HOME
pairing: Max/Tul
genre: fluff, light angst
rate: PG
note: ฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องแต่งตามจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
“Sometimes home doesn’t come in a place, sometimes it is a person.”
(1.) Home is where you have your favorite homemade chicken soup.
“พรุ่งนี้ผมไปหาที่คอนโดได้ป่ะ” เขาเอ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้มที่สว่างสดใสเหมือนกับครั้งแรกที่เจอ
รอยยิ้มแรก – ที่ทำให้ตกหลุมรัก
“อยากมาก็มาสิรปภ.ใต้คอนโดแทบจะจำหน้ามึงได้แล้วนี่”
“ไม่ได้ดิต้องถามเจ้าของห้องก่อนว่าอยากให้ไปหาหรือเปล่า”
เขายิ้ม –ไม่เคยมีครั้งไหนที่ไม่อยากเจอ
ถ้าเป็นไปได้อยากให้เจอกันทุกวันด้วยซ้ำ
“ก็มาสิ แล้วจะทำซุปให้กิน”
“จริงเล่น? ซุปไก่อ่ะนะ”
“กูเคยโกหกมึงเหรอ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของคนเยาว์กว่าขยับกว้างขึ้นกว่าเคยอีกนิด จนแทบจะกินพื้นที่ไปถึงใบหูเสียด้วยซ้ำ
“พรุ่งนี้ผมไปรับละออกไปซื้อของที่ซุปเปอร์กัน”
“เดี๋ยวซื้อไว้เย็นนี้เลยก็ได้พรุ่งนี้มึงมาก็จะได้กินเลย”
“ไม่เอาอ่ะ อยากไปด้วยกันมากกว่าผมต้องเป็นคนเลือกแครอทกับหอมใหญ่ ส่วนพี่ไปเลือกไก่เลย”
“ทำไมกูต้องเป็นคนเลือกไก่”
“ก็เพราะผมเลือกไม่เป็นยังไงล่ะครับ”
“เด็กเวร”
คนพูดเพียงแต่ยิ้มบางๆ แต่คนฟังกลับเป็นฝ่ายหัวเราะเสียงดังขึ้นมาแทน
มีอย่างที่ไหนกัน ถูกด่าแท้ๆ แต่ยังหัวเราะขึ้นมาได้ราวกับคำต่อว่าเป็นคำชื่นชมเสียอย่างนั้น
เจ้าเด็กเวรที่ว่าเอื้อมมือไปปิดวิทยุในรถ เสียงเพลงเงียบลงจนภายในรถเงียบสนิท
เขาหันมายิ้มให้คนข้างๆ แววตาทอแสงอ่อนลง
อ่อนโยนแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆ นัก
“พี่น่ะ ตามใจผมตลอดเลยนะ”
“แล้วไม่ชอบเหรอ”
“โดนสปอยจนนิสัยเสียหมดแล้ว”
“ปกติก็นิสัยเสียอยู่แล้วต่อให้กูไม่สปอยก็เถอะ”
“โห่พี่..” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงยานคางเหมือนเด็กเล็กๆเวลาที่ไม่พอใจเมื่อโดนแม่ดุ มุมปากคว่ำลงน้อย ๆทั้งน่าเอ็นดูและน่าหมั่นไส้ในขณะเดียวกันทั้งๆ ที่โตขนาดขับรถไปไหนมาไหนได้เองแล้วแท้ๆก็ยังติดนิสัยชอบทำตัวเป็นเด็กอยู่เรื่อย
ก็เพราะเป็นแบบนี้ไง ถึงอดไม่ได้ที่จะตามใจ
“สรุปพรุ่งนี้จะมากี่โมง” เขาเอ่ยถามเมื่อมองออกไปนอกกระจกแล้วเห็นว่ามันใกล้จะถึงจุดหมายเต็มท
“ซุปมันต้องกินกี่โมงถึงจะดีอ่ะ”
“กี่โมงก็ได้ แล้วแต่มึงสิ”
“งั้นผมไปรับตอนบ่ายสอง ซื้อของนู่นนี่กว่าจะได้กินก็ตอนเย็นพอดี”
“อื้อ ได้”
