เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Minimore SessionPurin Luanloy
Session 01 - Travelogue
  • การเดินทางกึ่งแบ็คเเพ็คเกอร์

    0.
    การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อสัก 4 ปีก่อน
    สมัยที่โลกอินเตอร์เน็ตยังไม่มีคำว่า Hipster
    ชายโสดสองคนขึ้นไปเที่ยวดอยอินทนนท์ในเดือนเมษายน
    เรื่องหน้าเศร้าไม่ใช่ความร้อนของอากาศ
    แต่นับจากการเขียนเรื่องการเที่ยวในครั้งนั้น
    ผมก็ไม่ได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางใด ๆ อีกเลย


    1.
    ที่มาและความสำคัญ


    ใครเค้าไปเที่ยวดอยหน้าร้อนกัน?
    ช่วงนี้ได้ยินว่าภาคเหนือฝนตกบ่อยไม่ใช่หรอ?

    สองคำถามนี้จู่โจมผมตลอดเวลา ตั้งแต่ผมตัดสินใจว่าปิดเทอมภาคฤดูร้อนนี้ผมจะไปเชียงใหม่
    ที่จริง ความคิดเรื่องแบกเป้กระโดดขึ้นรถไฟไปเที่ยวนั้นมีอยู่ในหัวผมตลอด
    แต่คนที่ปลุกให้มันเกิดขึ้นจริงนั้นคือพ่อของผม

    วันนั้นเป็นวันที่ผมและครอบครัวไปช้อปปิ้งกันที่ห้าง Platinum
    ระหว่างที่รอแม่กับน้องสาวกำลังเลือกรองเท้ากันอยู่ 
    ผมกับพ่อก็ปลีกตัวเค้าไปสั่งเครื่องดื่มทานกันพลาง ๆ

    เรานั่งกันอยู่ที่ชั้นบนสุดของห้าง จึงทำให้สามารถเห็นวิวทิวทัศน์ของเมือง กทม. บางส่วนได้
    พ่อเล่าว่าตอนพ่อจบใหม่ ๆ พ่อก็เข้ามาหางานทำในกรุงเทพ

    "สมัยนั้นพ่อจะมีแผนที่กรุงเทพไว้ใบนึง แล้ววันไหนว่าง ๆ 
    พ่อก็จะลองนั่งรถเมล์ให้มันสุดสายแบบไปกลับดู จะได้รู้ว่าสายไหนมันไปตรงไหนยังไง "

    "เสาร์-อาทิตย์ ไผ่ก็ลองมานั่งดูก็ได้ จะได้เรียนรู้เส้นทาง 
    วัน ๆ เห็นแต่นั่งเล่นแต่คอม ก็คงจะรู้อยู่แต่ในคอมนั่นแหละ ลองออกไปเที่ยวบ้าง นั่งรถไฟก็ได้"

    ผมหูพึ่งทันทีหลังฟังจบ
    นี่มันคือคำสั่งให้เราออกไปเที่ยวทางอ้อมนี่นา!!!
    หากผมจะขัดขืนทำเป็นเล่นตัวไปยอมออกไปไหน ก็เกรงว่าจะเป็นการไม่เคารพคำสอนบุพการี
    เย็นวันนั้น ผมรีบหาข้อมูลเกี่ยวกับเชียงใหม่, รถไฟ, ที่เที่ยว และแอบเขียนทริปเล็ก ๆ ไว้ในใจ
    หวังว่าเมื่อถึงรุ่งเช้าเมื่อไหร่ จะเรียนให้ท่านพ่อทราบถึงปฏิบัติการครั้งนี้ทันที


    2.
    เพราะความปลอดภัย ไม่เคยทำให้ใครเติบโต (นิ้วกลม)


    นิ้วกลมไม่ใช่พ่อผม
    เท่าที่ผมรู้เขาเป็นนักเขียนตาตี่ที่มีแต่ชุดสีดำใส่
    ที่ผมหยิบยกข้อความนี้ของเขาขึ้นมาเพราะผมรู้สึกเห็นด้วย
    ความปลอดภัย ไม่เคยทำให้ใครเติบโต
    ผมเชื่ออย่างเดียวกับเขา

    หลังจากที่ผ่านคำอนุมัติ (ว่าด้วยอยากไปก็ไป)
    ผมก็เริ่มตามหาพรรคพวกที่พอจะไปร่วมตกระกำไปกับความอยากลำบากของผมได้
    ซึ่งนับว่าหายากเต็มที
    เพราะการที่จะชวนใครให้ไปขึ้นดอยหน้าร้อนที่นับว่าบ้าแล้ว
    ก็ยังต้องผ่านการเดินทางโดยรถไฟฟรีชั้น 3 ที่ว่ากันว่าโคตรจะลำบาก
    จึงทำให้ผมเหลือตัวเลือกในการชวนอยู่ไม่กี่หยิบมือ


    มีน
    คือเพื่อนที่ผมหลอกให้มันไปกับผมได้สำเร็จ
    ผมบอกมันไปว่าไปกันเองแบบลุย ๆ มันส์ ๆ แต่ลำบากนิดหน่อยนะ
    ซึ่งไอ้ตรงนิดหน่อยนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันแค่ไหน
    คงมีทางเดียวเท่านั้นที่จะรู้
    คือ ต้องลองไปดู

    เราวางแผนจัดการกับปัญหาได้เพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
    ไม่ว่าจะในเรื่องของการเดินทาง หรือ การใช้ชีวิตก็ตาม

    เพราะปัญหามักจะมาในรูปแบบเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
    แม้จะคิดแผนการณ์ต่าง ๆ มารอบคอบเท่าไหร่
    มันไม่ช่วยให้ชีวิตเราหลุดหนีออกจากคำว่าปัญหาได้เลย

    แต่นี่แหละครับ เสน่ห์ของการเดินทาง


    3.
    รถไฟมา เรามารถไฟ


    ความลำบากของทริปนี้มาเร็วกว่าที่ผมคิด
    ผมกับมีนถึงหัวลำโพงในเวลา 13:30 น.
    เราตรงดิ่งไปที่ช่องออกตั๋วเพื่อขอรับบัตรขึ้นรถไฟฟรี

    เราได้ตั๋วรถไฟขบวณ 109 ชั้น 3
    เวลาออก 14:30 ถึงเชียงใหม่ 5:10
    ตรงนี้ตรงตามที่ผมดูไว้ ไม่ได้มีปัญหาอะไร

    "ตั๋วยืนนะน้อง"

    ประโยคของพี่พนักงานทำให้ผมสะดุ้ง
    ผมกับมีนเหลือบดูช่องที่นั่งบนตั๋วเพื่อจะได้รู้ว่าพวกเราหูฟาดไป
    มันเขียนว่า

    ไม่มีที่นั่ง

    ขอบคุณมากครับการรถไฟไทย
    ผมละคิดภาพการยืนตลอดสิบห้าชั่วโมงไม่ออกจริง ๆ

    14:30
    รถไฟขบวน 109 พร้อมแล้วที่ชานชะลาที่ 8
    ที่ยังไม่พร้อม ก็เห็นจะมีแต่พวกเรา

    การได้ตั๋วยืนไม่ใช่เรื่องร้ายแรงเท่าไหร่ครับ
    ในวงเล็บ ถ้าเรามีความหน้าด้านพอ
    ผมได้คำแนะนำจากป้าคนนึง ว่าถ้าเห็นที่ว่างก็นั่ง ๆ ไปก่อน
    จนกว่าจะมีเจ้าของที่มาทวง
    อืม... แถวบ้านผมเรียกว่าวิธีเนียนครับป้า
    ผมกับมีนได้ที่นั่งเนียนกันคนละที่อย่างสบาย ๆ
    เสียงประกาศบอกว่ารถไฟขบวนนี้จะออกล่าช้านิดหน่อย
    ซึ่งมันคือ 1 ชั่มโมง
    ขอบคุณอีกครั้งครับการรถไฟไทย

