เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Another SideKanSiri
THE LAST OF US 2 [Review]
  • **SpoiledAlert**

    บทความต่อไปนี้ มีการเปิดเผยเนื้อหาของเกม

     

              ต้องออกตัวก่อนเลยว่าไม่ใช่เกมเมอร์ หรือผู้เชี่ยวชาญทางด้านเกมใดๆเป็นพิเศษ การแสดงความเห็นบนบทความต่อไปนี้เกิดจากการติดตามเนื้อหาเกมจากประสบการณ์ตนเอง

     

              ประการต่อมาผมขอชื่นชมผู้คิดสร้างสรรค์เกมและทีมงาน Naughty Dog ที่ผลิตเกมน้ำดีออกมาให้เล่นให้ติดตาม ส่วนตัวผมคิดว่า The Last of Us (TLOU) ทั้งภาค 1 และ 2 เป็นเกมน้ำดีชั้นเยี่ยมแม้จะมีบางจุดที่ดูไม่เมคเซนส์ไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วคะแนนที่ผมจะให้ทั้งสองภาคก็อยู่ในเรท 8-9/10

              ครั้งนี้ที่จะมาเขียนส่วนนึงก็เนื่องมาจากกระแสภาค 2 ที่มีความเห็นออกเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน จนถึงขนาดที่ว่ามีการคุกคามนักแสดงในเกมซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง หลังจากที่ผมติดตามเนื้อเรื่องของเกมจนจบผมกลับรู้สึกเห็นต่างจากกระแสส่วนใหญ่ (ที่ไม่ชอบ) ส่วนตัวรู้สึกว่าตัวเกมสะท้อนความจริง ความเป็นมนุษย์ได้แทบจะสมบูรณ์แบบบนความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิต

  • TLOU2 บอกอะไรเราอยู่?

              - ผมว่าสิ่งที่ชัดเจนที่สุดของเกมก็คือ การแก้แค้นไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย มีแต่จะสร้างความสูญเสียเพิ่ม

              แอบบี้(Abby) แก้แค้นโจเอล(Joel) สำเร็จ ผลก็คือ ตัวเองโดนล้างแค้นคืนนอกจากพ่อที่ตัวเองสูญเสียไปในภาคแรกแล้ว ภาคนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทอย่างโอเว่น เมล แมนนี่ หรือนอร่า แก๊งค์เดิมจากหิ่งห้อย (Fireflies) โดนฝ่ายเอลลี่(Ellie) ฆ่าหมด จากเนื้อเรื่องเราจะพบว่า โอเว่นหรือแม้แต่เมลเองก็ค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับการล้างแค้น เพราะสุดท้ายมันเหมือนกับว่าแอบบี้เอาทุกคนมามีเอี่ยวกับเรื่องการแก้แค้นส่วนตัวเต็มๆ

              ในทางกลับกันฝ่ายเอลลี่ก็ต้องสูญเสียเจสซี่จากการตามล่าของแอบบี้เช่นกัน และภายหลังผลจากการที่ไม่สามารถปล่อยวางได้ เอลลี่ก็ต้องเสียดีน่าแฟนสาวไปอีก รวมถึงทอมมี่น้องชายของโจเอล ซึ่งสองคนนี้เอลลี่ไม่ได้เสียไปเพราะพวกเขาตายแต่เสียไปเพราะความเห็นไม่ลงรอยกัน จนสุดท้ายก็ไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้

              ตรงนี้ตอนจบเกมจะเห็นว่าเอลลี่ต้องใช้ชีวิตคนเดียว (เว้นแต่จะมีภาค 3 ต่อมาเปิดเผยว่าเอลลี่จะทำอะไรต่อ) แต่เนื้อหาที่เอลลี่ได้ทิ้งกีต้าและของต่างๆที่เอาไว้ดูต่างหน้าโจเอลไว้เบื้องหลัง ผมคาดเดาว่าเธอคงอยากจะเริ่มต้นอะไรใหม่ๆและทิ้งเรื่องของโจเอลเอาไว้ มันทำให้ผมนึกย้อนไปถึงเพื่อนของ
    โจเอลชื่อ บิล (
    Bill) ในภาคแรก ที่มีนิสัยขี้ระแวง ไม่ไว้ใจใคร จึงตัดสินใจอยู่คนเดียวและเอลลี่ก็เคยพูดให้ดีน่าฟังประมาณว่า การอยู่คนเดียวนั้นแม้จะดูแย่กว่าอย่างน้อยๆเราก็ไม่ต้องนึกถึงใคร ไม่ต้องห่วงใครผมจึงคาดเดาว่าเอลลี่น่าจะไปใช้ชีวิตคนเดียว หลังจากที่ถูกดีน่าทอดทิ้งหรือไม่ก็ออกไปตามหาดีน่า แต่เกมก็จบแบบปลายเปิดเอาไว้ให้คนเล่นเอาไปจิตนาการต่อเอาเอง