คนที่ทำหน้าที่เป็นสารถีจำเป็นเลี้ยวรถเข้ามาภายในคอนโดลดกระจกบอกพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
“มาส่งคนกลับบ้านครับ” เขาตอบยิ้มๆ บอกชั้นที่พี่ตุลย์อยู่กับเบอร์ห้องไปด้วยความคุ้นเคย
คุณลุงคนเดิมยิ้มตอบกลับมาพร้อมกับตะเบ๊ะให้หนึ่งที
“ลุงเขาน่ารักดีนะผมมาส่งพี่ทีไรก็ยิ้มแล้วตะเบ๊ะให้ทุกที”
“แกน่ารักวันไหนถ้ามีขนมติดรถมาด้วยก็เอาแบ่งไปฝากตลอด”
“นี่ก็น่ารักอีกแล้ว”
“อะไรน่ารัก”
“พี่ไงน่ารัก เป็นคนน่ารัก”
“เพ้อเจ้อ” ปลายประโยคเขาก้มลงให้ความสนใจกับโทรศัพท์ในมือ
พยายามไม่ให้ความสนใจกับคนตัวโตที่นั่งอยู่หน้าพวงมาลัย
น่ารักอะไรเล่า –บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องชมว่าน่ารัก
ไม่ได้น่ารักซะหน่อย หล่อน่ะหล่อ รู้จักไหม
ต้องชมว่าหล่อสิวะ!
อีกฝ่ายที่ลอบมองอยู่หัวเราะขำกับอาการก้มงุดของคนโตกว่า
ถึงข้างนอกจะมืดแล้ว แต่ถ้าเขามองไม่ผิด แก้มขาวๆ ที่เริ่มแดงระเรื่อนั่นไม่น่าจะใช่
ผลจากความร้อนแน่ๆ เพราะเครื่องปรับอากาศภายในรถเขาก็ยังทำงานได้ดีไม่มีบกพร่อง
เหตุผลข้อเดียวที่ดูจะเป็นไปได้น่าจะเพราะอีกคนเขินมากกว่า
เขินจนแก้มแดงแบบนี้
แล้วจะไม่ให้ชมว่าน่ารักได้ยังไงกันเล่า
เขาเอื้อมมือไปปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยของคนที่ยังนั่งนิ่งไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัวใดๆ
ทั้งที่รถจอดมาตั้งเกือบห้านาทีแล้ว
“ถึงบ้านแล้วครับหรืออยากไปนั่งรถเล่นกับผมอีกรอบ”
“นั่งรถเล่นอะไร จะห้าทุ่มแล้วโว้ย”
“ก็เห็นนั่งนิ่งไม่ยอมลุกเลยนึกว่าอยากอยู่กับผมต่อนานๆ”
“พรุ่งนี้ก็ได้เจอกัน”
“ครับ เจอกันพรุ่งนี้”
“ห้ามสายด้วย”
“มีซุปไก่ไม่มีสายแน่นอน” คนฟังได้แต่หัวเราะขึ้นมาทันทีอย่างอดไม่ได้
พอมีเรื่องอาหารมาเกี่ยวทีไรก็ไม่เคยจะอดใจได้เลยนะ
เหมือนเด็กไม่มีผิดจริง ๆ นั่นแหละ
ถ้าโคนันเจ้าหนูยอดนักสืบเป็นผู้ใหญ่ในคราบเด็กประถม แม็กซี่เจ้าเด็กเวรนี่ก็ต้องเป็นเด็กในร่างผู้ใหญ่อายุ23 เป็นแน่ แถมเป็นผู้ใหญ่ตัวโตซะด้วย
“ขับรถดีๆ ล่ะ”
“แน่นอนครับ” ตอบรับพร้อมกับยิ้มให้จนตาหยีอีกครา
ภากรก้าวลงจากรถโดยไม่ทันสังเกตว่าเข็มขัดนิรภัยของตัวเองถูกปลดล็อคไว้ก่อนแล้ว กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที้พาหนะคันหรูที่มาส่งเขากลับถึงบ้านแล่นออกไปจนเห็นเป็นเพียงเงารางๆ
“ขอบคุณนะที่มาส่ง” เขาพึมพำเบาๆ พร้อมรอยยิ้มที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากก่อนจะก้าวขาขึ้นบันไดเพื่อตรงไปกดลิฟต์ขึ้นห้องพัก