    ผมนั่งเนียน ๆ หลับ ๆ ไปได้ซักพักก็เข้าสู่สภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น
    แม้ว่าบรรยากาศภายในรถไฟจะร้อนอบอ้าวพอ ๆ กับคำว่า ไฟ ก็ตาม

    ผมได้สติอีกทีก็เห็นไอ้มีนไปยืนห้อยตัวอยู่แทนที่จะนั่งอยู่กับผม
    สืบสาวราวเหตุได้ว่าไม่ใช่เจ้าของที่มาทวงหรอก แต่มีนผู้เป็นคนโคตรดีได้ลุกเอื้อเฟื้อที่นั่ง
    ให้กับสุภาพสตรีท่านหนึ่งไปเรียบร้อยแล้ว

    ถามว่าผมอายมั้ยที่ไม่ยอมลุกเอื้อเฟื้อให้ที่นั่งแก่สุภาพสตรีที่เป็นมารยาทที่เราชาวสุภาพบุรุษควรทำ
    ขอตอบให้เข้าใจตรงกัน ณ ที่นี้เลยนะครับ
    ว่าไม่


    4.
    10 บาท หมั๋ยค้า


    รถไฟชั้น 3 มีบริการบางอย่างที่รถไฟชั้นหรูไม่มีครับ
    มันคือการขายตรง เรียกได้ว่าตรงแบบตร๊งตรง
    หากใครไม่เคยขึ้นจะขออธิบายแบบให้เห็นภาพอย่างง่าย ๆ ว่า
    บริการขายตรงบนรถไฟคือการที่พ่อค้าแม่ค้าถือของเดินขึ้นมาขายแบบแทบจะจ่อหน้าเรากันเลยทีเดียว

    สิ้นค้านั้นก็มีหลายระดับครับ ตั้งแต่น้ำเปล่าไปจนถึงปลาหมึกย่าง
    คาดว่าอีก 2 ปีคริสปี้ครีมน่าจะเข้าถึง
    สไตล์การขายของบนรถไฟก็ใช่ว่าจะไก่กาทั่วไป
    อย่างที่ขึ้นเป็นหัวเรื่องของตอนนี้นั้นแหละครับ

    "10 บาท หมั๋ยค้า"

    เห้ย คือป้าครับ อะไรมันสิบบาทหรอครับ
    ผมยังไม่ทันจะเห็นของ ๆ ป้าเลย
    แต่เสียงป้าที่ตะโกนสิบบาทแม่งมาก่อนที่ผมจะได้เห็นของซะอีก

    แล้วอีกอย่างครับป้า
    ทำไมป้าต้องพูดสำเนียงแบบเหนือปนใต้ด้วยครับ

    น้ำสิบบาทมั้ยค่ะ

    พูดแบบนี้ผมก็รู้เรื่องแล้วครับว่าป้าจะมาขายน้ำเป็นราคาสิบบาท
    แต่ป้าเล่นมาสำเนียงแอบดัดจริตด้วยการออกเสียงวรรณยุกต์จนเกินงามแบบนี้
    ทำให้ผมงงไปหลายตลบเหมือนกัน

    แล้วไหนจะมีลุงแก่ ๆ ซึ่งผมตั้งฉายาให้แกว่า ลุงโมโนโทน
    เค้าเป็นคู่แข่งกับคุณป้า หมั๋ยค้า เมื่อกี้นี้ครับ
    คือเค้าขายของจำพวกน้ำเหมือนกัน
    แต่การขายของคุณลุงโมโนโทนนี้จะตรงกันข้ามกับป้าอย่างสิ้นเชิง
    เรียกได้ว่าคนละกลยุทธ์ คนละตำรากันเลยก็ว่าได้

    ผ้าเย็น แฟ ซี่ ส้ม น้ำ เย็นสะดุ้ง
    ผ้าเย็น แฟ ซี่ ส้ม น้ำ เย็นสะดุ้ง
    ผ้าเย็น แฟ ซี่ ส้ม น้ำ เย็นสะดุ้ง
    ผ้าเย็น แฟ ซี่ ส้ม น้ำ เย็นสะดุ้ง
    ผ้าเย็น แฟ ซี่ ส้ม น้ำ เย็นสะดุ้ง
    ผ้าเย็น ...

    แกจะพูดของแกอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ครับ
    ไม่มีการเล่นเสียงสูงต่ำให้เกิดความสนใจแต่อย่างใด
    คล้าย ๆ เสียงที่อัดไว้ในโทรโข่งแล้วเปิดตามคิวรถที่อนุสาวรีย์นั้นแหละครับ

    ผมอุดหนุนน้ำมาดื่มแก้กระหายไปขวดสองขวด
    วินาทีนั้นผมเหลือไปเห็นสีหน้าไอ้มีน
    ผู้ซึ่งตอนนี้ยืนมาแล้วสามชั่วโมง

    เห้ย มาผลัดกูยืนมั้งเหอะ
    มันส่งกระแสจิตมา

    ถึงผมจะไม่ใช่คนที่สุภาพบุรุษแบบมีน
    แต่ผมเป็นเพื่อนที่ดีนะครับ
    เห็นเพื่อนลำบากเราต้องช่วยเหลือครับ

    จัดไปมีน มึงไปนั่งกูยืนให้เอง
    ผมส่งกระแสจิตกลับไป


    ผมยืนไปร่วม 1 ชั่วโมงกว่า ๆ ก็รู้สึกได้ว่าร่างกายมันเริ่มจะต่อต้าน
    สถานีต่อไป สถานีนครสวรรค์ ผู้โดยสารที่ประสงค์จะลงที่สถานีนี้...
    สิ้นเสียงประกาศ ผมเห็นคนจำนวนมากลุกขึ้นเก็บของ
    นั้นแน่ !! ลงกันเยอะแบบนี้มีที่นั่งชัวร์ ๆ
    ผมยิ้มกระหยิ่มลำพองอยู่ในใจคนเดียว

    รถไฟเข้าเทียบที่สถานีเรียบร้อย
    ผมโผล่หน้าออกไปรับลมที่ช่องหน้าต่าง
    แต่แล้วความจริงก็ปรากฏ

    คนเตรียมขึ้นนี่เยอะกว่าคนลงแบบแทบจะสองเท่า
    หลักการเดียวกับ BTS ตอนถึงสยามสินะ
    ลงเยอะ
    แม่ง ขึ้นมาเยอะกว่าเดิมอีก

    ผมยืนไปอีกประมาณชั่วโมงนิด ๆ
    ถึงสถานีพิจิตคนก็เริ่มบางตาลง
    ที่นั่งข้าง ๆ ไอ้มีนว่างแล้ว
    เหลือบไปทางซ้ายเห็นมีเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ น่าสงสารกำลังเดินขึ้นมาหาที่นั่ง

    ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่มั้ยครับว่าระหว่างยืนต่อไปแล้วสละที่นั่งให้เด็กหญิง
    กับเข้าไปนั่งกับไอ้มีนแล้วปิดสวิตช์ตัวเองหลับไปในทันทีทันใด
    ผมจะเลือกอันไหน

