ตั้งแต่วันนั้นที่เราได้พบกัน เชื่อไหมว่าผมกับเขาก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยนานนับสองเดือน ผมหมายถึงการเจอกันแบบประจันหน้า บางครั้งเราเดินสวนกันไปมาบ้างในคณะแต่เราก็ได้แต่มองผ่านเลยกันไป บางครั้งผมคิดว่าผมควรเดินไปทักอะไรเขาบ้างแต่ก็ได้แค่คิด เพราะไม่มีเหตุผล ไม่มีความเป็นจำเป็นเลยที่จะทำอย่างนั้น กลับจะเป็นเรื่องหน้าแตกเสียอีกถ้าผมเข้าไปทักแล้วเขาทำเป็นไม่รู้จัก...ซึ่งอันที่จริงเราก็ยังไม่รู้จักกันอย่างเป็นทางการเลย
ผมครุ่นคิดถึงเขาหลังจากเหตุการณ์วันนั้นมาเรื่อยๆ ไม่รู้เหตุผลว่าเป็นเพราะอะไรไม่รู้ว่าเกี่ยวกับที่เขาบอกว่า “สู้ๆนะครับน้อง” แม้จะพยายามจะทำเป็นลืมๆแต่เสียงทุ้มนั่นยังก้องหัวใจอยู่เลย สองเดือนผ่านมาก็ยังก้องอยู่ จนกระทั่งวันหนึ่งในต้นเดือนมีนาคม...เดือนนี้เป็นเดือนที่ผมจะจำไม่ลืม สำหรับใครๆเดือนมีนาช่างเป็นเดือนที่ร้อนเหลือเกินแม้แต่เพื่อนสนิทของผม “จิน” มันก็บ่นอยู่เรื่อยๆว่า
“เดือนมีนาบ้าไรวะ ร้อนยังกะเมษา” จินเดือดร้อนจนต้องขอเงินแม่ไปซื้อพัดลมมาเพิ่มทั้งๆที่ในห้องก็มีเครื่องปรับอากาศตัวใหม่ที่เจ้าของอพาร์ทเมนต์มาเปลี่ยนให้
ถัดจากนั้นไม่กี่วัน จากบทสนทนาเรื่องอากาศธรรมดาก็กลับเป็นเรื่องที่สร้างความรุ่มร้อนให้ผม วันนั้นเจ้าจินเพื่อนยากแบกหน้าเศร้าๆเข้ามาในห้องพักที่อยู่ชั้น 4 ของอพาร์ทเมนต์กลางเก่ากลางใหม่ให้มหาวิทยาลัย
“ไอ้จี กูมีเรื่องจะคุยกับมึงหน่อยว่ะ” จินเสียงเข้มกว่าทุกวัน
“เมื่อไหร่มึงจะมีเงินมาแชร์ค่าห้องวะ คือกูขอที่บ้านเพิ่มจนแม่กูสงสัยเค้าเลยคาดคั้นจนกูต้องบอกไปว่าเงินไม่พอใช้เพราะต้องแบ่งมาจ่ายค่าห้องเผื่อมึง” จินพูดด้วยน้ำเสียงลำบากใจ
“มึงเข้าใจกูใช่ปะ กูรู้ว่ามึงไม่มีแต่ที่บ้านกูเค้าก็จ่ายกูเพิ่มไม่ไหวแล้ว” จินทำหน้ารู้สึกผิด
“ขอโทษนะมึง เดี๋ยวกูโทร.คุยกับแม่กูแป๊บ”
“คิดว่า...น่าจะมีพอมาให้มึงก่อนได้”ผมรีบบอกจินออกไปทั้งที่ไม่มั่นสักนิดเลยว่าควรจะโทร.หาแม่ดีไหม
หลังจากที่แม่หนีไปทำงานที่ภาคเหนือ แม่ก็โทร.หาผมนับครั้งได้ แม่โอนเงินมาให้สองครั้ง เป็นจำนวนที่ไม่มากนักที่เหลือผมต้องทำงานพิเศษหลังเลิกเรียน แต่ด้วยความที่เทอมนี้เรียนหนักขึ้นทำให้งานที่เคยทำอยู่ต้องลดลง ผมพยายามหางานพิเศษด้วยการรับจ้างรุ่นพี่พิมพ์งาน และรับจ้างสารพัดแต่ดูเหมือนเงินจะไม่เคยพอใช้เลยในเมืองที่ค่าครองชีพสูงแบบนี้
