เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Minimore SessionThoop-hom Supannopaj
จนกว่าเราจะพบกันอีก
  • ผ่านมาก็นานมากแล้ว อาจจะเผลอลืมมันไป
    แต่พอนึกถึงเรื่องที่ประทับใจ ที่ตรงนั้นก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง :)

    "ฝรั่งเศส" เป็นที่ๆใครหลายๆคนก็คิดและฝันไว้ ว่าสักวันหนึ่งจะต้องไปให้ได้
    เมื่อนึกถึงฝรั่งเศส สิ่งแรกที่จะนึกถึงก็คือ "หอไอเฟล" และ "ปารีส" จริงไหมคะ?
    เราก็เหมือนกัน

    ตอนนั้นอายุประมาณ 15 ปี คุณครูชวนให้ไปแสดงที่ประเทศฝรั่งเศส
    (ต้องบอกก่อนว่า เราเป็นเด็กเต้นค่ะ เราเรียน บัลเลต์ แจส รำไทย) เหมือนกับว่าจะได้ไปเผยแพร่วัฒนธรรมที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งตอนนั้นเราก็ตอบตกลงทันทีที่ครูชวน 

    สิ่งแรกที่เราคิด เราไม่ได้คิดเรื่องงานเลยด้วยซ้ำ 
    เราคิดแค่ว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหน เราเปิดอินเตอร์เน็ตหาว่าประเทศฝรั่งเศสเป็นยังไง มีที่ไหนบ้างที่เราควรจะต้องไป เราวางแผนหมดทุกอย่าง 
    จนวันที่ครูบอกว่า เมืองที่เราจะไปคือเมือง Brouges 
    เรามีความรู้สึกเหมือนคนอกหักอย่างแรง ถ้าเทียบกับตอนนี้ คงจะใช้คำนี้ได้ #ร้องไห้หนักมาก

    เมืองนี้คือเมืองอะไร ไม่รู้จัก ไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต
    แต่ก็ช่างเถอะ ทำอะไรไม่ได้นี่นา ต้องยอมจำนนฟ้าดิน

    วันเวลาผ่านไป 
    รู้ตัวอีกทีเราก็อยู่ที่ประเทศฝรั่งเศษแล้ว ทันทีที่เครื่องบินแล่นลงจอด สิ่งแรกที่เรามองหาคือ หอไอเฟล!
    เราอยากถ่ายรูปกับหอไอเฟลไปอวดเพื่อนๆ และเดินเที่ยวที่ต่างๆในเมืองปารีสมาก แต่เราก็ต้องผิดหวังอีกเป็นครั้งที่ 2 
    เพราะเมื่อเครื่องแล่นลงจอด เราก็ต้องเดินทางต่อ จำได้ว่ามีรถบัสคันใหญ่ๆมารับที่สนามบิน 
    จากนั้นก็แล่นออกนอกเมืองไป ตอนนั้นมีคำถามมากมายอยู่ในหัวมากมาย
    "ทำไมไกลจัง? เมื่อไหร่จะถึง? จะพาเราไปไหน? ที่นั่นจะมีห้าง มีที่สวยๆ เหมือนในปารีสให้เดินเที่ยวไหมนะ? " ยิ่งขับไปก็ยิ่งห่างไกลจากความเจริญขึ้นเรื่อยๆ 

    จนรถค่อยๆแล่นช้าลง และพี่ที่เป็นล่ามก็บอกเราว่า
    "ตอนนี้ถึงเมือง Brouges แล้วนะคะ" เรามอง และสังเกตุทุกอย่างตลอดทาง เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ ถ้าเทียบกันก็คงเหมือนชนบทบ้านเรา เหมือนอยู่บนเขา บนดอยประมาณนั้นเลย

    จนเมื่อรถจอดสนิท 
    ที่นี่คือที่พักของเรา! เอ่อ...คือ.. มันไม่ใช่โรงแรมนี่
    มันเหมือนค่ายลูกเสือบ้านเรา เดินเข้าไปที่ห้องพัก มีเตียง 2 ชั้น 3 เตียง นอนได้ 6 คนต่อ 1 ห้อง อืมมม..ก็ได้ เรามาทำงาน ไม่ได้มาเที่ยว ตอนนั้นคิดแบบนี้

    ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ถึงเวลาที่จะต้องอาบน้ำแล้ว
    เราเก็บของเข้าที่เรียบร้อย และพุ่งตรงไปยังห้องน้ำ
    เปิดน้ำอาบ "อ๊ากกกกก!!!!!" น้ำเย็นมากกกก บวกกับ อากาศที่เย็นจับใจ
    ไม่มีน้ำอุ่น!!!!!!! เราคิดในใจ"ต้องอยู่ที่นี่อีกกี่วัน แล้วต้องทนกับสภาพการไม่มีน้ำอุ่นอีกกี่วันกัน?"