    อืม นั้นแหละครับ
    คุณคิดถูกแล้ว



  • 5.
    สิ่งที่มนุษย์ไม่ได้สร้างขึ้น


    ตื่นมาอีกทีรถไฟก็พาเรามาไกลถึงจังหวัดลำปางแล้ว
    บรรยากาศข้างนอกค่อนข้างเย็น
    ไอ้มีนยังนอนสัพงกอยู่อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
    พอ ๆ กับพระอาทิตย์ที่ตอนนี้ยังไม่มีที่ท่าว่าจะโผล่ขึ้นมาฉายแสงแต่อย่างใด

    หากใครเคยนั่งรถไฟจะทราบดีว่าน้อยครั้งนักที่มันจะพาเราผ่านเข้าไปในเขตเมือง
    เพราะฉะนั้นภาพต่าง ๆ ที่เราจะได้เห็นจากกรอบหน้าต่างรถไฟ
    จะไม่พ้นไปจากภาพของทุ่งนา, ป่า, สวน
    ไม่พ้นไปจากสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติ

    พระอาทิตย์เริ่มจะขยับขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้าแล้ว
    ผมสะกิดเพื่อนมีนให้มันตื่นมารับรู้บรรยากาศที่ไม่สามารถหาได้จากการเดินทางแบบอื่น ๆ
    ภาพสองข้างทางค่อย ๆ ไล่น้ำหนักแสงไปตามเวลาการขึ้นของดวงอาทิตย์
    จากตอนแรกที่มองไม่เห็นอะไรนอกจากรูปทรงสีดำ
    กลายมาเป็นสีเขียวที่ผ่านมาแทรกอย่าช้า ๆ

    กลิ่นอายของดินโดนลมพัดผ่านเข้ามาในตัวโบกี้
    "อากาศดี"
    คือคำที่บรรยายสถานการณ์ตอนนี้ได้อย่างชัดเจนที่สุด



    ไม่นานนักเราก็ผ่านสถานีขุนตาล
    ซึ่งจะมีอุโมงค์ความยาวเกือบหนึ่งกิโลให้เด็ก ๆ ได้ตื่นเต้นกัน
    เราเหลือแค่จังหวัดลำพูนจังหวัดเดียวเท่านั้นก่อนที่เราจะถึงปลายทางที่เชียงใหม่

    ผมไม่ได้ค่อยสนิทกับจังหวัดลำพูดเท่าไหร่นัก
    สิ่งที่รู้เกี่ยวกับลำพูนก็เห็นจะมีแต่ภาพของเกมเศรษฐีที่เคยเล่นในตอนเด็ก ๆ
    ที่ดินจังหวัดลำพูดในกระดานมีภาพประกอบเป็นสละไม่ก็ลิ้นจี่
    ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

    สองข้างทางเริ่มมีสิ่งปลูกสร้างหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
    องค์ประกอบภาพเริ่มมีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเข้ามาปนแต่ง
    ภาพเด็กนักเรียนปั่นจักรยานไปโรงเรียนถือเป็นภาพที่ทำให้ผมแอบอมยิ้ม
    เสียดาย ที่หยิบกล้องมาเก็บภาพไม่ทัน


    6.
    เจี๋ยงใหม๋เมือง


    ผมมีปมด้อยอยู่ข้อหนึ่งครับ
    คือเวลาที่มีคนมาถามว่าเป็นคนที่ไหน
    ผมไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไร

    พ่อผมเป็นคนสุโขทัย
    ส่วนแม่คนลำปาง
    ทั้งสองคนมารักกันที่เชียงใหม่
    แต่มาเกิดผมที่ระยอง
    ชีวิตผมส่วนใหญ่เรียนอยู่ที่ชลบุรี

    ผมเป็นคนที่ไหน
    ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ
    เดี๋ยวผมแน่ใจเมื่อไหร่ จะมาตอบอีกที

    สถานีรถไฟเชียงใหม่ในเวลาแปดโมงเช้าบรรยากาศดูเป็นกันเอง
    เสียงผู้คนสนทนากันเป็นภาษาเหนือเริ่มมีให้ได้ยินกันบ้างแล้ว
    ต้องขอบคุณคุณแม่ที่ชอบบ่นให้ฟังเป็นภาษาเหนืออยู่บ่อย ๆ
    จึงทำให้ผมมีความสามารถในการรับฟังคำเมืองอยู่พอตัว
    แม้จะ "อู้ก๋ำเมืองบ่ค่อยได๋ก่อตาม"
    แต่เอาเป็นว่าอย่าแอบด่าผมเป็นภาษาเหนือละกัน
    เพราะผมฟังออก

    หลังลงจากรถไฟ
    ผมกับมีนก็รีบดิ่งตรงไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำ
    เพราะเราจะได้อาบน้ำกันอีกทีบนดอยอินทนนท์ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นเวลาค่อนข้างเย็นแล้ว
    และแน่นอน เราทนกลิ่นตัวเองตอนนี้กันไม่ค่อยจะไหว

    ผมเหมารถแดงเป็นราคาคนละห้าสิบบาทเพื่อไปลงที่หน้า ม.เชียงใหม่
    ซึ่งตอนหลังรู้สึกว่าน่าจะต่อให้เหลือสักคนละ 35-40 บาท

    จากสถานีรถไฟมาถึงหน้า มช. ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
    ไม่ต้องมีความรู้ด้านการผังเมืองใด ๆ ก็รู้สึกได้ว่าเชียงใหม่มีผังเป็นสี่เหลี่ยม
    ตามแบบฉบับการวางผังที่ฮิตมากในเขมร

    สำหรับเด็กบางแสนที่เคยชินกับรถแดงที่วิ่งแบบมีเส้นทางที่ชัดเจนนั้น
    ขอบอกเลยว่าทฤษฎีนั้นใช้ไม่ได้กับรถแดงที่เชียงใหม่

    ที่นี้เค้าอินดี้ครับ

    การวิ่งจะไม่มีเส้นทางที่แน่นอน
    พูดให้ง่ายก็คืออยากจะไปไหนก็ไป เวลาโบกก็ต้องถามเอาครับว่าพี่ผ่านตรงนั้นตรงนี้หรือป่าว
    ซึ่งจะมองให้เป็นข้อดีหรือข้อเสียก็แล้วแต่จะคิดกันไป

    รถแดงมาส่งเราที่คิวรถขึ้นดอยสุเทพ
    มีคนนั่งรอที่คิวรถอยู่จำนวนหนึ่งแล้ว
    ผมเดินเข้าไปตกลงราคาในการขึ้นดอย
    ปกติที่ป้ายจะเขียนไว้ว่า 180 สำหรับการเที่ยวสามที่
    นั่นคือหมู่บ้านม้ง, ดอยปุย และวัดพระธาตุดอยสุเทพ
    แต่เนื่องจากวันนี้คนน้อย น้าแกเลยขอเก็บพวกเราเพิ่มกันเป็นคนละ 200 สำหรับทริปนี้
    ผมเห็นพี่คู่รักคู่นึงที่จะขึ้นดอยไปพร้อมกับเราตอบตกลง เราจึงตกลงเออออไปกับเค้าด้วย

    เส้นทางขึ้นเขาถือว่าชวนอ้วกมาก สำหรับคนที่ไม่ค่อยชินทางลาดเอียง
    อีกอย่างก็คือผมกับมีนยังไม่ได้กินข้าวเช้ากันเลย
    อาการหน้ามืดจึงมาถามหาเราทั้งสองคน

    แต่ถึงอย่างไรก็ตาม
    เราก็สามารถประคองร่างกายกับสติจนมาถึงหมู่บ้างม้งได้
    ผมรีบชวนมีนไปสั่งข้าวทานก่อนสิ่งอื่นใด
    เมนูบนเขาของผมยังคงสิ้นคิดอยู่เหมือนเดิม