ต้องทวนสูตรซุปไก่ของแม่ซะหน่อยแล้วมั้งคืนนี้
2. Home is where your heart beats a little faster.
“ทำไมตาบวมขนาดนี้”น้ำเสียงเจือด้วยความห่วงใยอย่างปิดไม่มิด คนตาบวมที่ว่าทรุดตัวลงนั่งที่พื้นที่ว่างบนโซฟาในห้องพักนักแสดง
วันนี้เขากับแม็กซ์มีคิวถ่ายรายการด้วยกัน นัดกันเก้าโมงเช้าแต่ว่าเขาเพิ่งจะได้นอนหลับอย่างจริงจังเมื่อตอนตี่สี้นี้เองยังไม่ทันจะหลับสบายดีก็ต้องตื่นขึ้นมาเพราะเสียงนาฬิกาปลุกเมื่อตอนเจ็ดโมงเพื่อจะได้อาบน้ำแต่งตัวขับรถออกมาทำงาน สภาพถึงได้เป็นอย่างที่เห็นดวงตาสองข้างบวมและแดงก่ำจากการนอนน้อยแต่ที่มันบวมจนผิดสังเกตและทำให้อีกฝ่ายเอ่ยถามก็เพราะเขาเผลอยกมือขึ้นไปขยี้
“วันนี้ใส่คอนแทคมาหรือเปล่าผมว่าถอดดีกว่านะ ตาบวมขนาดนี้อะ ใส่แว่นแทนดีกว่า เอามาไหม?”
“ไม่ได้ใส่มา วันนี้รีบ ลืมทุกอย่างเลย”
“ลืมใส่คอนแท็คงั้นแว่นก็ไม่ได้เอามาด้วยสิ”
“อื้อ ไม่ได้เอามา”เขาตอบก่อนจะเอนศีรษะพิงที่ไหล่ของอีกฝ่าย ก่อนจะปิดตาลงทั้งสองข้าง
“เป็นอะไร พี่ไม่สบายหรือเปล่า”
“เปล่า แค่ง่วงเฉย ๆ”
“นอนดึกเหรอ ปกติพี่ต้องนอนก่อนเที่ยงคืนไม่ใช่เหรอไง”
“เมื่อคืนนอนไม่หลับ” เขาซุกหน้าลงกับไหล่ของอีกฝ่ายมากขึ้นราวกับว่าต้องการจะตัดบทสนทนาให้จบลงให้เร็วที่สุด คนเป็นน้องขยับตัวเอาแขนข้างขวาของตัวเองพาดไปที่พนักโซฟาก่อนจะโอบไว้ที่ไหล่
ของอีกคนไว้หลวมๆ
ถ้าพี่แต้วเปิดประตูเข้ามาเห็นมีหวังต้องได้แซวอีกแน่ๆ
แต่ก็ไม่เป็นไรเท่าไหร่หรอก แค่อยากให้พี่ตุลย์นอนสบาย ๆ ก็พอ
“คิดถึงผมจนนอนไม่หลับเลยเหรอ”คนแก่กว่าเพียงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอู้อี้
“หลงตัวเอง ใครจะคิดถึงมึง”
“โห่ เสียใจนะเนี่ย ผมยังคิดถึงพี่เลย”
“เชื่อมึงก็ออกลูกเป็นลิงแล้ว”
“ถ้าลูกพี่เป็นลิงก็คงเป็นลิงที่น่ารักที่สุดในฝูง”
“เต๊าะเก่ง”
“ฮ่าๆ แล้วตกลงจะไม่ตอบผมจริง ๆ เหรอว่าทำไมนอนไม่หลับ” มือข้างขวาที่โอบไหล่อีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นลูบขึ้นลงที่แขนเบา ๆ คนถูกถามยังคงไม่ตอบ ดวงตาสองข้างปิดสนิท
“ว่าไงครับ”
“เซ้าซี้จังวันนี้”
“ก็เป็นห่วงไงเล่า ฝันร้ายเหรอ”
“ถ้าบอกว่าใช่ ห้ามหัวเราะนะ” ณัฐพลหันมามองคนข้างตัวอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่อีกฝ่ายนั่งลงข้างๆ แล้วยึดพื้นที่ไหล่เขาไปหนุนนอนต่างหมอน