    อาบน้ำเสดตอนนั้นเวลาประมาณ 6 โมงเย็น
    เราอยากออกไปเดินเล่นข้างนอก สำรวจเมืองว่าพวกเขาใช้ชีวิตกันยังไง
    แตสิ่งที่เราพบก็คือทุกอย่าง-เงียบสนิท- พี่ล่ามเล่าให้เราฟังว่าเวลานี้ทุกคนเข้าบ้านกันหมดแล้ว พวกเขาจะทำกิจกรรมร่วมกัน กินข้าวด้วยกัน แล้วก็เตรียมตัวนอน 
     6 โมงก็นอนกันหมดแล้วหรอ? เร็วเกินไปไหมอ่ะ? ซึ่งที่นั่นพระอาทิตย์ตกเวลาน่าจะประมาณ 3 ทุ่มได้ ถ้าเป็นในเมืองหลวงหรือกรุงเทพบ้านเราเวลานั้นนั้นก็คงจะคึกคักน่าดู
    เราไม่รู้จะเดินไปไหนก็เลยเดินกลับมาที่ห้องที่พักแล้วก็นอน

    จนเช้าวันรุ่งขึ้นเราตื่นนอน อาบน้ำที่สุดแสนจะเย็น และลงมาทานข้าวเช้า
    สิ่งที่เห็นก็คือโต๊ะยาวๆเหมือนกับโรงอาหารบ้านเรา แล้วก็มีตะกร้าใส่ขนมปังฝรั่งเศสไว้เยอะมาก วางเป็นกลุ่มๆเหมือนกับจะให้เราจับกลุ่มกินข้าวกันอย่างงั้นแหละ แล้วแม่บ้านก็ให้ชามเรามา 1 ใบ เป็นชามเหมือนชามแกงจืดบ้านเรา ไซส์ใหญ่ประมาณนั้น เอาไว้ไปกดเครื่องดื่ม ใครอยากกินนม ใครอยากกินโกโก้หรือว่าใครอยากกินกาแฟก็เอาชามนั้นน่ะไปกดที่เครื่องทำเครื่องดื่ม เครื่องนั้นเป็นระบบออโต้นะ พอไปกดเลือกว่าจะเอาอะไร มันก็จะไหลอัตโนมัตเต็มชามพอดี
    เราจำได้ว่าตอนนั้นมันอร่อยมาก โกโก้ร้อนในชามใหญ่ๆกับขนมปังฝรั่งเศส เป็นอะไรที่เข้ากันมากๆ
     ในใจเราคิดว่าอยากกินแบบนี้ไปทุกวันเลย

    หลังจากที่เราเสร็จจากงานแสดง ตอนนั้นเวลาประมาณ 6 เย็น อย่างที่รู้กันว่าไม่รู้จะไปเดินเล่นที่ไหน เรากลับมาที่บ้านพัก ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยอ่านหนังสือ ระหว่างที่อ่านหนังสืออยู่นั้น เราได้ยินเสียงเพลงมาจากไกลๆ เป็นเสียงดนตรีพื้นบ้านล่ะ เมืองนั้นเงียบจนเราก็ได้ยินเสียงคนคุยกันด้วย เราก็ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน ตอนนั้นเราคิดว่า หรือว่าจะมีงานแถวนี้ เราก็เลยลงมาจากห้องพัก มาหาว่าเสียงมันมาจากไหน เรามองหาอยู่นานจนเรามองไปเห็นที่ที่หนึ่ง เราก็ไม่รู้ว่าที่นั่นเค้าเรียกว่าอะไรนะ แต่ถ้าเป็นเราคงเรียกว่าประภาคาร ที่ดูเก่ามาก เหมือนว่าจะร้าง ไม่มีใครอาศัยอยู่ แต่เราเห็นคน!
    คนเค้ากำลังทำอะไรกันสักอย่าง ด้วยความซนบวกกับความอยากรู้ อยากเห็นของเรา 
    เราก็เลยตัดสินใจเดินไปแอบดู เหมือนพวกถ้ำมอง
    แล้วจู่ๆก็มีคุณลุกคนนึงมาสะกิดที่หลังเรา ตอนนั้นใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
    เพราะคิดว่าโดนจับได้ว่ามาแอบดู 
    คนฝรั่งเศสไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษ แล้วเราเองก็พูดภาษาฝรั่งเศสไม่เป็นด้วยก็เลยไม่รู้ว่าจะสื่อสารกันยังไง ว่าเราไม่ได้คิดร้ายนะ! เราแค่มาแอบดูเฉยๆ