    แหม...
    ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่ากระเพราหมูสับใข่ดาวที่ระดับความสูงแบบนี้
    มันจะอร่อยเหมือนข้างล่างหรือป่าวก็เท่านั้นเอง


  • 7.
    ต้องใช้เวลาเท่าไหร่กว่าจะลืมเธอ


    หมู่บ้านม้งที่นี่ทำให้ผมนึกถึง MV ของเพลง ๆ หนึ่ง ที่ผมเพิ่งได้มาฟังก่อนที่จะเดินทางมาเชียงใหม่นี้
    MV เพลงนั้นคือเพลง ยังไม่พ้นขีดอันตราย ขับร้องโดยบอย พีชเมกเกอร์

    เรื่องราวของ MV ก็แสนจะน้ำเน่าจนแบบยุงลายไม่สามารถไปวางไข่ได้
    จับใจความเนื้อเรื่องได้ว่า มีผู้ชายคนหนึ่งโดนแฟนบอกเลิก
    จากนั้นก็เกิดอาการใจตุ๊ด ไม่สามารถทนอยู่ที่เมืองไทยได้อีกแล้ว
    จึงรีบเก็บข้าวของ ร้องไห้ขี้มูกโป่งหนีขึ้นเครื่องบินไปกบดานหัวใจอยู่ที่เมืองฮอยอัน 
    ในประเทศเวียดนาม

    พี่แกประทังชีวิตด้วยการยืนเล่นกีต้ารฺหาเลี้ยงตัวเอง
    จนกระทั่งเวลาผ่านไป 4 ปี

    วันหนึ่งก็ได้มีรายการที่ไม่รู้กาละเทศะชื่อว่า "สำรวจชีวิตคนไทยในต่างแดน" มาตามหาคนไทยที่ฮอยอัน
    เพื่อที่จะเก็บเรื่องราวความเป็นอยู่ไปสร้างเป็นรายการโทรทัศน์
    แต่แล้ว ความบังเอิญที่เรียกได้ว่าโคตรจะน่าเกลียดก็เกิดขึ้น
    เมื่ออีโปรดิ้วเซอร์หน้าหมวยของรายการนี้แกดันเป็นแฟนที่เป็นต้นเหตุให้ผู้ชายคนนั้นต้องเดินทางหนีมาที่ฮอยอัน

    เรื่องราวจบลงที่พระเอกใส่ใจหมาเดินหันหลังหนีแฟนเก่าของเขาอีกครั้ง
    และพูดประโยคที่มันเสียดแทงลึกเข้าไปในหัวใจของใครหลาย ๆ คนว่า

    มันคงถึงเวลาที่ผมต้องออกเดินทางอีกครั้ง และครั้งนี้ผมคงต้องไปให้ไกลกว่าเดิม
    ไกลจากเวียดนาม และก็ไกลจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ผม...
    คงไม่ลืม


    ที่หมู่บ้านม้งดอยปุยนี้เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นแหล่งช้อปปิ้งครับ
    มีทั้งเสื้อผ้าที่ชาวเขาเค้าทำเองและพวกของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ
    ผมกับมีนเดินไปจนสุดทางก็พบป้ายบอกทางว่าเดินขึ้นไปอีกประมาณ 50 เมตร จะเป็นน้ำตก
    50 เมตรนี่ไม่ไกลนะครับ จำได้ว่าตอนประถมที่ผมสอบวิ่ง 100 เมตร
    ผมใช้เวลาไป 9 วินาทีกว่า ๆ เท่านั้นเอง
    แต่ถ้าเป็น 50 เมตรบนความชันเกือบจะ 45 องศามันก็อีกเรื่องนึง

    ผมแบกร่างกายกับกระเป๋าที่ตอนนี้กลายร่างเป็นอภิมหาภาระของการเดินทางครั้งนี้ไปแล้ว
    โชคยังดีที่ผมไม่ได้ยัดอะไรมามากมายเท่าไหร่

    ที่ด่านผ่านทางก่อนเข้าชมมีลุงแก่ ๆ นั่งทำหน้าที่เก็บตังค์ค่าผ่านประตูอยู่
    10 บาทกับการได้ไปชมน้ำตกเล็ก ๆ ที่แซมด้วยสวนดอกไม้สวย ๆ มันก็คุ้มดีนะครับ
    ผมกับมีนถ่ายรูปกันพอเป็นพิธี

    สักพัก เสียงโทรศัพท์ของมีนก็ดังขึ้น
    เจ้าของสายคือ โป๊ต
    โป๊ตเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมต้นของผม
    ที่ตอนนี้มันเหมือน ๆ จะมาเรียนที่ ม.เชียงใหม่
    มันบอกว่าตอนนี้มันกำลังขับรถขึ้นดอยมา
    เดี๋ยวอีกสักพักคงจะได้เจอกัน

    ผมกับโป๊ตนั่งคุยกันที่ร้านอาหารเดิมที่ผมกับมีนสั่งผัดกระเพรา
    โป๊ตถามผมถึงแผนการณ์ในวันต่อ ๆ ไป
    ผมตอบไปว่าเดี๋ยวเที่ยวบนดอยนี้เสร็จก็จะลงไปต่อรถเพื่อไปนอนที่ดอยอินทนนท์คืนนึง
    จากนั้นวันรุ่งขึ้นก็จะเที่ยวบนดอยจนถึงตอนบ่าย ๆ ก็จะกลับมาในเมือง
    เที่ยวอีกนิดหน่อยแล้วก็จะกลับโดยรถไฟไปกรุงเทพที่เวลาสามทุ่ม

    "มึงมาเชียงใหม่สองวันเนี่ยนะ ทำไมไม่ค้างอีกสักคืนวะ"

    โป๊ตถามคำถามที่ผมเองก็ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน
    ทำไมผมไม่วางแผนมานอนที่นี่สักสองคืน เพื่อที่จะได้เที่ยวให้ครบแถมยังไม่ต้องเหนื่อยมากอีก
    นั้นสินะ ทำไมกัน?
    แต่จะมาคิดตอนนี้ก็คงจะไม่ทันแล้ว เพราะบ้านพักรวมถึงตั๋วรถไฟเดินทางกลับ
    ผมได้จองและจ่ายเงินล่วงหน้าโดยมีเวลาเป็นตัวกำหนดอยู่แล้ว

    ผมบอกลาไอ้โป๊ตและนัดหมายกันว่ายังไงเดี๋ยวคงได้เจอกันอีกในวันพรุ่งนี้ตอนเย็น ๆ
    น้าคนขับรถแดงมาตามผมกับมีนให้ไปขึ้นรถได้แล้ว
    เราจะลงไปเที่ยวที่พระตำหนักพูพิงค์ราชนิเวศน์กัน

    จะว่าไปผมก็เรียกได้ว่ารอบคอบอยู่เหมือนกันที่บอกไอ้มีนว่าให้ใส่กางเกงขายาวมาก่อนในวันแรก
    เพราะถ้าไม่อย่างนั้น เราสองคนก็จะต้องไปเสียเงินเช่าผ้าซิ่นแบบพี่คู่รักที่ดันใส่กางเกางขาสั่นมา
    พระตำหนักที่นี่ดูจากรูปที่ถ่ายในหน้าหนาวแล้วสวยดีครับ
    ดอกไม้บานแช่งยังกับในการ์ตูน
    ส่วนเรื่องสีสันก็พูดได้ว่าฉูดฉาดไม่มีสีตกกันเลย

