“หั่นมั้ยคะ” หรือ “ซอสอะไรดีคะ” เป็นคำถามจากพนักงานร้านสะดวกซื้อที่เมื่อเราซื้อไส้กรอกมักได้ยินเป็นประจำ
มันอาจเป็นคำถามธรรมดา
มันอาจเป็นคำถามที่ตอบได้ไม่ยาก...
ถ้าเรามีบทบาทเป็นผู้บริโภคไส้กรอกที่ซื้อมานั้นด้วยตนเอง
ครับ...ผมตกตะลึงกับคำถามดังกล่าว เพราะในวันนั้นน้องสาวของผมเป็นคนฝากผมซื้อ
ที่ตกตะลึงเพราะผมไม่รู้ว่าน้องผมชอบทานแบบหั่นหรือไม่หั่นชอบใส่ซอสพริกหรือซอสมะเขือเทศ
บางคำถามที่เราเป็นผู้รับผิดชอบผลของคำตอบนั้นเองก็ตอบได้ง่ายกว่าคำถามที่มีคนอื่น(โดยเฉพาะคนที่เรารัก) เป็นผู้รับผิดชอบผลลัพธ์นั้น
ผมจำคำตอบของวันนั้นไม่ได้ แต่ผมจำคำถามได้ดี
คำถามที่ผมถามตัวเอง
คำถามที่พนักงานร้านสะดวกซื้อไม่ได้กล่าวไว้
“คุณใส่ใจคนใกล้ตัวคุณมากพอหรือยังคะ”
บางคนอาจเป็นที่รู้จักในหมู่เพื่อนฝูงที่โรงเรียนมหาลัย ที่ทำงาน มีสังคมมากมาย เป็นที่ชื่นชมและเคารพนับถือของคนนอกบ้านรู้ว่าคนนี้ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เอาใจคนอื่นเก่ง แต่กลับรู้จักคนใกล้ตัวคนในบ้านไม่ดีพอ อาจเพราะไม่ได้ให้เวลา ให้ความสำคัญอย่างเพียงพอทั้งที่เมื่อเกิดปัญหาร้ายแรง คนในบ้านมักจะเป็นคนกลุ่มแรกที่ช่วยเราอย่างตอนที่ผมป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก หรือตอนต้องผ่าตัด แล้วนอนค้างโรงพยาบาล พ่อแม่ น้องชาย น้องสาวผม ต่างผลัดเวรกันมานอนเฝ้าผมคนละหลายคืน
ทฤษฎีทางจิตวิทยาพูดถึงเรื่องของ“พลังใจ” ไว้ว่า พลังใจของคนเรามีจำกัด และหากเราใช้พลังใจหมดไปแล้วเรามีแนวโน้มที่จะตอบสนองต่อคนรอบข้างในเชิงลบเสมือนกับกล้ามเนื้อที่เมื่อใช้งานมากแล้วเกิดอาการเหนื่อยล้าจึงทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก ๆ ต่อไปไม่ไหวเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่าความเหนื่อยล้าทางกายและทางใจมีลักษณะคล้ายกัน
ซึ่งสำหรับตัวผมก็อาจจะจริงเพราะบ่อยครั้งที่ผมยิ้มแย้มแจ่มใสให้กับคนนอกบ้านที่เจอได้ตลอดทั้งวันไม่ว่าจะทำดีหรือร้ายกับผมผมจึงดูค่อนข้างเป็นมิตรกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นเพื่อน รุ่นพี่รุ่นน้องเพื่อนของเพื่อน หรือแม้แต่คนไม่รู้จักอย่างพนักงานเสิร์ฟอาหาร
แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน พลังใจผมกลับหมดการที่คนในบ้านทำอะไรขัดใจแม้เพียงเล็กน้อย อย่างเช่นถามว่าวันนี้ไปไหนมาบ้างกลับทำให้ผมแสดงอาการไม่พอใจกลับไปทั้งที่รู้ตัวว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
แต่เมื่อเวลาผ่านไปพลังใจเต็มเปี่ยม กลับนึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไป และหวนนึกถึงเรื่องราวดีๆที่คนในบ้านทำให้ผม
น้องชาย ที่ช่วยสอนความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์หลายอย่าง
น้องสาว ที่ความรู้รอบตัวและความเป็นนักอ่านของเธอช่วยผมได้ในเหตุการณ์สำคัญหลายครั้ง
พ่อที่ขับมอเตอร์ไซค์ไปส่งที่มหาลัยทั้งที่ยังไม่อาบน้ำเพื่อไปส่งผมในวันที่ผมตื่นสายและเกือบไปสอบไม่ทัน
แม่ ที่นอนร้องไห้ไปพร้อมๆกับผมในวันที่ผมผิดหวัง เสียใจ หรือแม้กระทั่งอกหัก
บางทีผมคงเป็นคนที่ “โชคดี” มากที่คนเหล่านี้ยังอยู่กับผมในทุกวันและยังไม่จากไปไหนไกล
หลายคนคงมีความโชคดีในแบบเดียวกันกับผมอยู่
โอบกอดมันไว้
อย่ารอให้ถึงวันที่ “คนใกล้ตัว”จากไป กลายเป็น “คนไกลตัว” โดยที่เราอาจไม่ทันตั้งตัว
“สติ” คงเป็นเครื่องรางของขลังที่ช่วยจัดการกับ“พลังใจ” ว่าเราควรบริหารพลังใจอย่างไร รู้ตัวว่าเวลาไหนที่เราควรใช้พลังใจไปกับใคร และใครคือคนที่เราหลงลืมที่จะใส่ใจใครคือคนที่เราควรแบ่งเวลาในชีวิตของเราให้บ้าง
ผมว่าคราวหน้าที่ผมเจอคำถามอย่าง “หั่นมั้ยคะ” หรือ “ซอสอะไรดีคะ” ผมคงมีสติในการตอบคำถามนี้มากขึ้น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in