บทความนานแล้วแต่ยังน่าสนใจอยู่ชื่อ The Internet's Original Sin หรือบาปตั้งต้นของอินเทอร์เนต พยายามอธิบายว่า จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าบริษัทต่างๆ นั้นเต็มไปด้วยความหยาบกร้านหยาบช้าและอยากที่จะสอดส่องทุกคนเป็นทุนเดิมหรอก แต่เป็นเพราะแนวคิดพื้นฐานของอินเทอร์เนตต่างหากที่กำกับโมเดลธุรกิจให้ไปทางนั้น
เขาอ้างเลกเชอร์ของ Maciej Ceglowski โปรแกรมเมอร์และนักเขียนผู้มากความสามารถที่บรรยายในงานเว็บดีไซน์ Beyond Tellerrand มาใช้ประกอบการอธิบายว่าทำไมเราจึงได้อินเทอร์เนตที่มีการสอดส่องเป็นค่าปกติ (surveillance as default)
ผู้เขียนบทความเริ่มต้นทำงานที่ Tripod.com (เป็นเว็บไซต์รุ่นแรกๆ เลยเท่าที่จำได้) ซึ่งตอนนั้นทุกๆ คน ก็ยังพยายามหาโมเดลธุรกิจที่เวิร์คอยู่ เขาลองโมเดลธุรกิจหลากอย่าง ตั้งแต่ subscribition service ที่จะส่งคอนเทนต์ที่ดีให้กับผู้ที่สมัคร (และจ่ายตังค์) หรือขายบทความพ่วงไปกับหนังสือ หรือขาย merchandise ต่างๆ เช่นทีเชิ้ต
แต่ว่าโมเดลธุรกิจที่เวิร์คและยั่งยืนที่สุดเท่าที่เขาทำมา ก็คือโมเดลที่หารายได้จากโฆษณา ซึ่งยิ่งถ้าเว็บไซต์สามารถพุ่งเป้าโฆษณาไปยังผู้บริโภคได้ถูกกลุ่มเป้าหมายมากเท่าไหร่ ราคาค่างวดหรือมูลค่าของโฆษณาก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ด้วยโมเดลธุรกิจแบบนี้เอง ทำให้พวกเขา (Tripod) เป็นผู้คิดค้นนวัตกรรมที่มีคนเกลียดเป็นอันดับต้นๆ นั่นคือโฆษณาแบบป๊อปอัพ
Ceglowski อธิบายว่าจริงๆ ไม่ใช่แค่ tripod เท่านั้นที่ต้องมาจบที่โมเดลธุรกิจแบบโฆษณา แต่มันเป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไป เพราะว่าโมเดลโฆษณานั้นเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดที่สตาร์ตอัพจะสามารถทำได้ (easiest to implement) และขายง่ายที่สุด (easiest to market) ซึ่งการขายในที่นี้ ไม่ใช่แค่การขายให้ผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการขายฝันให้กับผู้ลงโฆษณา หรือผู้ลงทุนด้วย เหมือนการเล่านิทานก่อนนอนกล่อมให้ผู้ลงทุนเชื่อ (investor storytime) เขายกตัวอย่างเว็บไซต์อย่าง Pinterest ขึ้นมาว่า เนี่ย เป็นตัวอย่างหนึ่งของนิทานกล่อมนอน คือมันยังไม่ได้มีโมเดลธุรกิจอะไรเลย แต่ก็ตั้งขึ้นมาก่อน ขอเงินลงทุนก่อน ค่อยหาโมเดลธุรกิจทีหลัง ซึ่งก็คล้ายๆ กับสตาร์ตอัพอีกหลายๆ เจ้า
ผู้เขียนให้ความเห็นว่าส่วนสำคัญของการเล่านิทานก่อนนอนแบบนี้คือต้องทำให้ผู้ลงทุนเชื่อให้ได้ว่าโฆษณาที่จะลงบนเว็บไซต์ของคุณนั้นมีมูลค่ามากกว่าโฆษณาที่จะลงบนเว็บไซต์อื่นๆ (เช่น ทำให้ผู้ซื้อซื้อสินค้าของคุณง่ายกว่า) การแข่งขันที่สูงทำให้มูลค่าโฆษณาบนเว็บไซต์ยิ่งต่ำลงจนไม่น่าเชื่อด้วย
อย่างเช่นโฆษณาบนเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นบริษัทที่ดูจะไปได้ดีกับโมเดลนี้ ก็ถูกคำนวณออกมาว่ามันได้กำไรต่อหนึ่งผู้ใช้เพียง $0.6 หรือประมาณ 18 บาทต่อคนต่อไตรมาสเท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำมากๆ เพราะว่าเฟซบุ๊กบอกว่าผู้ใช้แต่ละคนใช้เวลาบนเว็บไซต์ตัวเองสูงถึง 40 นาทีต่อวัน นั่นคือ 60 ชั่วโมงต่อไตรมาส (เพื่อกำไรเพียง 18 บาทให้เฟซบุ๊ก) ซึ่งเมื่อเทียบกับธุรกิจอย่างหนังสือพิมพ์แล้ว หนังสือพิมพ์มีกำไรต่อหัวต่อเวลามากกว่าเฟซบุ๊กถึง 4 เท่า
เมื่อตัวเลขรายได้(หรือกำไร) ต่อหัวผู้ใช้ต่อเวลามันต่ำขนาดนี้แล้ว นั่นหมายความว่าโมเดลธุรกิจโฆษณาบนเว็บไซต์นั้นเป็นโมเดลที่ไม่เวิร์คใช่ไหม อาจจะใช่ แต่ความ 'ไม่เวิร์ก' นี้ก็สามารถเอาไปถูกปั้นแต่งเป็นเรื่องเล่าก่อนนอนให้ผู้ลงทุนเชื่อได้อีก ว่า "ยังมีเงินเหลืออีกเยอะ ถ้าเราปรับปรุง และเราสามารถพุ่งเป้าไปที่ลูกค้าได้ดีขึ้น ตรงใจขึ้น"
นั่นทำให้เว็บไซต์และบริการโซเชียลต่างๆ ต้องแข่งขันกันเก็บข้อมูลเพื่อมา justify นิทานที่ตัวเองสร้างไว้ (เพื่อให้มันสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง ซึ่งอาจไม่จริงอีกแล้วก็ได้)
ดังนั้นผู้เขียนจึงเชื่อว่า การที่โมเดลธุรกิจจากการโฆษณาเป็นโมเดลหลักของ "เว็บ" มันจึงเป็น "บาปตั้งต้น" (original sin) ของวงการเว็บทั้งหมดไปด้วย ซึ่งทำให้เกิดภาวะความเป็นส่วนตัววิกฤติอย่างในปัจจุบัน ซึ่งถ้ามันยังเป็นกระดูกสันหลังของวงการเว็บต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง ก็ไม่มีทางที่เราจะหลุดจากปัญหานี้ได้
http://www.theatlantic.com/technology/archive/2014/08/advertising-is-the-internets-original-sin/376041/
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in