    แต่เผอิญว่าตอนนี้เป็นหน้าร้อน
    ผมกับมีนจึงได้เห็นแต่สภาพดอกไม้ที่กำลังอู้งานไม่ยอมบานมาให้ชม
    พอเดินขึ้นไปอีกหน่อยก็จะเป็นเส้นทางแนวศึกษาธรรมชาติ
    พ้นจากนั้นก็จะเป็นอ่างเก็บน้ำ ที่มีระบบน้ำพุอยู่ตรงกลาง 
    คอยพุ่งขึ้นลงตามจังหวะบทเพลงพระราชนิพนธ์
    ตอนกลางคืนคงจะสวยน่าดู ผมคิดในใจ
    แต่ก็อีกนั้นแหละ นี่มันตอนกลางวัน

    เราเดินขึ้นมาจนถึงจุดที่มีที่นั่ง พร้อมร้านขายขนมก๊อกแก๊ก
    ผมกับมีนนั่งพักกันด้วยความเหนื่อย
    เราสั่งวอลเฟิลกับน้ำอีกคนละแก้วมานั่งกินกัน
    ลมหนาวบนยอดดอยตอนนี้ทำให้ผมเกิดอาการชิวจนลืมดูเวลา
    ดูอีกทีก็เลยเวลาที่นัดกับพี่คู่รักมาซะแล้ว
    เราสองคนจึงกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปที่จุดนัดหมาย
    เพื่อพบว่า พี่เค้าก็ยังไม่มาเหมือนกัน

    ที่สุดท้ายที่เราจะไปกันบนดอยแห่งนี้คือวัดพระธาตุดอยสุเทพ
    เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การมาบนขอสิ่งต่าง ๆ เป็นอย่างมาก
    เพราะตอนเด็ก ๆ จำได้ว่าเคยมากับครอบครัวแล้วมีพระข้างบนที่ชื่อว่าหลวงพ่อทันใจ

    ผมกับมีนมองไปยังบันใดขึ้นตัววัดที่ยาวประมาณ 300 ขั้นแล้วคิดตรงกันว่า
    ไปนั่งกระเช้าขึ้นแทนเหอะ
    พอขึ้นไปเสร็จผมกับมีนก็เข้าไปจุดธูปเทียนไหว้พระตามพิธี
    หลังกราบไหว้กันเป็นที่เรียบร้อย สายตาผมก็เหลือไปเห็นป้าย ๆ หนึ่งที่เขียนไว้ว่า
    ยกช้างเสี่ยงทาย
    ลองเข้าไปอ่านวิธีการใช้ก็ไม่ยากครับ
    แค่ใช้นิ้วก้อยยกรูปปั้นช้าง (ผู้หญิงใช้นิ้วนาง) สองรอบ
    ถ้ารอบแรกยกขึ้นก็แสดงว่าสิ่งที่ขอนั้นจะเป็นจริงไปเลย
    ถ้าไม่ขึ้น เค้ามีรอบสองให้แก้ตัวครับ
    แต่รอบสองนี้จะต่างกับรอบแรกก็คือ ถ้ายกไม่ขึ้นจะแสดงว่าจะได้ในสิ่งที่ขอ
    แต่ถ้ารอบสองเสือกกระเดะยกขึ้นซะงั้น นั้นก็แสดงว่าคุณแห้วไปตามระเบียบแล้วละครับ

    ผมอยากลองทดสอบความคลังของการเสี่ยงทายรูปแบบนี้ดู
    จึงอธิฐานว่าขอให้ได้ความรักเก่ากลับคืนมาสักที
    หลังสิ้นคำขอ
    ผมออกแรงยกช้างด้วยนิ้วก้อยสุดกำลัง

    เหี้ย !! ไม่ขึ้นซะงั้น

    ไม่เป็นไรลองอีกรอบละกัน
    คราวนี้ก็ชิว ๆ แค่ออกแรกเบา ๆ ก็จะยกช้างไม่ขึ้นและคำขอของเราก็จะเป็นจริงแล้วสินะ
    โธ่ ของกล้วย ๆ
    หนึ่ง สอง ซั่ม ฮึบ !!

    เหี้ย !! มืงขึ้นมาทำไม

    สิ้นหวังแล้วครับ
    แต่เห้ยจะบ้าหรอเราจะให้ช้างตัวหนึ่งมากำหนดชีวิตเราไม่ได้
    ผมมีแผนสอง
    ต้องนี่เลยครับ ยืนยันความคลังทุกยุคทุกสมัย

    เซียมซี

    ผมนั่งเขย่าอยู่พักใหญ่ ไม้กำหนดดวงชะตากรรมของผมก็ร่วงหล่นลงมา
    มีเลขกำกับอยู่ว่า 14
    ใบที่ 14 นี้ดีอยู่นะครับ แต่มันมีสิ่งที่ไม่ดีอยู่เรื่องหนึ่ง
    เรื่องนั้นคืออะไร ผมขอไม่ตอบอีกละกันนะ

    เรื่องความรักที่ไม่สมหวังมันเป็นเรื่องธรรมชาติ
    ไม่สิ ธรรมชาติมาก ๆ
    แต่มนุษย์เราไม่ได้อยากจะเจอเรื่องธรรมชาติแบบนี้กันบ่อยสักเท่าไหร่
    เราต้องการเรื่องปาฏิหาริย์อยู่บ้าง

    ย้อนกลับไปที่ MV เพลงของพี่บอย
    มีคอมเม้นของคน ๆ หนึ่งที่ฝากไว้กับ MV นี้ ซึ่งผมชอบเอามาก ๆ
    แกเขียนไว้ประมาณว่า

    ไม่ว่าไอ้พระเอกคนนี้มันจะดิ้นรนหนีนางเอกไปได้ไกลแค่ไหน
    แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ทำได้เพียงแค่...
    เปลี่ยนที่ร้องไห้

    เช่นเดียวกัน
    ไม่ว่าชีวิตผมจะถูกสายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงพัดพาให้ย้ายไปอยู่ในที่ไหนก็ตาม
    สิ่งที่ผมทำได้ ก็คงจะคล้าย ๆ กับพระเอก MV นั่นแหละครับ

    แค่เพียงเปลี่ยนที่คิดถึง
  • 8.
    การเคลื่อนที่แบบซิมเปิลฮาร์โมนิก


    SHM. ย่อมาจาก Simple Harmonic Motion
    ตอนมัธยมใครที่เรียนสายวิทย์คงเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้าง
    ในคาบฟิสิกส์ตอน ม.4 อาจารย์สอนไว้ว่า
    SHM. เป็นการเคลื่อนที่ไป-มา ซ้ำจุดเดิมไปเรื่อย ๆ
    ยกตัวอย่างเช่นพวกสปริงหรือลูกตุ้มที่เค้าใช้สะกดจิตกันนั้นแหละ
    การเคลื่อนที่แบบนี้จะดำเนินไปได้เรื่อย ๆ ซ้ายทีขวาที ลงล่างทีดีดขึ้นบนที
    ถ้าโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าแรงเสียดทานหรือแรงต้านอากาศแล้ว
    เป็นไปได้ว่าการเคลื่อนที่แบบนี้ก็จะวนไปได้อย่างไม่รู้จบ
    กลายเป็นระบบการเคลื่อนไหวที่เป็นอมตะ

    การเดินทางครั้งนี้มีส่วนคล้ายกับการเคลื่อนที่ข้างต้นที่ได้กล่าวไป
    มีดอยอินทนนท์กับดอยสุเทพเป็นแอมพลิจูดสองข้าง
    ส่วนจุดสมดุลที่ตรงกลาง
    ผมคิดว่าเป็น ม.เชียงใหม่

