเธอด้วยประตูเล็กๆ ที่เขาเพิ่งแบกเครื่องมือมาสร้างไว้เมื่อเดือนที่แล้ว
ว่าไปก็รู้จักกันมาหลายเดือน แต่ยังมีมุมที่เธอรู้สึกว่าไม่รู้จักเขาเลย
ผู้ชายหน้าตาไม่สื่ออารมณ์ เอาแต่ใจ คิดอะไรไม่ออกก็สูบบุหรี่ ชอบจ้องตึกประหลาด และไม่ชอบอธิบายในทุกการกระทำที่เข้าใจยากของตัวเอง เมื่อวานเขาบอกเธอว่าต้องไปกรุงเทพฯ แต่ส่งรูปมาอีกทีเห็นว่าอยู่โทราจาแลนด์ อินโดนีเซีย
เขาส่งรูปมาด้วย เป็นรูปบ้านไม้เบลอๆ ทรงสี่เหลี่ยมคางหมูหลังคาเว้าเรียงกัน คาดว่าน่าจะเป็นสถาปัตยกรรมประจำหมู่บ้านหรือประจำชนเผ่าที่นั่น เขาพิมพ์บอกมาสั้นๆ ว่า "เซ็กซี่เนอะ"
เซ็กซี่มายแอส ปัญญาอ่อน
ไอรดาตั้งบันไดและค่อยๆ ปีนขึ้นไปทีละขั้น พื้นหญ้าและความขรุขระของดินทำให้เธอต้องทรงตัวมากกว่าเดิม แต่กิ่งมะม่วงไม่ได้อยู่ห่างจากการเอื้อมไปตัดเท่าไหร่นัก แวบนึงเธอนึกถึงความตื่นเต้นของชาวสวนและสารพัดช่างที่ต้องปีนป่ายทั้งหลาย มันดูน่าสนุกอยู่หรอก แต่หลังจากที่เธอนั่งบนขั้นบนสุดของบันไดแล้ววางกรรไกรลงกับตัก ไอรดาก็รู้สึกวูบหวิว แขนยาวรีบคว้ากิ่งมะม่วงและเลื่อยมันออกด้วยความระมัดระวัง
ระมัดระวัง
คำว่าระมัดระวังของคนเราไม่เคยเท่ากัน นั่นคือคำที่พี่ชายเธอบอกหลังจากที่ไอรดาในอายุสิบขวบโดนกองหนังสือทับเพราะดึงหนังสือออกจากชั้นแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ
แต่ตอนนั้นเธอยิ้มแก้มปริ มันเป็นฉากที่เด็กสาวใฝ่ฝันหลังจากได้ฟังเมโลดี้เพลงลูกกรุงสุนทราภรณ์ที่ใครสักคนเปิดทิ้งไว้ นี่คือความลี้ลับของคลาสสิคที่เธอหาไม่ได้จากคลารา ชูมันน์ มันนุ่มละมุน และชวนโหยหาถึงบ้านเก่า
เด็กหญิงไอรดาในวัยนั้นไม่ต้องการพระเอกในการ์ตูนตาหวาน เธอแค่อยากโดนกองหนังสือหล่นทับ เจ็บปวด และยิ้มกว้างไปอีกเมื่อเห็นว่าตัวเองหยิบรักในม่านเมฆของบุษยมาศขึ้นมาเป็นเล่มแรก ไม่ใช่เล่มใดๆ ของโรอัล ดาห์ล
แน่นอน ตอนนั้นเธอเป็นยัยป้าในร่างเด็ก
แต่เธอก็บ้าบอไปกับดาห์ลมากนะ ความสลดไสลในการเป็นผู้ใหญ่ของเขาบอบช้ำ ขำขันแห้งๆ และเชือดแทงกันด้วยความเป็นเด็ก เด็กสาวผู้โชคร้ายที่ไปอ่านมันเข้าให้ จึงต้องจำใจเลิกประโลมโลก หันมาจดๆ จ้องๆ อยู่กับวิทยาศาสตร์และพันธุกรรมในยีสต์แทน
อย่างน้อยโรอัล ดาห์ลก็เป็นแรงบันดาลใจให้ป้าในร่างเด็กอบขนมปังอย่างจริงจัง
คราวนี้พายุเริ่มพัดจริงและพัดแรง เม็ดฝนไม่ได้หลอกลวงเธอเล่นอีกแล้ว กลิ่นจางๆ ของผงหวานประหลาดแซมใบมะม่วง เตือนเธอว่าฝันเยอะเกินไปแล้วในขณะที่เลื่อยกิ่งผอมๆ ของมัน
ไอรดาขยับตัว โยกข้ามบันไดและเอื้อมไปหวังจะตัดกิ่งเฟื่องฟ้าที่พัวพันกับใบมะม่วง น่าเสียดายที่เธออ่านวอลแตร์มากมายหลายรอบ แต่ก็ยังเป็นคนสวนที่ไม่ดีพอ วินาทีที่กิ่งเฟื่องฟ้าเลื้อยตัวหนีเพราะแรงลม ร่างของเธอก็หวือไปจากบันไดด้วยเพราะกะระยะพลาด
ตุ้บ!
