เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My StoryWisawa Job Tiyamanee
04 - คำถามซึ่งไร้คนตอบ
  •                “หั่นมั้ยคะ” หรือ “ซอสอะไรดีคะ” เป็นคำถามจากพนักงานร้านสะดวกซื้อที่เมื่อเราซื้อไส้กรอกมักได้ยินเป็นประจำ

                    มันอาจเป็นคำถามธรรมดา

                    มันอาจเป็นคำถามที่ตอบได้ไม่ยาก...

                    ถ้าเรามีบทบาทเป็นผู้บริโภคไส้กรอกที่ซื้อมานั้นด้วยตนเอง

                    ครับ...ผมตกตะลึงกับคำถามดังกล่าว เพราะในวันนั้นน้องสาวของผมเป็นคนฝากผมซื้อ

                    ที่ตกตะลึงเพราะผมไม่รู้ว่าน้องผมชอบทานแบบหั่นหรือไม่หั่นชอบใส่ซอสพริกหรือซอสมะเขือเทศ

                    บางคำถามที่เราเป็นผู้รับผิดชอบผลของคำตอบนั้นเองก็ตอบได้ง่ายกว่าคำถามที่มีคนอื่น(โดยเฉพาะคนที่เรารัก) เป็นผู้รับผิดชอบผลลัพธ์นั้น

                    ผมจำคำตอบของวันนั้นไม่ได้ แต่ผมจำคำถามได้ดี

                    คำถามที่ผมถามตัวเอง

                    คำถามที่พนักงานร้านสะดวกซื้อไม่ได้กล่าวไว้

                    “คุณใส่ใจคนใกล้ตัวคุณมากพอหรือยังคะ”

                    บางคนอาจเป็นที่รู้จักในหมู่เพื่อนฝูงที่โรงเรียนมหาลัย ที่ทำงาน มีสังคมมากมาย เป็นที่ชื่นชมและเคารพนับถือของคนนอกบ้านรู้ว่าคนนี้ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เอาใจคนอื่นเก่ง แต่กลับรู้จักคนใกล้ตัวคนในบ้านไม่ดีพอ อาจเพราะไม่ได้ให้เวลา ให้ความสำคัญอย่างเพียงพอทั้งที่เมื่อเกิดปัญหาร้ายแรง คนในบ้านมักจะเป็นคนกลุ่มแรกที่ช่วยเราอย่างตอนที่ผมป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก หรือตอนต้องผ่าตัด แล้วนอนค้างโรงพยาบาล พ่อแม่ น้องชาย น้องสาวผม ต่างผลัดเวรกันมานอนเฝ้าผมคนละหลายคืน

                    ทฤษฎีทางจิตวิทยาพูดถึงเรื่องของ“พลังใจ” ไว้ว่า พลังใจของคนเรามีจำกัด และหากเราใช้พลังใจหมดไปแล้วเรามีแนวโน้มที่จะตอบสนองต่อคนรอบข้างในเชิงลบเสมือนกับกล้ามเนื้อที่เมื่อใช้งานมากแล้วเกิดอาการเหนื่อยล้าจึงทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก ๆ ต่อไปไม่ไหวเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่าความเหนื่อยล้าทางกายและทางใจมีลักษณะคล้ายกัน

                    ซึ่งสำหรับตัวผมก็อาจจะจริงเพราะบ่อยครั้งที่ผมยิ้มแย้มแจ่มใสให้กับคนนอกบ้านที่เจอได้ตลอดทั้งวันไม่ว่าจะทำดีหรือร้ายกับผมผมจึงดูค่อนข้างเป็นมิตรกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นเพื่อน รุ่นพี่รุ่นน้องเพื่อนของเพื่อน หรือแม้แต่คนไม่รู้จักอย่างพนักงานเสิร์ฟอาหาร

                    แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน พลังใจผมกลับหมดการที่คนในบ้านทำอะไรขัดใจแม้เพียงเล็กน้อย อย่างเช่นถามว่าวันนี้ไปไหนมาบ้างกลับทำให้ผมแสดงอาการไม่พอใจกลับไปทั้งที่รู้ตัวว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ

                    แต่เมื่อเวลาผ่านไปพลังใจเต็มเปี่ยม กลับนึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไป และหวนนึกถึงเรื่องราวดีๆที่คนในบ้านทำให้ผม

                    น้องชาย ที่ช่วยสอนความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์หลายอย่าง

                    น้องสาว ที่ความรู้รอบตัวและความเป็นนักอ่านของเธอช่วยผมได้ในเหตุการณ์สำคัญหลายครั้ง

                    พ่อที่ขับมอเตอร์ไซค์ไปส่งที่มหาลัยทั้งที่ยังไม่อาบน้ำเพื่อไปส่งผมในวันที่ผมตื่นสายและเกือบไปสอบไม่ทัน

                    แม่ ที่นอนร้องไห้ไปพร้อมๆกับผมในวันที่ผมผิดหวัง เสียใจ หรือแม้กระทั่งอกหัก

                    บางทีผมคงเป็นคนที่ “โชคดี” มากที่คนเหล่านี้ยังอยู่กับผมในทุกวันและยังไม่จากไปไหนไกล

                    หลายคนคงมีความโชคดีในแบบเดียวกันกับผมอยู่

                    โอบกอดมันไว้

                    อย่ารอให้ถึงวันที่ “คนใกล้ตัว”จากไป กลายเป็น “คนไกลตัว” โดยที่เราอาจไม่ทันตั้งตัว

                    “สติ” คงเป็นเครื่องรางของขลังที่ช่วยจัดการกับ“พลังใจ” ว่าเราควรบริหารพลังใจอย่างไร รู้ตัวว่าเวลาไหนที่เราควรใช้พลังใจไปกับใคร และใครคือคนที่เราหลงลืมที่จะใส่ใจใครคือคนที่เราควรแบ่งเวลาในชีวิตของเราให้บ้าง

                    ผมว่าคราวหน้าที่ผมเจอคำถามอย่าง “หั่นมั้ยคะ” หรือ “ซอสอะไรดีคะ” ผมคงมีสติในการตอบคำถามนี้มากขึ้น

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in