“หันมาคุยกันดีๆ เร็ว” เขาลดแขนตัวเองออกจากโซฟา ขยับตัวลุกขึ้นนั่งตัวตรงจนสุดท้ายคนที่พยายามจะหลับต่อต้องหันหน้ามาคุยกับคนช่างถามอย่างจริงจัง
“สรุปนอนไม่หลับเพราะฝันร้ายจริงๆ เหรอ”
“อือ”
“ละทำไมไม่บอกแต่แรก จะปิดไว้ทำไม”
“ก็มันดูไร้สาระ โตขนาดนี้แล้วยังนอนไม่หลับกับเรื่องแค่นี้อีก”
“ผมก็เคยนอนไม่หลับเพราะฝันร้าย พี่ว่ามันไร้สาระเหรอ”
“ม..ไม่ มันไม่เหมือนกันสิวะ” คราวนี้น้ำเสียงตะกุกตะกักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนหัวคิ้วสองข้างขมวดเป็นปมจนเขาอยากจะแกล้งให้มันขมวดแน่นกว่าเดิม
อยากมีความลับกับเขาดีนัก
“ทำไมจะไม่เหมือนกัน ก็สาเหตุเดียวกันชัดๆ”
“ก็กูโตกว่ามึงอะ”
“แค่สองปี”
“ก็โตกว่าอยู่ดี” เขาทำท่าจะเถียงต่อแต่เพราะสัมผัมแผ่วเบาที่บริเวณรอบดวงตาทำให้เขาสงบปากสงบคำได้ทันที ปลายนิ้วอุ่นยื่นมาเกลี่ยเบาๆ ที่ใต้ตาที่บวมน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยประโยคยืดยาวที่ทำให้
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
“มีอะไรก็บอก ต่อให้ดูเป็นเรื่องไร้สาระแค่ไหนก็บอกผมได้” เขานิ่งไปพักนึงแล้วพูดต่อ
“ไม่ต้องเป็นพี่คนโตตลอดเวลาก็ได้ ผมดูแลพี่ได้น่า จริง ๆ นะนอนไม่หลับเพราะฝันร้ายไม่ใช่เรื่องแปลกสักหน่อย ใคร ๆ ก็เคยมีโมเม้นต์แบบนี้กันทั้งนั้น พี่ยังเคยบอกว่าฝันมันก็เป็นแค่ฝันไม่ใช่เรื่องจริงสักหน่อย อย่าเอามันเก็บไปคิดจนย้อนไปทำร้ายตัวเองกว่าเดิม”
“มันก็ใช่..แต่ว่า”
“เดี๋ยว ผมยังพูดไม่จบ”
“ตอนนี้ผมมีวิธีป้องกันไม่ให้ฝันร้ายแล้วนะ ก่อนนอนผมจะคิดถึงสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน หรือถ้าวันนั้นไม่มีสิ่งดี ๆ อะไรเกิดขึ้นเลยผมก็จะคิดถึงสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุข”
“เช่น ติ่มซ่ำ บิงซู ไอติมสตรอเบอรี่ หุ่นกันดั้ม กลิ่นวานิลลา วันพีซ” คนเป็นพี่เอ่ยพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ
บทจะจริงจังขึ้นมาก็ทำได้เหมือนกันนี่
แต่ถ้าให้พูดถึงเรื่องที่ทำให้ไอ้แม็กซ์มีความสุขก็หนีไม่พ้นพวกของกินแล้วก็ก็การ์ตูนแน่ ๆ
“ทำไมไม่คิดว่าหนึ่งในความสุขผมอาจไม่ใช่สิ่งของ แต่เป็นคนบ้างอะ”
“งั้นใครล่ะ หลิวอี้เฟยเหรอ”
“ไม่..พี่ต่างหาก
ความสุขชิ้นใหญ่ของผม”
ตอนนั้นเองที่ภากรคิดว่าหัวใจตัวเองเต้นเร็วไป1.5 จังหวะ
(2.1) Home is where your heart beats much faster.