ฝนตกจริง ตกลงแรงพร้อมแรงโน้มถ่วง รวมทั้งตัวเธอด้วย โชคยังดีที่กรรไกรกับเลื่อยลอยเลื่อนไปที่อื่น ไอรดากระแทกข้อศอกด้านซ้ายลงกับพื้นหญ้า น้ำฝนห่อหุ้มตัวเธอไว้ไม่ได้ ความเจ็บปวดยังชาอยู่ในโลกอื่น แต่หน้าตาเธอซีดยิ่งกว่าหยดน้ำ แขนหักแน่ๆ แล้ว แล้วพายโรสแมรี่ล่ะ วิปครีมสูตรเนยล่ะ หรือคุ้กกี้สมาร์ทตี้ที่ต้องส่งให้คิเอะพรุ่งนี้ล่ะ
ไอรดาลองยันตัวจากพื้นหญ้า และพบว่ากระดูกทรยศเธอจริงๆ
เธอนอนอยู่อย่างนั้นราวสองนาที ปล่อยให้กลุ่มฝนทักทายเสี้ยวหน้าด้านข้างและนอนตะแคงอยู่ในท่าที่เหมือนในหนังฆาตกรรม ร้ายแรง ไม่คาดฝัน มันคืออนาคตที่เธอจะต้องไปเข้าห้องหมอก่อนห้องหอมในครัวที่บ้าน
“ไอร์!”
นั่นคือเสียงตัวเธอเรียกตัวเธอเอง ดึงสติกลับมาคิดว่าควรจะลุกดีหรือนอนไว้แบบนี้กระดูกจะได้ไม่ผิดรูป แต่เธอจะนอนตากฝนใต้ต้นมะม่วงไปจนนกกาบินมาเกาะเลยหรือไง ไม่มีอะไรเข้ารูปเข้ารอยเลย
วิทยาศาสตร์! ลืม ลืม ลืม!
มันจะดูตลกแค่ไหนที่ต้องนอนแบ่บเหมือนเหยื่อในฮันนิบาล รอให้นักเขียนประสาทหลอนมาฝังเหมือนในหนัง secret window ป้าข้างบ้านไม่อยู่ ขจีก็อยู่วันเดอร์ลาลาแลนด์อะไรไม่รู้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากลีบเดซีไม่ใช่กลีบเดซี แต่ขจีไม่ใช่หมอ เขาเป็นสถาปนิกโลกแตก ถ้าเขาเห็นเธออยู่ในสภาพตอนนี้ คนหน้าซึนอาจจะแค่จุดบุหรี่สูบเพราะทำอะไรไม่ถูกแม้จะรู้ว่าฝนกำลังด่าทอใครสักคนอย่างบ้าคลั่ง
“ไอร์!”
