เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
(OS/SF) BTS ALLJIN | Sweet Petals.ชิมดิ
(SF) JIJIN | Serendipity 1/3



  • Do you believe in destiny?











    กลางคืนที่เงียบสงัดไม่ปรากฎเสียงใดนอกจากเสียงต้นไม้ที่เสียดสีกันจากแรงลม และเสียงย่ำเท้าของคิมซอกจิน


    กลิ่นพีชหอมอบอวลกับอากาศเย็นสบายช่วยทำให้สมองปลอดโปร่ง เขาชอบมาเดินเล่นคนเดียวในสวน ก่อนที่จะกลับบ้านไปปั่นงานส่งบ.ก.สุดเขี้ยวที่ขยันตามจิกต้นฉบับ แม้ว่ากำหนดส่งจะอยู่ห่างออกไปอีกเกือบเดือน


    ตามธรรมชาติแล้วหนูแฮมส์เตอร์เป็นสัตว์ที่นอนกลางวันเป็นส่วนใหญ่ จะตื่นมาคึกคักเอาได้ก็เลยช่วงดึกไปแล้ว นี่เลยเป็นเหตุผลให้คิมซอกจินออกมาเดินที่นี่ตอนกลางดึกทุกคืน



    ใช่.. เขาเป็นนักเขียน..

    แถมยังเป็นนักเขียนที่มีบรรพบุรุษเป็นหนูแฮมเตอร์!






    ทุกคนบนโลกต่างวิวัฒนาการมาจากสัตว์หลายสายพันธุ์ ทุกคนใช้ชีวิตร่วมกันอย่างปกติ ไม่ได้ป่าเถื่อนเหมือนสัตว์ป่าที่เวลาหิวก็จะออกล่าพวกที่อ่อนแอกว่า หรือเวลาเจอสัตว์แปลกหน้าหลงถิ่นมาก็กระโจนไปขย้ำคอ 


    พวกเราอยู่กันแบบปัญญาชน เคารพสิทธิ์ของกันและกัน เรียกได้ว่าเกือบจะเท่าเทียม


    ..ก็แค่เกือบแหละนะ


    ในเมื่อสืบพันธุกรรมตัวเองมาจากสัตว์ประเภทต่างๆ มันก็มีอยู่บ้างที่แต่ละสายพันธุ์จะมีความสามารถไม่เท่ากัน


    ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณมีเรื่องชกต่อยกับพวกเสือ ใช้แรงสู้ตรงๆก็ไม่มีทางชนะอยู่แล้ว ด้วยโครงสร้างร่างกายและพละกำลังที่มีมากมาตั้งแต่เกิด



    อีกเรื่องก็คือศัตรูตามธรรมชาติ สำหรับพวกหนูอย่างคิมซอกจิน ที่ไม่ถูกกันสุดๆก็คงหนีไม่พ้นแมวที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่โบราณ 


    แต่ไม่ใช่ว่าเจอกันแล้วเขาจะโดนพวกแมวบ้าวิ่งเข้ามาตะปบจนเละคามือ มันก็แค่เหม็นหน้า รำคาญ ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยแค่นั้นเอง


    ถ้าถามว่าพวกเราแยกกันออกได้ยังไง? ดูง่ายๆก็จากหูนี่แหละ หรือถ้ามองไม่เห็นอีกฝ่าย กลิ่นก็เป็นอีกอย่างที่ช่วยบอกได้เหมือนกัน


    ปกติแล้วพวกเราจะไม่ได้อยู่ในร่างสัตว์ ยกเว้นเวลามีภัยพิบัติหรือสัญชาตญาณบอกว่าอาจจะมีอันตรายถึงชีวิต ร่างกายของพวกเราจะมีกลไลที่ทำให้กลายร่างเป็นสัตว์อัตโนมัติเพื่อความอยู่รอด และความคล่องแคล่วในการหลบหนี






    ซอกจินเดินทอดน่องอยู่ในสวนพีชของตัวเอง เขาตัดสินใจเอาเงินเก็บเกือบทั้งหมดผสมกับเงินที่เหลือมาจากพินัยกรรมหลังแม่เสียชีวิตตั้งแต่สมัยม.ปลายมาซื้อที่ตรงชานเมือง สร้างบ้านไม้ชั้นเดียวหลังเล็กๆและนำพื้นที่ที่เหลือไปปลูกต้นพีช