“ไปร้านดอกไม้กัน”
“ไปทำไม”
“เอ้า ไปร้านดอกไม้ก็ต้องไปซื้อดอกไม้สิจะให้ไปซื้อขนมปังเหรอ”
“กวนตีนนะมึงอ่ะ”
“ก็พี่ถามคำถามประหลาดอ่ะ”
“งั้นเปลี่ยนคำถามใหม่ก็ได้ไปร้านดอกไม้จะไปซื้อดอกไม้ให้ใครครับคุณณัฐพล” ปลายประโยคเจือเสียงหัวเราะ เขาคว้ากุญแจและโทรศัพท์จากโต๊ะแต่งหน้าแล้วหันไปยิ้มใหคุณป้าแม่บ้านก่อนจะเดินออกจากสตูดิโอพร้อมกับอีกฝ่ายแต่พอเดินมาถึงที่จอดรถก็กลับกลายเป็นว่าเจ้าน้องชายตัวดีแย่งกุญแจรถในมือของเขาไปถือไว้เองกดปลดล็อคแล้วเข้าไปนั่งในที่นั่งของคนขับเสร็จสรรพ
“นี่รถกูนะแม็กซ์เผื่อมึงลืม” ปากก็พูดไปแต่ขาก็เดินอ้อมมาเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับเรียบร้อยแล้ว
ก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องขับรถเอง สบายจะตาย
“ไม่ได้ลืม แต่วันนี้ผมจะขับ”
“ละรู้เหรอว่าร้านดอกไม้อยู่ที่ไหนอะ”
“รู้ ไปเสิร์ชมาแล้ว”
“มีการทำการบ้านคนที่จะได้ดอกไม้นี่คงสำคัญมากสิท่า”
“มาก....สำคัญโคตรๆ” พูดจบก็หันมายิ้มกว้างให้เขาจนดวงตาสองข้างยิบหยี
ชั่ววูบหนึ่งที่หัวใจเขาเต้นเร็วกว่าปกติด้วยความหวังว่าว่าที่เจ้าของดอกไม้อาจจะเป็นเขาเองหรือเปล่า
แต่เมื่อสายตาคู่นั้นหันกลับไปมองที่ถนนตรงหน้า เอื้อมมือไปเปิดวิทยุในรถให้เสียงเพลงดังขึ้นมาท่ามกลางห้องโดยสารที่เงียบสนิท ราวกับว่ารอยยิ้มที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ไม่ได้แฝงด้วยความหมายอันใด
ความหวังก็ค่อยๆ ริบหรี่ลงก่อนจะมอดไหม้ไปในที่สุด
เขาน่ะ
คงไม่ได้สลักสำคัญอะไรขนาดนั้นหรอก
ตลอดทางจากสตูติโอเขาไม่ได้พูดอะไรสักคำในรถมีแค่เสียงเพลงจากวิทยุคลอด้วยเสียงร้องของอีกฝ่ายตาสองข้างมุ่งให้ความสนใจกับทิวทัศน์นอกกระจกทั้งทีตัวเองก็เคยขับรถผ่านแถวนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ทุกอย่างจะดูน่าสนใจและน่าพิสมัยกว่าการหันไปคุยกับคนข้าง ๆ
เขาได้แต่คิดว่าตัวเองจะหายเศร้าหายหงุดหงิดก่อนที่แม็กซ์จะสังเกตได้
แต่พอมาคิดว่าอีกฝ่ายไม่หันมาคุยอะไรกับเลยทั้ง ๆ ที่เขาเงียบมาตลอดทางก็ยิ่งสร้างความหงุดหงิดใจให้มากขึ้นกว่าเดิม
เขารู้ว่าตัวเองกำลังทำตัวงี่เง่าและไร้เหตุผลแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เขาจะอยากได้ดอกไม้มากเท่าครั้งนี้
ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะรู้สึกอิจฉา ‘คนสำคัญ’ ของใครคนใดคนหนึ่งเท่าที่เขากำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้
และที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่เคยคิดเลยว่าการรักใครจะทำให้ความรู้สึกในหัวใจปั่นป่วนได้มากขนาดนี้