ผมตัดสินใจถอนเงินจากบัญชีที่พยายามอดออมไว้เป็นค่าเทอมออกมาให้เจ้าจินเสียก่อน รู้สึกผิดและอายมันเหลือเกิน ผัดผ่อนค่าห้องมา 2-3 เดือน โดยที่เข้าใจว่าเพื่อนน่าจะไม่ลำบากมากนักเมื่อได้รู้ว่าต้องทำให้ที่บ้านจินต้องเพิ่มภาระค่าใช้จ่าย ผมตัดสินใจนำเงิน 5 พันไปให้จิน ทั้งที่ผมควรจะให้มากกว่านี้
“จินเอาไปนี้ก่อนได้ปะ เดี๋ยวที่เหลือที่จะใช้ให้เดือนหน้า” ผมยิ้มแห้งบอกจินไปยังงั้น จินรีบบอกว่าไม่เป็นไรเท่านี้ก่อนก็ได้ก่อนจะทำหน้าช็อคตอนที่ผมบอกว่า
“มึงหารูมเมทคนใหม่เหอะ กูว่ากูจะกลับไปอยู่บ้านว่ะ”
“เฮ้ย มึงจะกลับไปอยู่กับพ่อมึงเนี่ยนะ บ้านมึงอยู่ไกลจากมอด้วย”จินยังคงห่วงใยผมเสมอ
“เออ ไม่เป็นไรหรอก อยู่ได้ ขืนอยู่กับมึงก็มีแต่จะทำให้มึงเดือดร้อน” ผมบอกไปตามตรง
“เออ เดี๋ยววันนี้กูกลับไปนอนบ้านเลย ของกูที่เหลือมีไม่เยอะเดี๋ยววันหลังกูมาเก็บ” ไม่รู้อะไรมาดลใจให้ผมพูดไปอย่างนั้น
“มึงจะเอางี้เลยเหรอ นี่มึงโกรธกูป่าว มึงไม่ได้เข้าใจกูผิดใช่มั้ย ถ้ามึงไม่มีจริงๆมึงอยู่ได้ กูไม่ได้เป็นคนใจร้ายขนาดนั้นปะ” จินทำเสียงโมโห ก่อนที่ผมจะกล่อมอยู่นานกว่าจะเย็นลงลงท้ายที่ว่าผมไม่อยากเป็นภาระให้จิน ที่บ้านจินค้าขายเล็กๆน้อยๆอยู่ต่างจังหวัดแม้จะพอมีเงินแต่คงไม่มากพอที่จะจ่ายเพิ่มให้กับอะไรโดยที่ไม่จำเป็น
เย็นวันนั้นผมเดินออกมาจากอพาร์ทเมนต์สีฟ้าขาวมาด้วยอาการล่องลอยพร้อมกับกระเป๋าใบเขื่องที่เก็บข้าวของจำเป็นออกมา คืนนี้ผมคงต้องหาที่นอนสักที่แต่ไม่แน่ใจว่าที่แห่งนั้นจะใช่บ้านไม้เก่าๆที่พ่ออยู่รึเปล่า ตั้งแต่แม่หนีไปผมเคยกลับบ้านครั้งหนึ่ง เจอพ่อนั่งกินเหล้าขว้างปาข้าวของนั่งด่าผมกับแม่ทั้งคืนก่อนที่ผมจะทนอยู่บ้านนั้นจนถึงเช้าและจากมาโดยไม่ได้บอกลาพ่อ
พ่อขี้เหล้าของผมคงจะมีวงจรชีวิตเดิมๆพอตื่นเช้าหายเมาก็คงไปทำงานที่อู่ซ่อมรถไม่ไกลจากบ้าน พ่อรั้กเถ้าแก่มาเป็นยี่สิบปีเถ้าแก่เคยบอกผมว่า “พ่อมึงน่ะ กูยกให้เป็นสุดยอดช่างซ่อมเลย แต่อย่าให้เมานะเมาแล้วเป็นหมา” ผมยิ้มมุมปากก่อนจะเบือนหน้าหนี