เธอต้องเรียกตัวเองสักอีกกี่ครั้งกันถึงจะรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเรียนตอนม.4 แล้วใครจะไปจำ เธอนั่งวาดดูเดิลอยู่ด้วยซ้ำตอนที่ครูอธิบายเรื่องผายปอด เหนือไปกว่านั้น เธอจะไปปฐมพยาบาลตัวเองได้อีท่าไหน เสียงเดิมๆ เรียกเธออีกครั้งพร้อมหยดฝนที่หางตา
ในความพร่ามัว ผู้ชายรูปร่างคุ้นๆ รุดเข้ามาพร้อมร่ม
ไอรดาอดไม่ได้จริงๆ ที่จะนึกถึงฉากหงส์ในทะเลสาบโง่ๆ นี่มันละครน้ำเน่าช่องอะไร
ขจีเกลียดหนังรักชวนหัว แต่ตอนนี้เขาเกลียดเธอมากกว่า เขาเพิ่งกลับมาจากไปดูงานที่โทราจาแลนด์ ไกด์ท้องถิ่นพาเข้าป่าไปในซอกหลืบที่ไม่ถูกระบุไว้ในกูเกิล ในนั้นมีเสียงประหลาดและน่าจะมีสัตว์ประหลาดมากมายด้วย ยิ่งมืดเสียงยิ่งก้องลึก มันคุ้มค่าที่จะได้เห็นโมเดลของหมู่บ้านเรียงเป็นสัดส่วนทองคำจากมุมนี้ แต่ขจีไม่แน่ใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดออกไปจากป่าลึกลับนี้ไหม
แต่เขาก็รอดมาได้ ในระยะวิ่งหนีหมีป่า 300 เมตรสุดท้าย มีแผลจากกิ่งไม้ รอยเปื้อนโคลนและความผวาเหวอนิดๆ หน่อยๆ
แวบแรกที่โยนร่มๆ มั่วๆ ไว้แล้วดื่มน้ำอุ่นในครัว ความตั้งใจแรกและสุดท้ายคือขึ้นไปนอนแบ่บบนบ้าน แต่ก็เกือบจะสำลักเมื่อเห็นบันไดและร่างคุ้นๆ ที่นอนกองอยู่ตรงสนามหญ้าของอีกบ้าน สมองยึดโครงสร้างของเขาไม่ต้องจินตนาการอะไรมากเลย สร้างประตูได้แค่เดือนเดียวก็มีเรื่องให้ต้องใช้แล้ว
เขาวิ่งออกไปในสปีดเดียวกับที่หนีหมีในป่าที่โทราจาแลนด์ จินตนาการพัวพันเพราะสมองยังปรับสมดุลไม่ได้ ยิ่งเรียกแล้วไอรดาไม่ตอบ เขาก็ยิ่งเกลียดสถานการณ์ เสียงโหยหวนเบาๆ ในพงไพรที่อินโดนีเซียหลอนประสาทยิกๆ
ทำไมถึงขยันสร้างเหตุฉุกเฉินนัก ชายหนุ่มเขย่าตัวเธอ ตบข้างแก้มเบาๆ
“ไอร์! ไอร์ ตื่นสิ ทำไมมานอนอยู่ตรงนี้ เจ็บตรงไหนรึเปล่า”
"เราตกบันได” ขจีพรูลมหายใจ โล่งใจที่เธอตอบมากกว่า แม้มันจะไม่เคยตรงคำถามเขาเลย
“พี่รู้แล้ว แขนหักใช่ไหม ขาด้วยรึเปล่า? ทำไมไม่ระวัง เคยบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้ปีนมั่วซั่ว” เขาฉุน ครั้งที่แล้วก็หม้อไหในชั้นวางของที่ดีไซน์มาเลวๆ หล่นทับ ขจีไม่สนใจฝน นี่เธอล่าแต้มอารมณ์หงุดหงิดจากเขาโดยการตกนู่กตกนี่หรือไง
"ไม่ได้ปีนมั่วซั่ว เราจะตัดกิ่งเฟื่องฟ้า มันรกบ้าน"