ราวกับว่าเขาในตอนนี้ไม่ใช่เขาคนเดิมที่ตัวเองเคยรู้จักอย่างไรอย่างนั้น
ความรักจะน่ากลัวเกินไปแล้วจริง ๆ
เปิดโอกาสให้ใครเข้ามามีอิทธิพลต่อหัวใจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ยี่สิบนาทีผ่านไปหลังจากจอดรถที่ริมถนนเรียบร้อยณัฐพลก็ดับเครื่องยนต์ก่อนจะก้าวลงจากรถแล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูให้อีกฝ่ายที่ดูไม่มีท่าทีตื่นเต้นกับเขาสักนิด
“ถึงแล้ว ร้านสวยไหม” คนฟังเงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกกระจกรถแล้วก็พบกับร้านดอกไม้ร้านเล็กๆที่กรุด้วยกระจกรอบด้าน ข้างในมีดอกไม้หลากหลายพันธุ์ ทั้งดอกไม้ที่เป็นที่นิยมและคุ้นเคยอย่างกุหลาบ ลิลลี่ คาร์เนชั่น ทิวลิป ทานตะวัน และดอกไม้ชนิดอื่น ๆ ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ริมฝีปากเขาเผลอยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
จากความร้สึกมัวหมองและหงุดหงิดปริมาณมหาศาลตอนที่อยู่ในรถดูจะลดลงเป็นเพียง
ความหน่วงใจเล็ก ๆ เท่านั้น
ดอกไม้เยียวยาคนได้จริง ๆ สินะ
เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งตอนที่ประตูร้านถูกเข้าไปหญิงสาวที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ยิ้มต้อนรับ
“เลือกดูได้ตามสบายเลยนะคะสนใจอะไรสอบถามได้เลยค่ะ” คนเยาว์กว่าเป็นฝ่ายยิ้มรับก่อนจะหันไปมองอีกคนที่ตอนนี้เดินเข้าไปส่วนในของร้านเรียบร้อยแล้ว
“ผมมารับออเดอร์ดอกไม้ที่สั่งไว้น่ะครับออเดอร์ที่ 52”
“สักครู่นะคะ”เธอเว้นระยะไปครู่หนึ่งขณะที่เช็คข้อมูลในคอมพิวเตอร์
“ออเดอร์ที่ 52คุณแม็กซ์ ช่อดอก Eustoma* ใช่ไหมคะ ”
“ครับ”
พนักงานสาวหันไปหยิบเอาช่อดอกไม้ช่อโตที่แช่ไว้ในตู้เก็บความเย็นเธอคว้าฟ็อกกี้มาพรมน้ำอีกนิดก่อนจะยื่นส่งให้ เขาหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาคว้าแบงค์พันไปให้สามใบพร้อมกับบอกว่าไม่ต้องทอน
ดอกไม้ช่อโตในมือส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ เขายิ้มด้วยความพึงพอใจและแอบหวังว่าคนรับก็จะมีความสุขเหมือนกัน ขาสองข้างก้าวเร็วๆ เข้าไปในตัวร้านก่อนจะเอ่ยเรียกคนที่กำลังยืนดูดอกไม้อยู่พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้า
“พี่ตุลย์”
“หืม”
“เสร็จแล้ว ไปกัน”
“ทำไมเลือกได้เร็วจัง”
“อื้อ ไปเหอะ เดี๋ยวผมไปส่งบ้าน”
“อ้าว ละไม่ต้องเอาดอกไม้ไปให้เหรอคนสำคัญมึงอะ”
ปลายประโยคเสียงแอบแผ่วลงจนคนพูดกลัวว่าจะผิดสังเกตถึงได้รีบก้าวขาเดินออกจากร้าน แต่พอเดินมาถึงรถกำลังจะเปิดประตูถึงได้นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่มีกุญแจ