              - การให้อภัยแม้จะเป็นเรื่องยากแต่มันคือหนทางที่คุ้มค่ามากที่สุด

              จะเห็นได้ว่าในตอนจบเอลลี่ได้ปล่อยแอบบี้ไป ทั้งๆที่มีโอกาศปลิดชีวิตแอบบี้ แต่ในวินาทีสุดท้ายเอลลี่นึกถึงหน้าโจเอลในคืนก่อนที่โจเอลจะตายและเธอก็พูดออกมาว่า เธอให้อภัยโจเอลไม่ได้ที่ช่วยชีวิตเธอจากการทำวัคซีน เธอรู้อยู่แก่ใจว่าเธอรักโจเอล (แบบพ่อ) มาก แต่เธอก็ต้องสูญเสียเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของเธอ อย่าลืมว่าเอลลี่ไม่อยากให้ใครตายเพราะการติดเชื้ออีก มันเป็นแผลใหญ่ของเธอเธอเสียเพื่อนสนิทที่สุดอย่างไรลี่ย์ไป หรือแม้กระทั้งเทส และเธอยังย้ำด้วยว่าไม่อยากให้เรื่องที่พยายามมาทั้งหมดเสียเปล่าในตอนที่โจเอลบอกว่าไม่ต้องไปสนใจวัคซีนแล้วไปใช้ชีวิตที่แจ็คสันดีกว่า

              สุดท้ายแล้วที่เอลลี่ปล่อยแอบบี้ไป ไม่ใช่เพราะแอบบี้ไว้ชีวิตเธอมาสองรอบแล้ว แต่เธอกำลังทำสิ่งที่เธอให้กับคนที่เธอแคร์มากที่สุดไม่ได้แบบโจเอล เพราะเธอบอกเองว่าการให้อภัยมันทำยากแต่ก็อยากจะทำ แต่ทำไม่ได้ ดังนั้นขณะที่เธอกำลังจะฆ่าแอบบี้ภาพโจเอลในสภาพปกติก็แวบมา เธอนึกถึงคืนนั้น คืนที่เธอมีโอกาสให้อภัยโจเอลก่อนที่โจเอลจะตาย ข้อสังเกตก็คือโดยปกติเอลลี่จะมีภาพย้อนเฉพาะตอนที่โจเอลถูกทำร้าย (โรค PTSD) แต่ตอนกำลังฆ่าแอบบี้เธอกลับเห็นโจเอลในสภาพปกติ ผมจึงตีความว่าแม้เธอจะให้อภัยคนที่เธอรักไม่ได้ แต่สุดท้ายเธอก็สามารถให้อภัยคนที่ฆ่าคนที่เธอรักได้

              อันนี้แหละที่ทำให้เอลลี่ก้าวข้ามผ่านความเป็นปีศาจในตัวเองซึ่งน้อยคนนักที่จะทำได้

              ในด้านแอบบี้เธอมาตระหนักจริงๆว่าเธอควรให้อภัยก็เมื่อตอนที่เรฟ (Rev) ได้เตือนเธอ พื้นฐานของแอบบี้เป็นคนดี แต่โจเอลคงเป็นเรื่องเดียวที่เธอให้อภัยไม่ได้ แต่ก็เพราะพื้นฐานที่ไม่ได้เลวร้ายของเธอนี่แหละทำให้เธอรู้สึกผิดมาตลอดหลังจากฆ่าโจเอล

              เธอพยายามช่วยเหลือเด็กอย่างเดฟหรือยาร่า เพราะต้องการลบล้างสิ่งที่เธอทำ ซึ่งจากบทสนทนามันไม่ใช่แค่เพราะเด็กทั้งสองช่วยชีวิตเธอไว้โอเว่นเองก็ยังพูดในทำนองว่า จริงๆแล้วแอบบี้ไม่ต้องช่วยเด็กก็ได้แต่แอบบี้ก็ตัดสินใจย้อนกลับไปช่วยเด็กๆ จนกระทั่งตอนที่เธอย้อนกลับมาหาโอเว่นซึ่งก็พบว่าถูกเอลลี่ฆ่าตายไปแล้ว ตอนนั้นเธอโกรธแล้วกลับไปตามล่าเอลลี่อีกรอบ ในวินาทีตัดสินขณะที่เธอมีแต้มเหนือเอลลี่ เรฟได้พูดห้ามเอาไว้ บวกกับการที่เธอได้รับรู้แล้วว่าทำไมโจเอลถึงช่วยเอลลี่เอาไว้ มันทำให้เธอเข้าใจสถานการณ์ของโจเอลทันที ตรงนี้มันสะท้อนจากการที่แอบบี้เป็นห่วงเรฟเป็นพิเศษ หากสังเกตดีๆบทบาทของแอบบี้และเรฟ ก็คือบทบาทของโจเอลและเอลลี่ในภาคแรกที่ทั้งชีวิตและการเดินทาง มันเหลือแค่ “เราสองคน” ผมจึงเดาว่าแอบบี้คงเข้าใจแล้วแหละว่าทำไม โจเอล ถึงช่วย เอลลี่

