วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่แสนธรรมดาวันหนึ่ง แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง
ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเจ็บที่กลางหัว หรือว่าตอนนอนจะไปโขกกับหัวเตียง ....
ผมใช้มือคลำหัวของตนเอง เหมือนจะปูดอยู่หน่อย ๆ
ผมไม่ได้สนใจ ผมลุกขึ้นจากเตียง แล้วดำเนินกิจวัตรประจำวันตามปกติ
วันจันทร์ ผมตื่นขึ้นมาพร้อมความรู้สึกเจ็บที่หัวมากขึ้น เหมือนบริเวณที่ปวดมันจะปูดมากขึ้นด้วยเมื่อผมลองสัมผัสดู
คงต้องใช้เวลามั้ง นอนอีท่าไหนวะตื่นมาหัวปูดได้
ผมอาบน้ำแปรงฟันแล้วไปทำงาน
วันอังคาร ผมเจ็บหัวมากกว่าเดิม ผมพยายามส่องกระจกดู แต่ไม่ได้ผล จึงใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปหัวตัวเองแล้วดู
ผมพบว่า บนหัวผมมีก้อนปูด ๆ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งนิ้วได้
รออีกสักหนึ่งวันถ้ามันไม่ดีขึ้นค่อยไปหาหมอแล้วกัน ผมคิดก่อนจะออกไปทำงาน
วันพุธ ความเจ็บเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อสัมผัสก็พบว่าก้อนเนื้อนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
ผมเป็นอะไร เนื้องอก ? มะเร็ง ? ผมลองเสิร์ชหาในเน็ตแต่ไม่พบคำตอบที่ดี วันรุ่งขึ้นผมจึงตัดสินใจลางานตอนเช้าเพื่อไปพบหมอ
วันพฤหัสบดี ความเจ็บหายไปเป็นปลิดทิ้ง ผมโล่งใจนิดหนึ่ง แต่เมื่อลองจับที่บริเวณที่เคยปวด
สัมผัสแปลก ๆ ทำให้ผมตกใจ ผมวิ่งไปส่องกระจก ภาพที่ปรากฎทำให้ตกใจมากขึ้นไปอีก
ต้นไม้ ... มีต้นไม้ต้นเล็กงอกอยู่บนหัวผม
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ..
ผมกำลังชั่งใจว่าจะไปหาหมอดีหรือไม่ ถ้าหมอเห็นก็คงตกใจ
ผมอาจจะกลายเป็น case study ของหมอ จบลงที่โดนผ่าหัวสมองแบะ
หรืออาจจะกลายเป็นมนุษย์ต้นไม้ ออกแสดงไปทั่วโลก ได้เงินมากมาย เออ แบบนี้ก็ได้อยู่นะ ..
ใช่ที่ไหนเล่า นี่ไม่ใช่หนังแฟนตาซี ผมมั่นใจว่าผมเป็นคนธรรมดา ผมตัดสินใจจะถอนมันออก
พอดึงเจ้าต้นไม้ต้นนั้นผมรู้สึกเจ็บกว่าดึงผมตัวเองอีก เจ้านี่มันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายผมหรอ หรือมันเป็นเส้นผมที่งอกผิดปกติ ไม่ มันคือต้นไม้จริงๆ ยังเป็นต้นอ่อน เพิ่งมีใบเลี้ยงคู่หนึ่ง
วันศุกร์ ผมไปทำงานเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือใส่หมวก เพื่อนร่วมงานมองผมแบบงง ๆ
ผมยิ้มให้พวกเขาแทนคำตอบ ทุกคนไม่ได้ถามอะไร อย่างมากก็มองแบบแปลกๆ
วันเสาร์ ต้นอ่อนบนหัวผมโตขึ้น ตอนนี้มันสูงประมาณห้าเซ็นติเมตร มีใบเพิ่มขึ้น
ผมหยิบกรรไกรมา ตัดทิ้งซะเลยเป็นไง ผมเอากรรไกรตัดต้นอ่อนนั้น
เพียงคมกรรไกรสัมผัสต้นอ่อน ความรู้สึกเจ็บก็พุ่งขึ้นมาทันที ผมปากรรไกรทิ้ง
เอาออกก็ไม่ได้สินะ ...
วันอาทิตย์ ตอนเย็น ผมนั่งพิงพุ่มไม้อยู่ที่สวนสาธารณะ กับต้นอ่อนที่สูงประมาณเกือบสิบเซ็นต์
เออ ข้างหลังเป็นพุ่มไม้แบบนี้ก็ดี ช่างมัน คงไม่มีใครสังเกต ผมหลับตาลงพลางคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป
เผลอแวบเดียวก็หลับ จนกระทั่งได้ยินเสียงหนึ่งเรียก
"พ่อหนุ่ม" เสียงนั้นเรียกซ้ำ ๆ ผมผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรง ผมพบว่าผมหลับไปนานพอควรเหมือนกัน เพราะตอนนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว
คุณยายคนหนึ่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ผมทำอะไรไม่ถูก ยายแกจะเห็นต้นไม้บนหัวผมมั้ย ...
"ไอ้นั่นน่ะ" คุณยายชี้มาที่หัวผม ... เห็นจริง ๆ ด้วย ผมเริ่มเหงื่อแตก
"ไม่ต้องกลัวไปหรอก" คุณยายยิ้มจาง ๆ "ขอดูใกล้ ๆ หน่อยได้ไหม" คุณยายถาม
ผมพยักหน้าช้า ๆ
"ไม่ใช่แค่เธอหรอกที่มีแบบนี้" คุณยายพูดพลางลูบต้นไม้บนหัวของผมเบา ๆ ผมสงสัยว่าเรื่องทั้งหมดนี่เป็นความฝันหรือเปล่า
"ผมควรทำยังไง" ผมถามออกไปโง่ ๆ คงไม่มีอะไรเลวร้ายกว่าการมีต้นไม้บนหัวอีกแล้ว
"มีคนกลุ่มหนึ่ง ที่มีต้นไม้พวกนี้" คุณยายค่อย ๆ พูด
"เดินตามดาวดวงนั้นไป เธอจะพบคำตอบ" คุณยายบอก ก่อนจะเดินจากไป
"เดี๋ยวสิครับ" ผมตะโกน คุณยายเดินลับไปหลังต้นไม้ ผมวิ่งตามไปก็ไม่พบแม้แต่เงาของแก
... เจอผีหรอ
วันจันทร์
ผมส่งจดหมายลาออกจากบริษัท
ย่ำค่ำ ผมสะพายกระเป๋าเป้ใบโต
และออกเดินทางพร้อมกับต้นไม้บนหัว
ตามดาวดวงนั้นไป
.
วันอะไรชายหนุ่มก็ไม่รู้อีกต่อไปแล้ว
เขายังคงเดินทางต่อ
เขาไม่ได้ส่องกระจก ไม่ค่อยได้อาบน้ำ
ไม่รู้เหตุการณ์อะไร หุ้นตกไหม ใครเป็นนายกคนต่อไป เขาไม่รู้
แต่เขารู้อย่างหนึ่ง
เมื่อเขาก้มหน้าลงเหนือน้ำเพื่อที่จะล้างหน้า
เงาของเขา บนหัวเขา มีต้นไม้ต้นเดิมที่ดูโตขึ้นและที่สำคัญมันออกดอกสีเหลืองสดใส
เป็นดอกไม้ที่สวยงามที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา ...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in