    ลมเย็นๆพัดโชยมาพร้อมกับกลิ่นไม่พึงประสงค์ ร่างโปรงขยับจมูกฟุดฟิด สูดดมหาต้นตอของกลิ่นนั้น


    จากที่ประสาทรับรู้ของเขาสัมผัสได้เป็นกลิ่นคาวเลือดไม่ผิดแน่ และต้นทางของกลิ่นก็มาจากปลายสวนของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ปลายหูมนเล็กของซอกจินตั้งขึ้นอัตโนมัติด้วยสัญชาตญาณระวังภัยที่มีติดตัวอยู่


    แต่สงสัยสัญชาตญาณที่บรรพบุรุษถ่ายทอดมาให้คงเป็นของปลอม เพราะแทนที่คิมซอกจินจะถอยหลังกลับบ้าน ขาเจ้ากรรมดันพาเขามุ่งหน้าไปยังต้นตอของกลิ่นเพราะห้ามความอยากรู้ของตัวเองไม่ไหว



    แมว?

    แมวสามสีที่มีรอยแผลเหวอะอยู่ตรงขาหน้า



    ซอกจินย่นจมูกอย่างไม่รู้ตัวเพราะได้กลิ่นแมวที่ไม่ชอบ ที่ตอนอยู่ไกลๆเขาไม่ได้กลิ่นคงเพราะไอ้แมวตัวนี้ถูกกลิ่นเลือดกลบไว้หมด


    เขาก้มตัวลงไปอุ้มแมวตัวนั้นกลับไปที่บ้าน จัดการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้เท่าที่จะทำได้ ไว้เช้าเมื่อไรค่อยขับรถพามันไปหาสัตวแพทย์ในเมือง


    ซอกจินคุ้ยตู้เสื้อผ้าของตัวเอง หาผ้าขนหนูผืนที่ชอบน้อยที่สุดออกมาปูรองพื้นให้กับเจ้าแมวสามสีที่เพิ่งช่วยมา


    เสียดายผ้าชิบ แต่เอาวะถือว่าช่วยเพื่อนร่วมโลก






    หลังจากที่จดจ่ออยู่กับงานเขียนของตัวเองจนถึงเช้า คิมซอกจินเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำแต่งตัว ตั้งใจจะพาแมวตัวเมื่อคืนไปหาหมอ


    ถ้าแย่หน่อยมันอาจจะไม่รอดจากแผลเมื่อคืน หากเป็นอย่างนั้นจริงเขาจะเอามันไปฝังในสวน จะได้เป็นปุ๋ยให้ต้นพีชออกลูกสวยๆมาให้เขากิน




    มือเรียวเอื้อมไปคว้าลูกบิดประตูเพื่อเปิดออกไปนอกห้องแล้วก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจ


    แมวสามสีตัวเมื่อคืนหายไป กลายเป็นร่างผู้ชายเปลือยนอนหันหลังอยู่แทนที่ ผ้าก๊อซสีขาวที่เขาจำได้ว่าพันไว้ที่ขาหน้าของแมวตัวนั้นหลุดลุ่ยอยู่บนต้นแขนขวาแน่น เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ


    พอปะติดปะต่อความคิดของตัวเองได้เขาก็เข้าใจ ประสาทสัมผัสของเขาคงเพี้ยนไป ถึงได้ดมแล้วไม่รูู้ว่านี่ไม่ใช่กลิ่นแมวธรรมดา 


    แผลที่ดูใหญ่เมื่ออยู่บนร่างแมวตัวเมื่อคืน ตอนนี้หดเล็กเหมือนรอยที่ถูกของมีคมเกี่ยว ถึงแผลจะยังดูลึกแต่ก็ไม่ได้น่ากลัวเท่าครั้งแรกที่เห็น


    ซอกจินใช้ปลายเท้าเขี่ยคนที่นอนอยู่บนพื้นให้ตื่น คนถูกเขี่ยขยับหูทรงสามเหลี่ยมของตัวเองไปมาอย่างรำคาญ ก่อนจะหันหน้างัวเงียกลับมามอง



    “หิว”



    ปลายคิ้วของซอกจินกระตุกด้วยความหงุดหงิด ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่าคำว่าหิว แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนสายตาคู่นั้นกำลังสั่งเขาว่า



    ‘ไปทำอาหารมาให้เดี๋ยวนี้เจ้าโง่’



    เอาเถอะ ยังไงก็ต้องทำกินเองอยู่แล้ว เพิ่มขึ้นมาอีกที่ก็ไม่เสียหาย






    ซอกจินเดินออกจากครัวนำรามยอนสำเร็จรูปสองถ้วยออกมาวาง พบว่าอีกฝ่ายใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย แถมยังเป็นเสื้อผ้าของเขาที่พับไว้อย่างดีจากตู้ในห้องนอน



    “มาอาศัยนอนบ้านคนอื่นไม่พอ ยังกล้าไปค้นตู้เอาเสื้อผ้าเขามาใส่อีกเนอะ” ซอกจินค่อนแคะคนตรงหน้าด้วยความไม่พอใจที่ถูกรื้อข้าวของส่วนตัว



    “คุณเป็นคนเก็บผมมา..”