              ภายหลังที่เอลลี่มาแก้แค้นอีกรอบนั้นแววตาแอบบี้ไม่โกรธเอลลี่แม้แต่น้อย เป้าหมายเดียวของเธอ ณ ตอนนั้นคือช่วยเรฟ เด็กเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในชีวิตเธอ

  •           - เกมกำลังสะท้อนว่าความเป็นมนุษย์จริงๆ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ รัก โลภ โกรธ หลงมันคือเรื่องพื้นฐานของทุกคนแต่ใครจะก้าวข้ามไปได้มันคือความสำเร็จของชีวิตอย่างนึง ในเกมต่อให้ทุกคนจะดูเป็นคนดีแค่ไหนแต่อีกด้านทุกคนเป็นสีดำ ไม่มีใครขาวร้อยเปอร์เซนต์หรือดำสนิท ทุกคนเป็นสีเทาแม้แต่ตัวเอลลี่หรือแอบบี้เอง

              ตอนจบจะเห็นได้ว่าสุดท้ายชีวิตแม่งไม่ได้จบแบบแฮปปี้ ชีวิตมันต้องเดินต่อไปจริงๆ แล้วผมเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเอลลี่จะไปใช้ชีวิตคนเดียวหรือตามหาดีน่าหรือยังไง (อยากให้ทำภาคต่อมาก)



              - มนุษย์ควรจะเคารพผู้อื่นในฐานะที่เป็นมนุษย์เหมือนกัน

              เกมเปิดประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนเยอะมาก ผมว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ เนื้อหาในเกมได้บอกให้เรารับรู้ว่าการเป็น LGBT หรือการคิดต่าง มีความเชื่อที่ต่างนั้นไม่ควรถูกตัดสินหรือแบ่งแยก เพราะมันเป็นสิทธิที่ใครอยากจะเป็นอะไรก็ได้เชื่ออะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเอลลี่กับดีน่า การต่อสู้กันระหว่าง WLF และ สการ์ หรือแม้กระทั้งตัวเรฟเองที่เป็นทรานเจนเดอร์

              ประเด็นของเรฟน่าสนใจมากเพราะมันมีเรื่องความเชื่อเข้ามาเกี่ยวข้อง จากเนื้อเรื่องเราก็คงพอจะเดาได้ว่าเรฟเป็นผู้หญิงเพราะมีการเอ่ยถึงบทบาทในชุมชนความเชื่อของเขาว่า เรฟต้องไปเป็นภรรยาของผู้เฒ่าในหมู่บ้านและยารายังออกมาพูดซ้ำด้วยว่า แม้เธอจะไม่ชอบที่เรฟทำแบบนี้แต่เธอได้คุยกับเรฟและเข้าใจเรฟ สิ่งนี้แหละควรจะเป็นเรื่องที่ใส่ใจมากที่สุดกับคนในครอบครัว เราควรมองข้ามเรื่องประเพณี ความเชื่อ และพยายามเข้าใจความเป็นมนุษย์ความเป็นตัวตนของคนคนนึงมากกว่าที่จะมาแบ่งแยกกัน

              อีกประเด็นนึงที่น่าสนใจคือตัวเรฟเองนั้นก็ถูกใช้คำสรรพนามแทนว่า He ในจุดนี้มันบอกถึงความละเอียดอ่อนของเพศสภาพมากๆ

              หรือแม้กระทั่งด้านของเอลลี่เองที่โจเอลมาบอกภายหลังว่าเขาดีใจนะที่เอลลี่จะคบกับดีน่า สิ่งนี้แหละที่โจเอลทำหน้าที่พ่อคนนึงได้สมบูรณ์สุดๆในขณะที่แม่ของเรฟไม่สามารถทำได้
  •          โดยสรุป จากเนื้อหาของเกมทั้งหมดการที่แอบบี้ทำดีกับเรฟ มันไม่ได้ทำให้ผมรักแอบบี้มากขึ้น ผมยังคงรักโจเอลและเอลลี่มากกว่า ทั้งๆที่ตัวเกมพยายามจะนำเสนอเหตุการณ์ฝ่ายแอบบี้ และผมก็คิดว่า NaughtyDog ไม่ได้อยากให้เรารักแอบบี้เลยแม้แต่น้อย