    แต่ว่าการสื่อสารของเค้าบอกว่าให้เราเดินตามขึ้นไปข้างบน ใจเราตอนนั้นไม่ได้คิดว่ามันอันตรายหรืออะไรเราแค่อยากรู้ว่าข้างบนนั้นมีอะไร เราก็เลยเดินขึ้นไปตามเขา
    แล้วก็ไปเจอกับโลกอีก 1 ใบ เป็นผู้สูงอายุ รุ่นคุณลุง คุณป้า เค้ากำลังเต้นกันเป็นรำกัน คงเป็นโฟลคแดนซ์(ระบำพื้นเมือง)ล่ะมั้ง
    ถ้าเปรียบเหมือนบ้านเราก็คือสมาคมลีลาศอะไรแบบนั้นแหละ

    เค้าสอนเราเต้นด้วยนะ ทุกคนให้การต้อนรับอย่างดีมาก ถึงแม้ว่าเราจะคุยกันคนละภาษาก็ตาม ตอนช่วงพักคุณลุงท่านนึงก็สอนเราเล่นเครื่องดนตรี เป็นเครื่องดนตรีที่เราไม่รู้จัก เท่าที่จับใจความได้ เค้าบอกว่ามันเก่าแก่ ไม่ค่อยมีใครใช้กันแล้ว แล้วเราก็ได้ลองเล่น เราสนุกมาก มีความสุขที่สุดจนลืมเวลาไปเลย

    พี่ล่ามที่เขาดูแลพวกเราก็ออกตามหาจนมาเจอเราที่นี่ พวกเค้าก็ตกใจเหมือนกันนะที่ทำไมเราถึงกล้าที่จะเดินขึ้นไป ตอนนั้นเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่เราก็ดีใจที่เราตัดสินใจที่จะเดินตามหาเสียงนั้น 
    เมื่อพี่ล่ามมาเราได้ทำความรู้จัก และแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ เราได้คุยกับคุณลุงคุณป้ามากขึ้นโดยมีพี่ล่ามคอยเป็นวุ้นแปลภาษาให้ เราชวนเค้ามาดูตอนที่เราแสดงด้วยนะ พวกคุณลุกคุณป้าก็สลับกันมาดูเราทุกวันเลย

    นึกแล้วเราก็คิดถึง เป็นความสนุก เป็นความสุข เป็นความทรงจำที่เราไม่ลืมเลย 
    หลังจากวันนั้นเราก็มองเมืองนี้เปลี่ยนไป เราอยากอยู่ที่นี่ เราอยากใช้ชีวิตที่นี่ เราหลงรักความเงียบ หลงรักความมีน้ำใจ ความใจดี ความน่ารักของทุกๆคน ที่พบเจอไม่ใช่แม้แต่พวกคุณลุงคุณป้าที่นั่นนะ เราหลงรักความเป็นชนบท หลงรักค่ายลูกเสือ หลงรักอากาศหนาวแล้วก็น้ำเย็นจับใจ หลงรักโกโก้ชามใหญ่ แล้วก็หลงรักขนมปังฝรั่งเศส

    เรารู้สึกโชคดีเหลือเกิน ที่ได้มีโอกาสไปที่นั่น
    ถ้าเราไปเที่ยวเอง เราก็คงไม่มีโอกาส และไม่คิดจะเลือกไปเที่ยวที่นั่น
    แต่ถ้าเป็นตอนนี้ ถ้าเราเลือกได้ เราก็อยากกลับไปที่นั่นอีก
    ตอนนั้นเรายังเด็ก เราก็เลยไม่ได้มีความคิดที่จะต้องขอเบอร์ติดต่อ อีเมล หรือที่อยู่กับคุณลุงคุณป้าเลย เราอยากเจอพวกเขาอีกครั้งนะ เราจำได้ว่าพวกเขาพูดกับเราวันที่เราจะต้องกลับประเทศไทยว่า เค้าดีใจที่ได้รู้จักเรา เค้าเห็นเราเหมือนเราเป็นลูก เป็นหลานของเค้าจริงๆ เค้าจะคิดถึงเรานะ ให้เราคิดถึงเค้าด้วย "จนกว่าเราจะพบกันอีก" :)
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in