เป็นอีกครั้งที่ได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้เป็นรอบที่สี่ น่าแปลกใจที่ต่อให้ดูอีกซักกี่ครั้ง แม้ว่าตัวละครในเรื่องจะไม่ได้เติบโตทางร่างกายเพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อยและเนื้อเรื่องก็ไม่ได้ผิดแผกไปจากครั้งแรกที่ได้ดูแต่อย่างใด ถึงจะเป็นอย่างนั้นสารที่เราได้รับกลับมา กลับแตกต่างไปตามช่วงวัยและประสบการณ์ของเรา และนี่ก็คือบทวิเคราะห์ของหนังเรื่องนี้ที่อายุครบยี่สิบปีกับตัวเราในวัยยี่สิบปี
Spirited Away หรือ การหายตัวไปของเซนและจิฮิโระเป็นหนังที่สร้างโดย Hayao Miyazaki อนิเมชั่นยาวเรื่องนี้ถือว่าเป็นแรงกระเพือมขนาดใหญ่ของวงการด้วยการกวาดรางวัลมากมายทั้งในและนอกประเทศ รวมถึงรางวัลออสการ์สาขาอนิเมชั่น อีกทั้งยังครองตำแหน่งอนิเมชั่นที่มียอดขายสูงสุดกว่าสิบหกปี
หนังเปิดเรื่องมาด้วยจิฮิโระ ที่นั่งอยู่ในรถระหว่างการเดินทางเพราะต้องย้ายบ้านย้ายโรงเรียนในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ เห็นได้ชัดว่าเธอดูไม่ค่อยจะยินดีเท่าไหร่มือนึงก็กอดการ์ด อีกมือหนึ่งก็กอดช่อดอกไม้ที่เพื่อนให้ไว้นี่คือการเปลี่ยนแปลงอีกหนึ่งอย่างที่จิฮิโระกำลังประเชิญ การก้าวผ่านวัยและการยอมทิ้งอดีตไว้ข้างหลัง
หลังจากที่พ่อของเธอขับหลงอยู่ในเขาจนพบเข้ากับอุโมงค์นึงที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าพวกเขาก็ตัดสินใจเข้าไปสำรวจโดยทันที จิฮิโระได้เจอกับสถานีรถไฟเก่า ทุ่งหญ้ากว้างและบ้านเมืองร้างผู้คน พ่อแม่ของเธอพุ่งตรงไปกินอาหารที่ตั้งไว้ยังร้านค้าที่ไร้เจ้าของไม่นานหลังจากความตะกละตะกลาม พ่อแม่ของเธอก็ได้กลายเป็นหมูไปเสียแล้ว
จิฮิโระที่วิ่งๆ หนีไปจนถึงทางที่เดินมา ก็ต้องตกใจที่ทุ่งหญ้ากว้างนั้นได้กลายเป็นทะเลสาบลึกเธอไม่สามารถข้ามไปได้ โลกวิญญาณกำลังตื่นขึ้น และร่างกายของเธอก็เริ่มโปร่งแสงโชคดีที่เด็กผู้ชายคนนึงที่ชื่อฮาคุได้ช่วยเธอไว้ด้วยการให้เธอกลืนยาเม็ดสีแดงเข้าไป (ทำให้คิดถึงเรื่อง TheMatrix เหมือนกัน ที่ถ้าเราเลือกยาสีแดง ก็จะตื่นรู้และยอมรับความเป็นจริงของโลก)คิดว่าตรงนี้เปรียบเหมือนการยอมรับการมีอยู่ของอีกโลกนึง บางทีอาจจะเป็นโลกในจิตใต้สำนึก(Subconscious) หรือโลกแห่งความเป็นจริงถ้าเธอไม่ยอมรับมัน การมีอยู่ของเธอ เธอก็จะโปร่งใสและหายไป
อนิเมชั่นเรื่องนี้หยิบยกประเด็นที่น่าสนใจอยู่หลายอย่างที่เราเห็นหลัก ๆ เลยก็จะมีเรื่อง อัตลักษณ์ (Identity
ซึ่งเมื่อพูดถึงประเด็นแรกอัตลักษณ์ (Identity)
ปรัชญาของCarl Jung ได้พูดถึงเรื่องPersona ไว้ว่า Persona(สามารถแปลว่าหน้ากากก็ได้)
ในเรื่องการที่จิฮิโระถูกขโมยชื่อไปก็เหมือนกับที่เธอโดนขโมยความเป็นปักเจกบุคคลแต่สิ่งที่มาทดแทนอัตลักษณ์ของเธอนั้นก็คือความเป็นเอกนิยม และความรับผิดชอบเธอได้เข้าไปทำงานในโรงอาบน้ำด้วยชื่อ เซน และยูบาบะได้มอบยูนิฟอร์มที่เหมือนกับคนอื่นๆ ให้เธอใส่ เธอจึงตั้งใจทำงานอย่างแน่วแน่และสม่ำเสมอด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยพ่อแม่ของเธอและพาตัวเองออกไปจากที่นี่ จนเกือบลืมชื่อ(ตัวตน) ที่แท้จริงของตัวเองไปยังดีที่ฮาคุ ได้นำเสื้อผ้า (การแต่งกายเป็นSymbolicนึงที่บ่งบอกIdentityของคน ๆ นึง) และการ์ดที่มีชื่อ จิฮิโระเขียนไว้อยู่ให้ ทำให้เธอจำชื่อของเธอได้ โชคร้ายที่ตัวฮาคุเองไม่ได้เป็นแบบนั้นเขาจำชื่อของตัวเองไม่ได้แล้ว เขาเลยโดนแม่มดยูบาบะควบคุม