    เราลงจากดอยถึงพื้นราบที่เวลาประมาณบ่ายสองโมง
    จากนั้นก็ต่อรถแดงไปคิวรถที่จะพาเราไปดอยอินทนนท์
    จากการบอกเล่าของน้าคนขับรถแดงได้ความว่า
    เราต้องต่อรถไปลงที่วัดพระธาตุจอมทองก่อน
    แล้วค่อยหาเหมารถจากที่นั่นเพื่อขึ้นดอยอีกทีนึง

    ผมกับมีนเลือกขึ้นรถเมล์ที่ถ้าจำไม่ผิดมันจะเขียนว่า
    เชียงใหม่-อมก๋อย

    เห้ย ! สถานที่ชื่อว่าอมก๋อยนี่มันมีอยู่จริงนี่หว่า
    หลงคิดว่าเป็นคำเปรียบเปรยที่ใช้ล้อกันสำหรับคนที่มีบ้านอยู่ในชนบทไกล ๆ

    เจ๊กระเป๋ารถเมล์น่ารักและอัธชาศัยดีมากครับ
    แกทักทายเราด้วยคำเมืองอย่างเต็มรูปแบบ
    แม้บรรยากาศในรถจะร้อนไปสักหน่อย
    แต่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มของแกทำให้เราพอจะลืมเรื่องนั้นไปได้บ้าง

    ราคาจากประตูเมืองเชียงใหม่ไปลงที่จอมทองตกอยู่ที่คนละ 34 บาท
    ผมกับมีนได้ตั๋วยืนชั้นพิเศษอีกตามเคย
    จากการคำนวนเวลาจากระยะทางคร่าว ๆ ใน Google Map แล้ว
    มันประมาณ 2 ชั่วโมง

    ผมกับมีนจึงเลือกการยืนหลับอยู่อย่างสงบที่ท้ายรถ
    แต่เราก็รู้สึกตัวทุกครั้งที่พี่คนขับแกเบรกอย่างกระทันหัน
    ผมหลับไปได้สักพักสัญชาตญาณก็บอกว่ามันใกล้จะถึงแล้ว
    เราสองคนแบ่งหน้าที่กัน ผมดูทางซ้ายส่วนมีนดูทางขวา
    เป้าหมายของเราคือวัดพระธาตุจอมทอง

    วัดพระธาตุจอมทองหาไม่ยากอย่างที่คิด
    ผมกับมีนกระโดดลงจากรถเพื่อมองหาคิวรถที่จะพาเราไปขึ้นดอย
    แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ
    ผมจึงเดินไปถามคุณป้าท่าทางใจดีที่ร้านขายของชำใกล้ ๆ
    แกตอบว่ามาบางทีคิวรถขึ้นดอยมันอาจจะหมดไปแล้ว
    เพราะเวลาที่ผมมาถึงจอมทองก็เกือบ ๆ จะสี่โมงเย็นได้
    แล้วอีกอย่างหน้านี้ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว
    รถจึงน้อยเป็นธรรมดา

    เรามืดแปดด้านกันอยู่พักใหญ่
    เพราะถ้าคิดจะเดินขึ้นดอยนี่คงต้องเป็นซุปเปอร์แมนถึงจะทำได้
    แต่เราก็ไม่ถือว่าโชคร้ายขนาดนั้น
    เลยตัววัดไปอีก 100 เมตรจะมีคิวรถสีเหลืองที่เขียนว่า
    เชียงใหม่-จอมทอง
    (ซึ่งมารู้ทีหลังว่านั่งรถสีเหลือจากเชียงใหม่ก็ถึงจอมทองได้เหมือนกันแค่ช้ากว่า)

    ผมเห็นพี่คนหนึ่งหน้าตาเกาหลีเจาะหูนั่งหน้ามึน ๆ อยู่ข้างรถ
    จึงเค้าไปถามว่าถ้าจะเหมารถพี่ขึ้นดอยไปเนี่ย ตกคนละเท่าไหร่
    พี่แกตอบมาว่าคนละสามร้อยด้วยน้ำเสียงยังไม่ตื่น
    สามร้อยพูดไปก็แพงอยู่ เพราะเท่าที่ถามจากพี่คู่รักที่เค้าเคยมาเที่ยวที่นี่แล้ว
    แกบอกว่าเหมาเที่ยวขึ้นลงแค่ะประมาณคนละสองร้อยเอง
    แต่นั่นหมายความว่ามันต้องมีคนที่เยอะกว่าสองคน

    ผมกับมีนไม่มีทางเลือกอะไรมาก เพราะดูจากสภาพอากาศและเวลา
    ถ้าไม่รีบขึ้นไปเข้าที่พัก ก็จะได้เป็นเด็กวัดแถว ๆ จอมทองนี้สักคืนแน่ ๆ

    ระหว่างทางขึ้นดอย

    พี่เคคนขับรถเหลืองขับพาเราขึ้นดอยด้วยความเร็วที่เหมือนวิ่งปกติบนพื้นราบ
    คือผมก็ไม่ได้รีบร้อนเท่าไหร่นะครับ
    ขับเพลิน ๆ ให้ผมดูวิวสองข้างทางบ้างก็ได้

    ขึ้นมาสักพักเราก็เจอการต้องรับจากธรรมชาติ
    เมฆสีดำที่ก่อตัวมานานตอนนี้กลั่นตัวกลายเป็นน้ำฝนตกลงมาให้พวกผมลำบากกันแล้ว
    การเดินทางควรมีอุปสรรคบ้าง
    ถ้าเดินทางไปแล้วทุกอย่างราบรื่น รู้หมดว่าตรงนั้นตรงนี้เป็นอย่างไร
    ผมก็ไม่รู้จะเดินทางไปทำไมเหมือนกัน

    ฝนตัวดีตกอยู่ได้ไม่นานก็จากไป
    ท้องฟ้าหลังฝนสวยงามอย่างที่เค้าพูดกันไว้จริง ๆ
    แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเย็นแล้วก็ตาม

    เรามาถึงที่ทำการของอุทยานตอนสี่โมงกว่า ๆ
    มีนขอเบอร์พี่เคคนขับรถไว้เสร็จสับ
    เผื่อพรุ่งนี้ถ้าเราหารถลงไม่ได้จริง ๆ
    เราจะได้ไม่ต้องเป็นเด็กดอยติดเหง็กอยู่บนเขาไปตลอดชีวิต

    ผมเดินไปขอกุญแจห้องจากพนักงานบริการนักท่องเที่ยว
    ซึ่งวันนี้ดูเหมือนงานพี่เค้าจะมีแค่ผมสองคน
    107 บ้านดาวเรือง คือที่อยู่ของผมกับมีนในคืนนี้

    พี่พนักงานใจดีบอกเราว่าที่พักนั้นต้องเดินไปอีกประมาณหนึ่งกิโลกว่า ๆ
    แต่อย่างที่บอกไว้ มาภาคเหนืออย่าไว้ใจระยะทางที่บอกหน่วยเป็นกิโลครับ
    ถ้าเรายังไม่ได้ใส่ค่า sin cos tan คำนวนความชันของมันเข้าไป

    เราเดินมาตามทางที่พี่พนักงานบอก
    มีป้ายบอกทางชัดเจน หน้าปากซอยทางเข้าก็จะเป็นเสมือนหมู่บ้านเล็ก ๆ
    มีสถานีอนามัย มีโรงเรียนที่ผมชอบคอนเซปของเขาเอามาก ๆ
    ป้ายมันเขียนไว้ว่า โรงเรียนที่สูงที่สุดในประเทศ
    ฟังดูแล้วยิ่งใหญ่ไม่แพ้โรงเรียนดัง ๆ ในตัวเมืองเลย