นาฬิกาหมุนไปเรื่อยๆ บอกเวลาสองทุ่ม มันทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ผมรู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่ด้านล่างคอนโดหรูใจกลางเมือง เปล่าหรอกผมไม่ได้มีเพื่อนหรือคนรู้จักอยู่ที่นี่แต่พี่ธงฉาน – พี่ที่คณะให้ผมมารับงานไปช่วยพิมพ์และช่วยเรียบเรียงหรือจะพูดง่ายๆว่าช่วย “ทำให้” นั่นแหละ ผมรู้จักพี่ธงฉานจากการแนะนำของเจ้าจิน จินรู้ว่าผมต้องการรับงานพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องพิมพ์งาน เรื่องทำโปรเจ็คทำรายงาน เป็นงานถนัดของผม พี่ธงฉานเป็นลูกค้าชั้นที่ยอมจ่ายหนักเสมอมา
ผมนั่งรอพี่ธงฉานที่ล็อบบี้คอนโดหรูนี้นานเท่าไหร่ไม่แน่ใจนักอากาศเย็นๆกับเบาะนุ่มๆทำผมแทบจะเผลอหลับ หากไม่มีเสียงคุ้นๆ ทักขึ้นมาเสียก่อน
“น้องๆ...น้องครับ” เสียงทุ้มนั้นดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ก่อนผมจะสะดุ้งจากอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น
“เอ่อ”ผมขยี้ตาก่อนจะลืมตามองชัดๆว่าคนที่เรียกผมนั้นคือ เขา! แดนไท นั่นเอง
“น้องคือคนที่จะมารับงานจากธงฉานรึเปล่า?”
“อ่อครับ พี่ธงบอกให้ผมรอที่นี่”
“มันติดธุระด่วน เลยฝากพี่เอามาให้” แดนไทยื่นหนังสือสามเล่มใหญ่และชีทอีกจำนวนหนึ่งให้ผม
“อ๋อครับ” ผมรับเอกสารมากึ่งงงกึ่งตื่นเต้น จะบอกว่าเวลานี้ผมทำตัวไม่ถูกเลย ไม่คาดคิดว่าเราจะมาเจอกันโดยไม่คาดคิด
“ชื่ออะไรอะเราน่ะ” แดนไทถือวิสาสะนั่งลงบนโซฟาข้างๆผมด้วยท่าทางสบายๆ
“ชื่อจี...จิรพัฒน์ครับ”
“พี่ชื่อแดนไท เรียกแดนเฉยๆก็ได้”
“รับงานแบบนี้ประจำเหรอ” เขาทำหน้าสงสัย
“ก็..ครับ หารายได้พิเศษ” ผมตอบเสียงแห้ง
“จะย้ายบ้านเหรอ เราน่ะ เห็นกระเป๋าใบใหญ่เชียว”ถามเสียงใสพร้อมกับยิ้มตาหยี
ผมเงียบ ไม่ได้ตอบอะไรไป แน่ใจว่าเห็นแดนไทหน้าเสียหน่อยหนึ่งก่อนจะบอกว่าเขากำลังจะออกไปข้างนอกพอดี ผมสนใจติดรถไปด้วยไหม ผมขอบคุณก่อนจะถือกระเป๋าตามแดนไทเดินต้อยๆไปยังลานจอดรถรู้ตัวอีกทีก็มานั่งอยู่ในรถหรูของเขาเสียแล้ว
“จะไปไหนเหรอ พี่จะได้ไปส่งถูก”เขาถามขึ้นหลังจากหักพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายออกจากคอนโด ผมนิ่งไปพักใหญ่ จนแดนไทถามอีกเป็นครั้งที่สอง
“พี่จะไปตรงไหนครับ ผมลงตรงไหนก็ได้” ผมตอบไปอย่างนั้นเพราะไม่รู้จุดหมายปลายทางจริงๆบางทีอาจจะต้องกลับบ้านที่ไม่อยากกลับก็ได้
แดนไททวนคำว่า “ลงตรงไหนก็ได้” เบาๆ ก่อนจะมองหน้าผม แล้วถามออกมาว่า “น้องโอเคมั้ยมีอะไรให้ช่วยรึเปล่า"
“กำลังคิดว่าจะไปนอนที่ไหนดีครับ ไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากไปกวนเพื่อน” ตัดสินใจบอกไปตรงๆ