    "แล้วถ้าไม่ให้ผมใส่เสื้อผ้า ก็แสดงว่าคุณโรคจิตอยากเห็นผมเดินโป๊" คนแปลกหน้าที่เขา ‘เก็บมา’ แสยะยิ้มกวนประสาทแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ



    “รีบๆกิน ผมจะได้พาไปหาหมอแล้วไปส่งคุณที่สถานี” เขาเร่งอีกฝ่ายเป็นเชิงให้รู้ว่าเขาไม่ได้ยินดีต้อนรับแขกคนนี้สักเท่าไร แต่อีกฝ่ายกลับยักไหล่ใส่อย่างไม่ยี่หระ



    “แผลแค่นี้ไกลหัวใจ เลียๆเอาก็หายแล้ว”



    เลียบ้าเลียบออะไร! หรือคิดว่าน้ำลายสมานแผลได้ นี่หลุดมาจากโลกไหนถามจริง



    "ด่าอยู่ ดูออก”


    “เก็บสีหน้าบ้างก็ได้” ซอกจินกรอกตาใส่อย่างไม่สนใจ ดูออกก็ดูไปเขาไม่จำเป็นต้องสน


    “ทำท่าทางอย่างกับเด็ก”


    มาถึงประโยคนี้ก็ชักจะทนไม่ไหว อีกฝ่ายดูยังไงก็เด็กกว่าจะมาพูดแบบนี้กับเขาไม่ได้


    “พูดจากับผู้ใหญ่ควรใช้ท่าทางกับคำพูดที่สุภาพ” เขากอดอก ส่งสายตาดุใส่คนตรงข้ามที่ไม่มีทีท่าว่าจะเกรงกลัว



    “แล้วมีคำไหนที่ไม่สุภาพ..”


    “คุณยังไม่แนะนำตัวด้วยซ้ำ จะรู้ได้ยังไงว่าเด็กหรือแก่” ไม่กลัวไม่พอยังส่งคำยอกย้อนกลับมา ชวนให้เส้นเลือดตรงขมับคิมซอกจินเต้นตุบๆ



    “เด็กกว่าก็ต้องแนะนำตัวก่อน เป็นมารยาทพื้นฐานที่ควรจะรู้”



    “เอาอะไรมาพิสูจน์ว่าใครเด็กกว่าใคร อีกอย่างผมเป็นคนถามก่อนด้วยซ้ำ”


    “อย่างนี้ใครกันแน่ที่เสียมารยาทน่ะ หืม”



    หงุดหงิด! คิมซอกจินทั้งหงุดหงิดที่ถูกกวนประสาท และหงุดหงิดที่หาคำมาเถียงกลับไม่ได้



    “คิมซอกจิน อายุ 27” ซอกจินตัดสินใจตัดบทด้วยการแนะนำตัวแบบส่งๆ ใบหน้าสวยได้รูปเชิดขึ้นด้วยความไม่พอใจ



    “ก็แค่นั้น พัคจีมิน ปีนี้ 18”



    ถึงเขาจะเดาได้ว่าไอ้แมวเด็กตัวนี้อายุน้อยกว่า แต่ก็ไม่คิดว่าจะเด็กขนาดนี้ สำหรับคิมซอกจินแล้วคนตรงหน้าไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าหล่อเลยสักนิด 


    แค่เด็กผู้ชายผมบลอนด์ที่เครื่องหน้าไม่มีอะไรโดดเด่น ตาชั้นเดียวเรียวเล็กจนแทบมองไม่เห็นลูกตา ยิ่งขนาดตัวนี่แล้วใหญ่ น่าจะเตี้ยกว่าเขาได้เกือบคืบ


    ที่พอจะช่วยไอ้เด็กหน้าจืดให้ดูมีอะไรก็คงจะเป็น คิ้วเข้มได้รูปและปากหยักที่ดูเหมือนจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์ตลอดเวลา แต่พอมาอยู่บนหน้าของพัคจีมินแล้วกลับสะกดสายตาให้ละออกจากใบหน้านั้นไม่ได้