              ตัวเกมถูกนำเสนอให้เราเล่นเกมแบบมีเป้าหมายนั่นคือการล้างแค้นให้โจเอล ตลอดเวลาที่เล่นส่วนของเอลลี่เราสะใจ เราโกรธและเรารู้สึกดีทุกครั้งที่รู้ว่าพวกแอบบี้สมควรตาย ต่อมาเกมก็ให้เราเล่นส่วนแอบบี้ซึ่งมันขัดใจเรามาก แต่สุดท้ายเราก็ค้นพบว่า เราเข้าใจความรู้สึกแอบบี้ได้เช่นกันเพราะตัวละครที่โจเอลฆ่าในภาคแรก ทุกคนเป็นคน มีความรู้สึก แต่มันไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมา ในภาคแรกเราเห็นแต่ด้านโจเอลด้านเดียว แล้วเราก็เชื่อว่า โจเอลทำถูกแล้วเพราะเรารู้ปมหลัง เรารู้นิสัย เรารู้เหตุผลของโจเอล ในขณะที่ตัวละครอื่นถูกมองข้าม และด้วยความที่บทของเกมต้องการจะสะท้อนชีวิตมนุษย์แบบสุดโต่ง การเปิดเผยเนื้อเรื่องฝ่ายตรงข้าม มันทำให้เราหัวเสีย แต่สำหรับผมมันปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เกมนี่แหละคือ “ชีวิต” เกมจบแบบไม่ถูกใจผมเลยแต่ผมกลับรักเอลลี่มากขึ้น และสงสารไปพร้อมๆกัน

              จะว่าไปแล้วถ้าเกมเป็นเรื่องจริงคนที่เป็นทุกข์ที่สุดก็คงเป็นเอลลี่ ไม่ใช่เพราะโจเอลตายหรอก แต่เธอเสียใจว่าทำไมเธอไม่ให้อภัยโจเอลเมื่อมีโอกาส แม้สุดท้ายจะให้มันกับแอบบี้ได้ แต่สำหรับเธอแอบบี้เป็นแค่คนแปลกหน้า ถ้ามีภาคต่อผมก็อยากจะรู้นะว่าเอลลี่จะทำยังไงต่อไป และก็ขอจบแบบปิดประเด็นไปเลยภาคสองนี่ยังดูเปิดช่องโหว่ไว้


              ทั้งหมดทั้งมวลผมจึงเห็นว่าเกมนี้มันดีมากกว่าแย่แต่ก็มีบางจุดที่ดูไม่สมเหตุสมผล เช่นการทำวัคซีนมันน่าจะโฟกัสไปที่แอนติบอดี้มากกว่าการทำวิศวกรรมย้อนกลับแต่อย่างว่าถ้าใช้แค่เลือด เกมมันก็ดูจบสวยเกินไป

              หรือแม้กระทั่งการตายของโจเอลที่ดูโง่ไปหน่อยจากภาคแรกเราจะรู้ว่าโจเอลเป็นคนที่ไว้ใจคนยากมากแต่กลับช่วยแอบบี้คนแปลกหน้านั้นมันดูแปลกๆ แต่ผมก็พยายามวิเคราะห์นะว่าทำไม
    โจเอลการ์ดตก ส่วนนึงผมคิดว่าโจเอลน่าจะอยากช่วยคนมากขึ้นซึ่งก็คงเป็นผลมาจากอยากทดแทนจากการช่วยเอลลี่และไม่สามารถช่วยมนุษยชาติได้ และเอลลี่ก็พูดออกมาด้วยว่า หนูควรจะได้ช่วยคนอีกหลายคนถ้ามันมีวัคซีน คำพูดนี่มันก็คงกระทบจิตใจโจเอลอยู่ไม่น้อย เพราะคงไม่มีใครอยากให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็เป็นแค่การคาดเดานะ

              อันนี้ก็คือสองประเด็นใหญ่ๆที่ผมมองว่ามันดูไม่สมเหตุสมผลเท่าที่ควร แต่ทั้งนี้ตัวเกมก็นำเสนอออกมาได้ดีเลยทีเดียว แล้วคุณละรู้สึกยังไงกับเกมเกมนี้?
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in