“ผมฝากพี่ถือไว้ได้ไหม เดี๋ยวผมขับรถเอง”คนเดินตามมาทีหลังเอ่ยถามโดยไม่รอฟังคำตอบ เขายื่นดอกไม้ช่อโตให้อีกฝ่ายแล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูรถทันที
ภายในรถเงียบสนิทมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศดังเบา ๆ ภากรก้มลงมองช่อดอกไม้ในมือมันเป็นดอกไม้ชนิดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน รู้แต่ว่าสวยแปลกตาดี
ความรู้สึกมัวหมองกลับมาเล่นงานหัวใจอีกครั้งอดไม่ได้ที่จะนึกอิจฉาคนที่จะได้เป็นเจ้าของดอกไม้ช่อนี้
คนที่เป็นคนสำคัญโคตร ๆ ของอีกฝ่าย
“ชอบไหม” เสียงของคนที่กำลังขับรถอยู่ทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ความคิดแล้วหันหน้าไปที่ต้นเสียงด้วยความสงสัย
“ถามทำไม ไม่ใช่คนรับซักหน่อย แค่คนถือ”
“พูดแบบนี้คือน้อยใจเหรอ งั้นอยากเป็นคนรับไหมล่ะครับ” น้ำเสียงนั้นยียวนจนเขาแทบอยากจะปาดอกไม้ในมือทิ้งซะให้รู้แล้วรู้รอดแต่อีกใจก็กลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายโกรธจนไม่ยอมยกโทษให้
ในเมื่อคนที่จะได้เป็นเจ้าของดอกไม้ช่อนี้เป็นคนสำคัญมากๆ นี่นา
“ไม่ได้น้อยใจโว้ย ขับรถไปเลย”
“ตอบผมก่อนสิว่าชอบไหม”
“ก็ดี สวยดี”
“แค่นั้นเองเหรอ”
“ก็สวยดีไง คนได้รับก็ต้องชอบอยู่แล้วผู้หญิงชอบดอกไม้สวยๆ ทุกคนนั่นแหละ”
“รู้ได้ไงว่าคนได้รับจะเป็นผู้หญิง”
“...”
“งั้นเปลี่ยนใหม่ก็ได้ ก็ดอกไม้มันสวยไงใครๆ ก็ชอบของสวยๆ ทั้งนั้น”
“หนึ่งใน ‘ใครๆ’นั่น มีพี่รวมอยู่ด้วยไหม”
“หมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่าดอกไม้ช่อนี้ที่ผมซื้อมาเนี่ยพี่ชอบไหมครับ สวยถูกใจเหรอเปล่า” เขาหันมาถามอย่างจริงจัง ดวงตาจับจ้องมาที่เขาและช่อดอกไม้ในมือ พร้อมกับยิ้มจางๆ
ไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดงสัญญาณเวลาขึ้นเวลา 60 วินาที
ช่วงเวลาก่อนที่จะสัญญาณไฟจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอีกครั้ง
ภากรแอบคิดชิงชังเวลา 1 นาทีนี้เหลือเกิน เขาอยากให้มันผ่านไปเร็วๆเพือที่อีกฝ่ายจะได้ละสายตาไปจากเขาแล้วหันไปให้ความสนใจกับท้องถนนอย่างเดิม
“ตอนแรกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะซื้ออะไรดีแต่มีพี่ที่รู้จักเขาแนะนำมาว่า ยูสโตมาเป็นดอกไม้ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักเท่าไหร่แต่ว่าสวยมากความหมายก็ดี ผมก็เลยลองไปเสริชดูแล้วก็เห็นว่ามันสวยจริง ๆ ลองโทรมาถามที่ร้านว่ามีดอกไม้พันธุ์นี้ไหมเขาบอกว่าเป็นดอกไม้พันธุ์ที่ไม่ค่อยดังในไทย หายาก ราคาต่อช่อ
ก็เลยแพง แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจสั่ง...”