    9.
    ชีวิตที่พัฒนาแล้ว


    บ้านพักของเราสามารถจัดอยู่ในหมวดผีสิงได้อย่างเต็มตัว
    เพราะมันมีองค์ประกอบความหลอนอยู่ครบถ้วน
    ไม่ว่าจะเป็นกระจกที่มีรอยอะไรสักอย่างขีดอยู่
    เครื่องทำน้ำร้อนที่มีประวัติการระเบิดมาแล้ว โดยหลักฐานคือรอยไหม้รอบ ๆ
    ที่ตั้งก็อยู่แสนจะโดดเดี่ยว ไร้ญาติมิตรเรือนเคียง
    ประตูก็เปิดโคตรยาก ผ้าม่านบางอันก็ปิดไม่ได้อีก
    รวมถึงเตียงที่มีไว้สามเตียง ที่ไม่รู้อีกอันจะให้ใครนอน
    ภายหลังเราสองคนจึงเอาของไปวางถมให้เต็มเตียง
    เพื่อป้องกันการจินตนาการที่อาจทำให้เรานอนไม่หลับ

    เราวางของ พักล้างหน้าล้างตากันเสร็จก็ออกมาหาอาหารประทังชีวิต
    ข้างทางจะมีร้านขายอาหารตามสั่งที่ชาวบ้านเข้าเปิดขายกันเองง่าย ๆ
    คิดแล้วเรียกได้ว่าโชคดีนะครับ ที่มาในหน้าที่คนเค้าไม่ค่อยเที่ยวกันแบบนี้
    ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ได้เห็นชีวิตของชาวบ้านที่ เป็น อยู่ กิน กันอย่างเป็นธรรมชาติอย่างนี้

    เด็ก ๆ วิ่งเล่นปั่นจักรยานกันอย่างไม่ต้องกังวลว่าจะมีรถของนักท่องเที่ยวขับมาชน
    เสียงชาวบ้านสนทนากันตามร้านขายของชำที่ไม่ต้องคอยวุ่นวายกับคนแปลกหน้า
    ชาวบ้านล้วนดำเนินชีวิตอย่างเป็นไปตามสะดวกอย่างที่ควรจะเป็น
    ไม่ต้องมากังวลว่าจะมีใครมาแอบเล็งกล้องถ่ายรูปมาที่เราหรือป่าว

    ชาวบ้านไม่ใช่คนแปลกหน้า
    เราต่างหากที่เป็น

    ความเป็นที่ท่องเที่ยวสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับทุกที่ได้เสมอ
    ทั้งในด้านธรรมชาติและชีวิตความเป็นอยู่
    เห็นบรรยากาศเรียบง่ายของชาวบ้านที่นี่แล้ว
    ทำให้ผมสงสัยว่าทำไมเราต้องเรียกพื้นที่ชนบทว่ายังเป็นพื้นที่ยังไม่พัฒนา
    ยังไม่เจริญ แล้วในเมืองหลวงกรุงเทพที่เขาเรียกกันว่าเป็นเมืองหลวง
    เป็นเมืองแห่งความเจริญ

    มันเจริญกว่ากันตรงไหน ?

    เราชอบยัดเยือดความเจริญให้พวกเขาไป
    แต่ไม่เคยถามสักนิดเลยว่าเค้าต้องการหรือป่าว


    10.
    คืนวันพฤหัสที่ 12

    ผมกับมีนฝากท้องไว้กับร้านอาหารสไตล์ชาวบ้านร้านหนึ่ง
    ตอนแรกเราคิดว่ามาเหนือทั้งทีน่าจะได้ลิ้มลองอาหารจำพวกลาบต่าง ๆ
    แต่เราห่วงสุขภาพท้องของเราจะรับความเผ็ดจัดจ้านนั้นไม่ไหว
    เพราะเรายังเหลือการเดินทางอีกหนึ่งวันเต็ม ๆ
    ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ ถ้าเราจะเกิดอาการปู๊ดป๊าดกลางทาง

    เราซื้อขนมถุงพร้อมน้ำดื่มกลับมากินเพื่อหิว
    บรรยากาศในที่พักตอนนี้วังเวงมาก
    ข้างนอกมีเสียงแมลงต่าง ๆ กำลังร้องแข่งกันดังระงม
    มองออกนอกหน้าต่างก็เห็นจะมีแสงไฟใด ๆ ให้ชื่นใจไม่
    อากาศตอนสองทุ่มกำลังพอเหมาะต่อการเข้านอน
    ผมบอกมีนว่ารีบ ๆ นอนเหอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องลุยกันอีกเยอะ

    มีนเชื่อฟังคำผมอย่างว่าง่าย
    มันหลับแทบจะทันทีที่หัวถึงหมอน
    ส่วนตัวผมเองนั้น เวลาปาไปสี่ทุ่มแล้วก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะง่วงแต่อย่างไร

    ผมเป็นคนจิตนาการสูงครับ
    โดยเฉาะเรื่องผี

    นอนอยู่ดีดีไม่เคยว่าดี
    ชอบจิตนการการปรากฏตัวของผีอยู่เรื่อย ๆ
    มาแอบยิ้มทางหน้าต่างบ้าง
    แอบมาดึงผ้าห่มบ้าง
    มาเคาะประตูบ้าง
    ยืนอยู่ปลายเตียงบ้าง

    โอ้ย !! ไม่ไหวแล้วโว้ย กูนอนไม่หลับ

    ได้ นอนไม่หลับนักใช่มั้ย
    นั้นต้องใช้หลักการท่าไม้ตายแล้วสินะ
    นอนไม่หลับ ก็ไม่ต้องนอนแม่งเลยไม่เห็นจะยาก
    โธ่ ตอนเปิดเทอมอดนอนได้สองสามวันไม่เห็นจะเป็นไรเลย

    คิดได้ดังนั้นผมจึงหยิบ BB อุปกรณ์แก้เหงาตัวเก่งมาเปิดดู FB
    เค้าไปดูรูปโปรไฟล์ของคนน่ารัก ๆ เพื่อเผลอหลับไปจะได้ฝันดี
    ดู FB จนเบื่อก็เค้าไปนอนอ่านทวิตเตอร์เพลิน ๆ
    ติดตามข่าวสารบ้านเมือง, ผลฟุตบอล
    แต่แล้วผมก็เลื่อนไปเจอทวิตของคน ๆ หนึ่งกำลังเล่าเรื่องผีผ่านทาง 140 ตัวอักษร
    คนผู้นั้นคือพี่โต้งหัวแจกันครับ (@horjorgor)

    แม่งเอ้ย !! ด้วยความเคารพครับพี่โต้ง
    ร้อยวันพันปีพี่ไม่ยักจะทวิตเรื่องผี
    ทำไมต้องวันนี้ครับพี่ วันที่ผมกำลังติดอยู่ในบ้านพักกลางป่ากลางเขา
    กับเพื่อนมีนที่ตอนนี้นอนกรนอย่างไม่เกรงใจบรรยากาศความน่ากลัวของที่นี่เอาซะเลย

    เรื่องแรกผ่านไปไม่พอครับ พี่แกทวิตซ้ำอีกเป็นเรื่องที่สอง
    หนำซ้ำยังเป็นเรื่องที่พี่แกเจอสมันเป็นนักศึกษาอยู่ที่ ม.เชียงใหม่อีก
    ไม่ไหวแล้วครับ ไม่อ่านแม่งแล้วทวิตเตอร์

    โทรศัพท์หาเพื่อนดีกว่า
    เพราะนึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีดอกส้มสีทอง โทรไปให้มันเล่าให้ฟังคงจะพอหายหลอนได้
    โทรไปคุยกับมันได้ครึ่งชั่วโมง เล่าเรยาจบผมก็เริ่มจะไม่มีเรื่องชวนมันคุย
    ครั้งจะถือสายเปล่า ๆ ไปก็เกรงว่าจะหลอนกว่าเดิม

