เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เป็นเรื่องธางฝัน
ปีกตะวัน



  • เย็นแล้ว ดวงอาทิตย์คงใกล้จะตกจากฟ้าเต็มที






    ฉันนั่งนิ่ง ๆ มองออกไปนอกประตูระเบียง เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ ฉันรู้แต่เพียงว่าฉันมองมันตั้งแต่แผ่นฟ้าทั้งผืนยังดูสว่างดีและเต็มไปด้วยเมฆสีขาว ท้องฟ้าสดสวยในช่วงกลางวันค่อย ๆ ซีดจางลง แสงสีส้มอมชมพูคืบคลานขึ้นมาตามเส้นขอบฟ้า สอดประสานเข้ากับสีอ่อนจางไปอย่างงดงาม ฉันอดคิดไม่ได้ว่าธรรมชาตินี่ช่างกระไร ให้ภาพที่สวยงามอย่างนี้เป็นจุดเริ่มต้นของความมืดมิดที่จะเข้ามาเยือน แต่จะว่าไป ฉันก็ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าความมืดคืบคลานมาปกคลุมฟ้าตั้งแต่เมื่อไร หรือแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปจริง ๆ ตอนไหน เพราะระเบียงห้องที่ฉันอยู่นี้ถูกกั้นไว้ด้วยตาข่ายขนาดใหญ่ทำให้ไม่สามารถชะโงกหน้าไปมองทิศตะวันตกซึ่งควรจะอยู่ทางขวามือได้เลยสักครั้ง





    ฟ้าเริ่มหม่นแสงลงอีกครั้ง ฉันยกมือขึ้นจับตาข่ายแล้วออกแรงดัน 





    ก็เหมือนเดิม...มันไม่ขยับไปไหน เชือกบนตาข่ายแข็งแรงเคลือบกันน้ำมาอย่างดี ยึดโยงเอาไว้กับผนังทั้งสี่อย่างเหนียวแน่นด้วยตะปูและตัวน็อต แม่ของฉันเป็นคนเอาตาข่ายนี้มาติด ทำมาเป็นปีแล้วตั้งแต่ตอนที่ฉันยังเรียนอยู่ต่างประเทศ เพราะระหว่างที่ไม่มีคนอยู่นั้นมีนกพิราบเข้ามาอาศัยทำรัง ได้ยินว่าทำให้ระเบียงสกปรกไปมากทีเดียวฉันเคยถามว่าทำไมไม่ทำเป็นแผ่นกระจกกั้น หรือ หาม่านพลาสติกมาติดแทนจะได้กันฝุ่นไปด้วย แต่แม่บอกว่าคอนโดฯ นี้มีออกกฏเอาไว้ เขาว่า ‘ห้ามของทึบ  ๆ ห้ามของสี ๆ ห้ามของเงา ๆ ’ เพราะจะทำให้ภาพรวมของตัวอาคารดูดรอปลงเมื่อมองจากระยะไกล อย่างว่าละ ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ทุกอย่างล้วนให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ภายนอกกันก่อนเสมอ...มากเสียยิ่งกว่าคุณภาพชีวิต หรือความสะดวกกายสบายใจในระดับบุคคล





    ฉันมองออกไปนอกตาข่าย ดูนกสองตัวที่กำลังบินหยอกล้อกันท่ามกลางสายลมอ่อนหวานในยามเย็นแล้วรู้สึกแปลกพิกล เคยเห็นนกในกรงมาทั้งชีวิต แต่บัดนี้ราวกับอยู่ในกรงเสียเอง แต่หากมีใครถามว่าฉันจะรู้สึกอย่างไรถ้าได้รับเสรีภาพขึ้นมาจริง ๆ ...ฉันก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรดีเหมือนกัน





    คิดได้ดังนั้นจึงลดสายตากลับเข้ามาในระเบียง มองตรงไปยังเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวที่ฉันคิดว่าน่าจะมีความรู้สึกแบบเดียวกัน ต้นไม้ในกระถางขนาด 8 นิ้ว ลำต้นสีน้ำตาลแก่ดูแข็งแรง แต่หากไปไกลจากกระถาง น้ำและดิน อย่างไรก็คงอยู่ได้ไม่นาน ฉันจึงทึกทักเอาว่าต่อให้เป็นต้นไม้ก็คงรู้สึกอึดอัดกับพื้นที่อันจำกัดนี้ได้เหมือนกัน




    “ฉันเพิ่งฟังเรื่องความแปลกของคนมาอีกเรื่องหนึ่งละ” เอ่ยออกไป ราวพูดคุยกับเพื่อนสนิท “คนพูดบอกว่ามาจากหนังสือเรื่องเดเมียน...เขาว่า...คนบางคนจะยอมสละปีกตัวเองลงไปอยู่ใต้กรอบของกฏระเบียบเพราะกลัวจะได้รู้จักกับการมีอำนาจเหนือตัวเองจริง ๆ ”





    เมื่อพูดจบแล้วฉันก็นึกถึงบทสนทนาที่เพิ่งคุยกับต้นโรสแมรี่ไปเมื่อไม่กี่วันก่อน เกี่ยวกับความคิดที่ว่าเสรีภาพนั้นแท้จริงแล้วเป็นสิ่งน่ากลัว ยามที่ยังไม่รู้จัก คนที่มักจะโดนเก็บตัวอยู่แต่ในรั้วบ้านรั้วโรงเรียนมาตั้งแต่เด็กอย่างฉันก็เคยโหยหามันมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นอิสรภาพทางกาย ความคิดหรือจิตใจ แต่ในวินาทีที่ได้สัมผัสกับมันเข้าจริง ๆ กลับรู้สึกโหวงเหวงว่างเปล่า มันน่ากลัว ฉันจำได้ว่าตอนนั้นดิ้นรนแทบตายเพื่อจะหาหลักยึด กรอบความคิด หรืออะไรก็ได้มาครอบหัวตัวเองอีกรอบ สภาพไม่ต่างจากหนูทดลองในเรื่องเล่าที่เคยได้ฟัง...หนูที่ถูกขังอยู่ในกรงไฟฟ้ามาทั้งชีวิตก่อนจะได้รับการปล่อยตัว เมื่อมันก้าวเข้าสู่พื้นที่อิสระปราศจากกระแสไฟ ก็เกิดตระหนกตกใจ กระเสือกกระสนกลับเข้าไปอยู่ในกรง และไม่คิดจะออกมาอีกเลย





    ฟ้ามืดแล้ว





    ฉันหันหลังให้กับเสียงเครื่องยนต์กระหึ่มก้องบนท้องถนน กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับใจที่หนักอึ้งและความรู้สึกชาแปลก ๆ ลมเย็นจากพัดลมตัวเก่งที่เริ่มส่งเสียงก๊อกแก๊กบ่อยขึ้นทำให้ฉันรู้สึกปวดมวนท้อง ย้ำเตือนถึงร่างกายที่ยังมีลมหายใจ มีความรู้สึก






Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in