    ซอกจินเผลอพิจารณาอีกฝ่ายจนลืมว่าจุดประสงค์ตั้งแต่ตอนเริ่มบทสนทนากับเด็กนี่คืออะไร พอนึกขึ้นได้เลยส่งเสียงโวยวายแก้เขินกับตัวเอง



    “ลุกได้แล้ว! ไม่ไปหาหมอก็กลับ เดี๋ยวจะไปส่งที่สถานี”



    “ไม่อะ จะอยู่นี่” จีมินไม่พูดเปล่าลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจแล้วเดินไปนอนแผ่ตรงโซฟาอย่างกับบ้านหลังนี้เป็นของตัวเอง



    “ตลกแล้ว ใครเขาจะให้คนแปลกหน้าอาศัยด้วย” ซอกจินเดินกระแทกเท้าตามไปยืนอยู่หน้าโซฟา สองมือยกขึ้นมาเท้าเอว



    “แปลกหน้าที่ไหนคิมซอกจิน ผมเพิ่งแนะนำตัวไปลืมแล้วหรอ”


    “คุณซอกจิน! เรียกให้มันดีๆหน่อย”


    “ซอกจิน”


    “พี่! ซอก! จิน!”


    “จิน…”



    ไอ้แมวผี! ถ้าทำได้เขาอยากจะพ่นไฟใส่ ให้มันกลายเป็นเถ้าถ่านแล้วปลิวหายไปซะเดี๋ยวนี้


    ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้เป็นคนถือพี่ถือน้องอะไรหรอก แต่เพราะเป็นเด็กนี่เลยไม่อยากยอมแพ้


    ก็มันเล่นจ้องเขาค้างไม่ยอมกระพริบตา ในแววตามองแว่บเดียวก็รู้แล้วว่ากำลังสนุกอยู่ ไหนจะรอยยิ้มมุมปากที่พอมองไปนานๆแล้วชวนให้รู้สึก..



    ขนลุก?



    ซอกจินบอกไม่ถูกว่าอีกฝ่ายยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกแบบไหน ตอนแรกก็เหมือนกับจะถูกรอยยิ้มนั้นดึงดูดไว้ หัวใจของเขาเต้นถี่รัว รู้สึกหายใจติดขัด ใบหน้าร้อนผ่าว 


    แต่ก็เป็นได้พักเดียวเพราะอยู่ๆความรู้สึกเสียวสันหลังจนขนลุกซู่แทรกเข้ามาแทนที่ สัญชาตญาณดิบเตือนให้เขาระวังภัย หรือว่าเด็กนี่จะไม่ได้มาดี



    “ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นเลย คิดว่าผมจะจับจินมาขย้ำหรือไง”


    พัคจีมินเอื้อมมือมาดึงตัวซอกจินให้โน้มลงไป ใช้ปลายนิ้วคลึงตรงพื้นที่ระหว่างคิ้วสองข้างของเขา เพราะเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเครียดคิ้วขมวดกันจนเกือบจะเป็นปม



    “พี่จิน! พูดจาให้มีหางเสียงด้วย”



    “ครับ พี่จินก็ได้” คิมซอกจินพยักหน้าอย่างพึงพอใจในชัยชนะของตัวเอง ก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้ว่าเขาถูกไอ้เด็กเวรนี่พาหลงประเด็นอีกแล้ว


    “แต่ยังไงก็ไม่ให้อยู่โว้ย เหม็นกลิ่นแมว!”


    คนถูกว่าว่าตัวเหม็นทำหน้าเศร้ามีน้ำตาคลอในนัยน์ตา หูสามเหลี่ยมที่ปุกปุยไปด้วยขนนุ่มพับลู่ไปข้างหัว


    “รบกวนหน่อยได้ไหม ผมไม่มีที่ไปจริงๆ”


    “เค้าพูดกันว่าเลี้ยงแมวสามสีแล้วจะนำโชคดีเข้ามาในชีวิตนะครับ”












Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
jk_jin01 (@jk_jin01)
น่ารักมากเลยค่ะ ชอบภาษาสวยดี
รู้สึกว่าจีมินเป้นคนกวน..ใช่เล่น555
a_aun22 (@a_aun22)
จีมินกวนพี่เขามากอ่ะลูก บทจะอ้อนก็น่ารักเชียว