"แล้วตัดยังไงตกลงมาแบบนี้ เห็นอยู่ว่าบันไดมันไม่แข็งแรง"
ไอรดาเม้มริมฝีปาก เธอทนฝนด่าทอแล้วต้องมาทนเขาอีกหรือไง
“ลุกได้ไหม ต้องไปหาหมอ” น้ำเสียงเขาขึงขังขัดกับหางตาตกของเธอ โทราจาแลนด์ทำพิษ ความทึบของป่าทำให้เขามีความกังวลต่อมนุษย์คนอื่นมากไป มองผ่านม่านฝนแล้วไอรดาเหมือนเด็กที่กำลังโดนแย่งหนังสือไปทั้งชั้น
“ไม่ไป แขนอาจจะไม่ได้หัก” ฝนไม่มีวี่แววว่าจะเสื่อมมนตร์ เขาไม่เข้าใจความดื้อของเธอ หญิงสาวทำตัวแนบกับพื้นหญ้าไว้แม้จะเจ็บแขนมาก แต่เธอไม่สนใจ ความหงุดหงิดคือเรื่องใหญ่ที่สุด มันไม่ใช่เรื่องของเขาเลยที่ต้องมาเจอเธอเป็นแบบนี้ เธอขอให้โทราจาแลนด์อะไรนั่นดูดเขากลับไปยามที่เขาตะโกนฝ่าฝนกลับมา
“ไอรดา หยุดดื้อ แล้วลุกขึ้นมา” มันคือเวลานั้นเอง ที่เขายืนเฉยๆ แล้วมองเธอจัดๆ ฝนก็ตกรอบดวงตา มีวูบหนึ่งที่เธอรู้ว่าตัวเองไม่ได้เจ็บแขน
ไอรดาค่อยๆ ยันตัวด้วยความโกรธไม่ถึงครึ่ง ไม่พูดอะไรเพราะไม่จำเป็น พวกเขาทะเลาะกันเพราะอุบัติเหตุอีกแล้ว เธอ เขา หรือฝนนี่แหละที่งี่เง่า เขาสบถเป็นร้อยในใจเพราะรู้ว่ามนุษยธรรมจะต้องดึงให้คิดว่าควรจะช่วยเธอ แต่มนุษยธรรมไม่ใช่ตัวละครที่ชัดเจนในสถานการณ์นี้ ขจีเกลียดสิ่งที่เขากำลังจะทำต่อไปยามที่เธอก้าวผ่านหน้าไปเหมือนไม่ได้เจ็บอะไร
นิยายรักชวนหัวปัญญานิ่มควรระบุเขาเน้นๆ ให้เป็นตัวเอกสมองปลากระป๋องได้แล้ว สำเร็จรูปไร้สติแบบนี้
“ไม่เถียงแล้ว… ไอร์ หลับตา”
ไอรดากำลังคิดหาทางเข้าประตูหลังบ้านจนได้กลิ่นฤดูร้อนจากเสื้อเชิ้ตเปียกชุ่มของเขา มันมีกลิ่นต้นสนจากป่า เธอร้องเสียงหลงเพราะกระดูกเคลื่อนเมื่อเขาอุ้มเธอขึ้น
"เยี่ยม จากที่แขนไม่หัก ตอนนี้น่าจะหักแล้ว แน่ใจหรอว่ามาช่วย"
"เงียบแล้วอยู่นิ่งๆ.. ยีสต์" เขาไม่ปลอบใจหรืออ้างอิงอะไรทั้งสิ้น บ่นเรื่องปลากระป๋องอะไรสักอย่างและบอกเธอเบาๆ ว่าอย่าขยับมาก เธอจะไปขยับอะไรได้ ระยะประชิดไม่ได้ให้โอกาสนั้นเลย หญิงสาวตัวแข็งเพราะผิวสัมผัสและอาการแปลบหนักที่แขน อยากได้ไอซิ่งมาบรรเทาความโกรธ ขจีปราดสายตาให้เธออยู่นิ่งๆ
"ต้องสร้างซีนจนได้ แค่จะพาไปหาหมอเนี่ย"
เธอหลับตา เจ็บแขนที่สุด อยากอบขนม เกลียดหมอล่วงหน้า โกรธเฟื่องฟ้า และอยากหายตัวไปโลกอื่น
……
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in