เหมือนกับในสังคมปัจจุบันการที่เราเข้าไปอยู่ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นชีวิตในโรงเรียน หรือการทำงานเราล้วนแต่มี Persona (แบ่งออกได้สองอย่างคือบุคลิกภาพส่วนตัวและบุคลิกภาพที่แปรผันตามสภาพสังคม)หรือหน้ากากของตัวเองทั้งนั้น เราถูกสวมหน้ากากของการเป็นลูก เป็นนักเรียนเป็นเพื่อน หรือการเป็นครู เหมือนอย่างที่จิฮิโระ สวมหน้ากากเป็น เซนและฮาคุที่สวมหน้ากากการเป็น ฮาคุ จนลืมบุคลิกภาพที่แท้จริงของตนเองไปเราจำเป็นที่จะต้องมีบุคลิกภาพที่แปรผันตามสภาพสังคม เพื่อการอยู่รอด(อารมณ์เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม) แต่การที่เรามีมันมากเกินไปก็จะทำให้เราสูญเสียอัตลักษณ์ของตัวเอง จนเกิดภาวะ External Locus ofcontrol หรือการที่บุคคลหนึ่งเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองนั้นเกิดขึ้นหรือถูกกำหนดโดยอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมรวมถึงบุคคลภายนอกเหมือนกับที่ฮาคุโดนยูบาบะหลอกใช้ไปทำเรื่องที่ไม่ดี เพราะเขาเชื่อว่าเขาโดนยูบาบะควบคุมอยู่
“
ยังมีอีกหนึ่งตัวละครที่พูดถึงเรื่องอัตลักษณ์ได้อย่างแจ่มชัดในเรื่องก็คือ Kaonashi หรือผีไร้หน้า(No-face)
แล้วคนเราจะทำอย่างไรเมื่อเราสูญเสียอัตลักษณ์ของเราไปจนหมดสิ้นสิ่งที่ผีไร้หน้าทำคือการเลียนแบบผู้อื่น โดยการกินตัวตนคน ๆ เข้าไปมีในตอนนึงที่ผีไร้หน้าใช้ทองหลอกล่อกบที่ทำงานอยู่ที่นั้นแล้วกินมันเข้าไปหลังจากที่กบตัวนั้นไปอยู่ในท้อง ผีไร้หน้าก็เริ่มมีบุคลิกภาพขึ้นมา มีแขนขาที่คล้ายกับกบคำพูดและน้ำเสียง รวมถึงความคิดก็กลายเป็นสิ่งที่กินเข้าไปยิ่งผีไร้หน้ากินเข้าไปมาก บุคลิกเลียนแบบก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นแต่ถึงผีไร้หน้าจะตัวโตขึ้น มีเสียงที่พูดได้แล้ว ใบหน้าของตัวเขาก็ยังไม่ปรากฏขึ้นมาอยู่ดี (อย่างที่พูดไปข้างบน การจะมีบุคลิกภาพได้นั้นจำเป็นต้องเกิดขึ้นมาจากสี่อย่างหากผีไร้หน้ามีเอกภาพที่มากพอหรือมีความเป็นเจ้าของเขาก็อาจจะสามารถพัฒนาบุคลิกตัวเองที่มาจากตัวคนอื่น จนเป็นตัวตน(Self
ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วจิฮิโระก็ได้นำยา (ได้มาจากเทพแม่น้ำส่วนนี้คิดว่าอาจจะสื่อถึงธรรมชาติที่มาลบล้างเปลือกนอกของคนให้กลับคืนสู่สิ่งเดิมที่เคยมีและเป็น)ให้ผีไร้หน้ากิน หลังจากกินเข้าไป เขาก็สำรอกทุกสิ่งออกมา ไม่ว่าจะเป็นอาหารกบหรือปีศาจ จนกระทั่งร่างกายที่เคยใหญ่โตก็กลับกลายเป็นวิญญาณผีไร้หน้าตัวเดิม
เราคิดว่านอกจากการลืมตัวตนผีไร้หน้าก็ยังคงสื่อถึงการอยากมีตัวตนในสังคม(ทำให้เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้คนอื่นชอบ) และความโดดเดี่ยว เปลี่ยวเหงาเพราะเขารับอิทธิพลจากคนรอบข้างง่ายเกินไป จึงทำให้ไม่ได้มีจุดยืนของตัวเองซึ่งในปัจจุบันนี้มีคนมากมายที่เป็นอย่างผีไร้หน้า ไม่ว่าเขา จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