“มาเล่าให้กูฟังทำไม” เขาเอ่ยขึ้นอย่างเหลืออด
ตอนแรกก็ลากมาที่ร้านดอกไม้ด้วยกันพอได้ของมาก็บอกให้เขาถือให้
ตอนนี้ยังจะมาเล่าให้เขาฟังถึงความใส่อกใส่ใจที่อีกฝ่ายมีให้กับเจ้าของดอกไม้ช่อนี้อีก
จะทำร้ายกันไปถึงไหน
ไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าขณะที่เขาเบนสายตามองไปที่กระจกข้างขวา
เริ่มมืดแล้ว
“ก็อยากให้คนรับเขารู้ว่าผมตั้งใจเลือกให้”
“มาบอกกูเขาก็ไม่รู้หรอก”
“ทำไมจะไม่รู้ ก็คนรับก็นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมนี่ไง” น้ำเสียงเรียบเอื่อย รอยยิ้มยังปรากฏบนใบหน้า กลับเป็นคนฟังเองที่เริ่มอยู่ไม่สุข
“เล่นอะไรของมึง กูไม่ตลก”
“ก็ไม่ได้อยากให้ตลกสักหน่อย ก็พูดจริงๆ” เขาหัวเราะตอนที่เห็นว่าคิ้วของอีกคนขมวดเป็นปมดูคล้ายโบว์เล็กๆ กลางหน้าผาก
“ไม่ต้องทำหน้างงขนาดนั้นหรอก ผมซื้อมาให้พี่”
“...”
“ดอกไม้ช่อนี้อ่ะ ของพี่ ลองเปิดการ์ดดูสิว่าเขียนถึงใคร”
คนฟังรีบพลิกการ์ดที่ร้อยอยู่กับเชือกเส้นเล็กรอบช่อดอกไม้
To. คุณ ภากร (:
you inspire me not just to be a good person,
but a better person
I’m grateful to be your other half. It’s truly a privilege to meet you and work with you, and most importantly to love you.
you are my better half, you complete me.
“หลอกกันเล่นหรือไง บ้าไปใหญ่แล้ว” น้ำเสียงเขาสั่นเล็กๆ อย่างที่ตัวเองไม่อยากจะเชื่อ
น้ำที่คลอหน่วยอยู่ที่นัยน์ตาก็อยากจะปฏิเสธเหลือเกินว่านั่นไม่ใช่น้ำตา แต่สิ่งที่ทำได้ก็คือ
ถือช่อดอกไม้ในมือให้แน่นขึ้น จับจ้องทุกรายละเอียดของกลีบดอกแต่ละดอก สีที่ตัดกันระหว่างขาว ชมพูและม่วงอ่อน สีเขียวของใบไม้ที่ประดับแซมรวมถึงความหยาบเล็ก ๆ ของกระดาษสาที่หุ้มช่อดอกไม้ไว้
คนเยาว์กว่าเพียงยิ้มเขาจอดรถที่จุดเดิมที่เคยจอดเป็นประจำใต้คอนโด
“ถึงบ้านแล้วครับ” คนพูดเอื้อมมือมากุมมือข้างๆ ที่ว่างอยู่ ลูบที่หลังมือแผ่วเบาก่อนจะใช้ปลายนิ้วลากเป็นตัวอักษรหนึ่งพยางค์สั้นๆที่ทำให้
หัวใจ
ระเบิดเป็นจุณ
tbc. (maybe)
_________________
อินหลอพอสมควรกับประโยคนี้ของพี่ตุลย์
มันเป็นฟิควูบนะคะ(แต่ก็วูบหนักพอสมควรเพราะได้มาสิบหน้าเอสี่)
อย่าถามหาสาระเพราะมันไม่ค่อยมี ฮือ แต่ถ้ามีคนอยากอ่านต่อก็อาจจะแต่งต่อเด้อ
เพราะจริงๆก็ยังมีพล็อตเหลือในหัว อ่านให้สนุกลุกนั่งให้สบายเด้อ
สวัสดีลาค่า (:
ปล. เมนชั่นมากรี๊ดใส่ได้ที่ทวิตเตอร์ @ bmbayah_ นะคะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in