“แล้วก็ออกมานั่งเครียดอยู่แบบนี้” เขายิ้มน้อยๆพร้อมกับทำหน้าเหมือนจะช่วยผมคิดว่าควรจะไปนอนที่ไหน นิ่งไปพักใหญ่ก่อนที่ผมจะหยิบโทรศัพท์มือถือมากดเข้าเว็ปเสิร์ชหาที่พัก
“พี่ครับ เดี๋ยวส่งผมแถวสยามก็ได้ ผมว่าจะไปพักโฮสเทลแถมนั้นคืนไม่แพง นอนดอร์มรวม”
“เอางั้นเหรอ แน่ใจนะว่านอนได้”
“ได้ครับ”
ไม่นานนักรถสปอร์ตหรูก็มาจอดเทียบท่าหน้าโฮสเทลที่เป็นจุดหมายของผม ผมบอกขอบคุณแดนไทก่อนจะหอบกระเป๋าใบใหญ่เดินเข้าไปตรงรีเซฟชั่นไม่นานนักร่างสูงก็วิ่งตามมาพร้อมกับส่งหนังสือให้ผมหนึ่งเล่ม
“เราลืมหนังสือน่ะ” แดนไทบอกยิ้มๆก่อนหมุนไหล่กว้างเดินออกไป
ผมรับหนังสือมาอย่างงงๆ ก่อนจะติดต่อกับพนักงานต้อนรับของโฮสเทลพร้อมจ่ายเงิน400 บาทค่าที่พักคืนนี้ไปหอบกระเป๋ษขึ้นไปชั้นสอง โฮสเทลที่นี่ทันสมัย ราคาถูกแม้อยู่ใจกลางเมือง ห้องที่ผมพักเป็นประเภทดอร์มรวมชาย6 เตียง ต้องนอนรวมกับแขกคนอื่นและใช้ห้องน้ำรวม
เมื่อเปิดเข้าไปก็พบว่าเพื่อนร่วมห้องยังไม่มา ผมจัดเก็บของสำคัญลงล็อกเกอร์เก็บของมีค่าก่อนจะไปอาบน้ำ หยิบหนังสือเล่มที่แดนไทบอกว่าผมลืมมาดู ก็ยิ่งให้สงสัยว่าไม่ใช่หนังสือของผมและก็ไม่น่าจะใช่หนังสือที่พี่ธงฉานฝากมาก พลิกหน้าปกไปก็เจอซองยาวสีขาวเมื่อเปิดดูก็เห็นแบงค์สีเทา 1 ใบพร้อมกับกระดาษโน้ตสั้นๆ ว่า
“ถือว่าพี่ช่วยค่าที่พักคืนนี้นะครับ
ไม่ต้องคิดมาก ไม่ได้ให้ฟรี ไว้มีเมื่อไหร่ค่อยเอามาคืน”
ผมหยิบแบงค์สีเทาออกมาดู มือสั่นเล็กน้อย
วินาทีนี้ไม่ใช่เวลาจะมาหยิ่ง...ผมไม่ใช่นางเอกในละครที่จะปาเงินทิ้งแล้วบอกว่าแดนไทดูถูกศักดิ์ศรี
ในตอนนั้น...ผมยินดีที่จะรับความช่วยแหลือจากเขาอย่างเต็มใจโดยไม่รู้เลยว่าต่อมาแดนไทจะเข้ามาบทบาทกับชีวิตผมมาก ขึ้นเรื่อยๆ
แดนไทในวันนั้นกับแดนไทในวันต่อๆมา และจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ก็ยังคงน่ารักเหมือนเดิม
ผมยิ้มน้อยๆเมื่อนึกถึงวันวาน ก่อนจะดึงลิ้นชักเบาๆ หยิบเอากระดาษโน้ตใบนั้นที่มีลายมือของเขา
แม้จะผ่านมาหลายปีแล้วก็ยังเก็บเอาไว้อย่างดี
แดนไทจะรู้ไหมนะว่า ตอนนี้มีคนคิดถึงลายมือฉวัดเฉวียนของเขาเหลือเกิน
ผมหยิบโทรศัพท์กดหมายเลขที่คุ้นเคย ปลายสายรับเร็วทันใจ
ผมกรอกเสียงไปตามสายว่า
“คิดถึง...คิดถึงมากๆเลย”
“ที่นั่นหนาวมั้ย ...จีไปหาแดนได้รึเปล่า”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in