อนิเมชั่นเรื่องนี้จึงเลือกทางออกที่ตรงไปตรงมาอย่างการทำงาน มาให้ มนุษย์ยังคงหยัดยืนอยู่ได้ด้วยการกระทำและสามารถที่จะเรียนรู้และเติบโตได้จากการกระทำนั้น ๆ ของตัวเองในระหว่างที่ขัดเกลาวิชา เราก็อาจจะได้คุณค่าของตัวเราเองจากสิ่ง ๆนั้นที่เราตั้งใจที่ทำลงไป อย่างในตอนแรกที่แม่มดยูบาบะบอกกับจิฮิโระว่าถ้าไม่ทำงานจะโดนสาป หนังเรื่องนี้พยายามบอกว่าแม้คนเราจะทำงานด้วยเหตุผลใดก็ตามการทำงานก็เป็นความจริงของชีวิต ที่ทำเพื่อให้เราอยู่รอด และทำเพื่อให้สักวันเราได้ภูมิใจกับผลงานของตัวเองแม้ในระบบทุนนิยม อย่างโรงอาบน้ำของยูบาบะจะช่วงชิงอัตลักษณ์ของคนงานไปก็ตามแต่เพื่อที่จะอยู่ต่อไป เราต้องทำงานดังนั้นหนทางเดียวที่เราจะเป็นเราอยู่คือการที่เรา ต้องจดจำเชื่อของตัวเองเอาไว้
และบทสรุปของผีไร้หน้าจึงกลายเป็นการที่เขาได้ไปทำงานกับเซนิบะ(พี่น้องฝาแฝดของแม่มดยูบาบะ เป็นขั่วตรงข้ามกัน)เพราะเขาไม่ได้รู้ถึงตัวตนของตัวเอง เขาถึงต้องสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวของเขาเอง
ประเด็นที่สองธรรมชาติ และการก้าวผ่านวัย สองเรื่องนี้แทรกซึมเข้าไปในเรื่องได้ค่อนข้างที่จะแยบยลโดยหนังได้เริ่มพูดถึงประเด็นนี้อย่างเด่นชัดในตอนที่มีปีศาจตนนึงได้เข้ามาใช้บริการยังโรงอาบน้ำ ทั้งตัวของเขาปกคลุมไปด้วยโคลนส่งกลิ่นเน่าเหม็นจนคนในนั้นปิดจมูกไปตาม ๆ กัน จิฮิโระถูกใช้ให้ไปบริการลูกค้ารายนี้จนเธอได้เจอเข้ากับ หนาม บางอย่างที่แทงเข้าไปในตัวของลูกค้าเธอและแม่มดยูบาบะจึงให้คนทั้งโรงอาบน้ำมาช่วยกันดึงออกแต่แล้วสิ่งที่ไหลออกมากลับเป็นจักรยานรวมถึงขยะมากมายกองเป็นพะเนินและลูกค้าที่เคยคิดว่าเป็นปีศาจโคลนก็โผล่ตัวตนจริง ๆมาให้เห็นว่าเขานั้นคือเทพแห่งสายน้ำ เขาพูดกับจิฮิโระว่า ทำได้ดีมาก ก่อนจะมอบยาบางอย่างให้กับเธอ(ยาที่เล่าไปข้างต้นว่าน่าจะสื่อถึงการคืนกลับสู่ธรรมชาติไว้ใช้สำรอกสิ่งแปลกปลอมออกมา)
เราคงไม่ต้องวิเคราะห์อะไรมากมายเลยกับเหตุการณ์นี้เพราะปัจจุบันการที่เราทิ้งของและขยะลงแม่น้ำ ยังคงมีอยู่เสมอและไม่เคยที่จะหมดไปเลย สิ่งเดียวที่เราจะแก้ไขได้คือการช่วยกัน ไม่ใช่แค่คน ๆเดียวที่จะทำได้ แต่ต้องเป็นคนจำนวนมาก หรือ ทุกคนอย่างที่ยูบาบะเรียกคนทั้งโรงอาบน้ำมาช่วยกันดึงหนามพวกนั้นออก
ซึ่งในตอนท้ายๆ เรื่องได้มีการเฉลยว่า จริง ๆ แล้ว เทพแห่งสายน้ำไม่ได้มีอยู่คนเดียวเพราะอีกคนนั้นก็คือฮาคุ หรือ โคะฮาคุ นั้นเองระหว่างทางที่ฮาคุได้เข้าไปช่วยพาจิฮิโระกลับบ้าน เธอก็จำขึ้นมาได้ว่าตอนที่เธอยังเด็กนั้นได้เคยทำรองเท้าตกลงไปในแม่น้ำสายหนึ่งที่ชื่อ โคะฮาคุแต่ตอนนี้แม่น้ำสายนั้นได้ถูกอาคารสร้างทับไปแล้ว(อาจอยู่ในรูปแบบของทุนนิยมอย่างยูบาบะที่หลอกใช้ธรรมชาติอย่างแม่น้ำโคะฮาคุ) เมื่อจิฮิโระได้มอบชื่อคืนให้แก่ฮาคุแล้วเขาก็ได้เป็นอิสระจากยูบาบะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in