    ผมเลยวางสายแล้วนอนอยู่นิ่ง ๆ
    เวลาตอนนี้ห้าทุ่มแล้ว แต่ผมก็ยังไม่ได้นอน
    ทางไอ้มีนดูท่าว่าจะฝันไปได้สามเรื่องครึ่งแล้ว

    ผมนอนนิ่งต่อไปจนอาการกลัวหาย
    เรียกง่าย ๆ ว่าตายด้าน
    ตอนนี้ไม่กลัวแล้วครับ นอนดึงผ้าม่านเล่น
    จ้องหน้าต่างรอจ๊ะเอ๋กับผีที่กำลังจะโผล่มา
    แต่ทำยังไงมันก็ยังไม่หลับสักที

    ผมจึงเปิดเพลงฟังไปเรื่อย ๆ
    เพลงสุดท้ายที่ผมพอจะรู้สึกว่าได้ยินอยู่คือเพลง
    เพลงก่อนนอน ของ scrubb
    จากนั้นผมก็ผล็อยหลับไป
    ในเวลาเท่าไหร่ก็ไม่แน่ใจ
    แต่พอตื่นมาในตอนเช้าก็รู้สึกโชคดีมาก

    เพราะถ้าผมยังคงนอนไม่หลับต่อไปอีกสักหนึ่งชั่มโมงกว่าจนเข้าสู่วันใหม่
    นาฬิกาบอกเวลาใน BB ของผมก็จะขยับจากวันพฤหัสที่ 12
    ให้กลายเป็น วันศุกร์ที่ 13
    แล้วผม...
    อาจจะไม่ได้นอนทั้งคืนอย่างที่พูดไว้ก็เป็นได้


  • 11.
    สิ่งที่ไม่คิดว่าจะพลาด


    วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ร่างกายของเราจะอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่
    แผนการวันนี้มีไม่เยอะ แค่เที่ยวบนดอยเท่าที่จะทำได้
    และต้องกลับไปขึ้นรถไฟรอบสามทุ่มที่จองไว้ให้ทัน

    ผมรู้สึกตัวในเวลาหกโมงเช้า
    ในขณะที่อากาศเย็นแบบไม่สบาย
    เหมือนมีคนมาปรับอุณภูมิของแอร์ให้เหลืออยู่ที่ 15 องศา

    ไอ้มีนผู้เมื่อคืนหลับสบายตื่นมานั่งบนเตียงรอผมอยู่แล้ว
    ด้วยความง่วง ผมจึงบ่ายเบี่ยงให้มันเป็นผู้ไปอาบน้ำก่อน
    เวลาล่าช้าไปเรื่อย ๆ เพราะความขี้เซาของผม
    เอาเข้าจริง ๆ เวลาก็เกือบจะแปดโมงแล้วเราถึงได้ออกไปทานอาหารเช้ากัน

    เช้านี้เราไปฝากท้องกับศูนย์อาหารที่เป็นของอุทยานครับ
    ตอนเดินผ่านหน้าที่ทำการเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวทยอยกันมาบ้างแล้ว
    คงเพราะวันนี้เป็นวันหยุด ซึ่งจะต่อเนื่องกับวันเสาร์ อาทิตย์ และยาวไปถึงวันอังคารเนื่องจากหยุดชดเชย

    อาหารเช้านี้เป็นโจ๊กกับโอวัลตินร้อน
    ผมถามถึงเบอร์พี่เคคนรับรถจากมีนเพื่อที่จะติดต่อเรื่องให้พี่เค้าขึ้นมารับ
    มีนบอกว่าไม่ได้อยู่ที่ตัว เดี๋ยวกลับห้องเมื่อไหร่จะไปหาดูอีกที

    เรานั่งเพลินกับอากาศเย็น ๆ และไออุ่นของโจ๊กได้สักพัก
    ความร้อนจากดวงอาทิตย์ก็เริ่มไล่ความหนาวตอนเช้า ๆ ออกไป

    เมื่อท้องเราอิ่มจึงรีบเดินเท้ากลับเข้าที่พัก
    เพื่อเก็บของอาบน้ำและเตรียมตัวไปเที่ยวกันต่อ
    พอถึงบ้านพักเราพบปัญหาอีกข้อคือ
    เบอร์พี่เคหาย
    หายไปไหนก็ไม่รู้และไม่มีใครรู้ว่าทำไมถึงหาย

    ปัญหามักมาในเวลาที่เรารีบ
    ตอนนี้นาฬิกาชี้ไปที่เลขสิบแล้ว
    ถ้าเราไม่ได้รถอาจจะไม่สามารถเที่ยวบนดอยนี้แล้วทันกลับเมืองก็ได้

    ผมบอกมีนว่าอย่าเพิ่งหมดหวังไป
    เดี๋ยวยังไงตอนเราเอากุญแจไปคืนเจ้าหน้าที่
    เรารอหารถแดงรถเหลืองแถวนั้นเอาก็ได้
    ผมไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะมีมั้ย
    แต่สิ่งสุดท้ายที่เราควรเหลืออยู่เมื่อหมดแล้วซึ่งทุกสิ่ง
    คือศรัทธา


    12.
    กรรมตามทัน


    ความเชื่อในเรื่องเวรกรรมของผมอาจฟังดูแล้วไม่ค่อยจะตรงกับที่คุณครูสอนเท่าไหร่
    ผมไม่เคยเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด
    ไม่เคยเชื่อว่าทำบุญแล้วชาติหน้าจะเกิดมามีโชคดี
    และอีกหลาย ๆ อย่างที่ผมไม่เชื่อ
    แต่ปัจจุบันยังกลัวผีขึ้นสมอง

    เรื่องกรรมในความคิดของผมมันคือการกระทำ
    การกระทำหนึ่งอย่างจะให้ผลพัทธ์เป็นเหตุการณ์หนึ่งอย่าง
    และเหตุการณ์หนึ่งอย่างที่ว่านั้น ก็จะแตกแขนงออกไปเป็นอีกเป็นหลายร้อยพันทาง
    ให้เราได้เลือกกระทำต่อไป

    กล่าวโดยสรุป
    เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตของเรา
    ผมเชื่อว่ามันเกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล
    เชื่อว่ามันเกิดขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนเส้นทางชีวิตเรา

    การที่อยู่ดีดีรถเกิดเสียทำให้ไปทำงานสาย
    อาจทำให้ใครคนหนึ่งถึงขั้นต้องเปลี่ยนงาน
    ย้ายที่อยู่อาศัย ย้ายวิถีชีวิต

    การที่เราตื่นสาย
    ทำให้เราไปขึ้นรถตู้ไม่ทัน
    นั่นอาจหมายถึงความโชคดีที่เราไม่เป็นหนึ่งในผู้ประสบอุบัติเหตุ

    การจากไปของคนสำคัญ
    อาจทำให้คน ๆ นั้น
    เปลี่ยนแปลงไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ

    และแน่นอน
    การที่เราทำเบอร์พี่เคหาย
    ทำให้เราได้พบกับคนบางคน

    เค้าคนนั้นชื่อพี่กอล์ฟครับ

    พี่กอล์ฟเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้
    อยู่ดีดีก็เดินเข้ามาหาผมกับมีน
    ที่ตอนนั้นกำลังนั่งรอความหวังว่าจะมีรถสักคันผ่านมา
    แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่พบแม้สักเงา

    "จะขึ้นดอยรึป่าวครับ"

    คำถามนี้ทำให้ผมใจชื้น ว่าอย่างน้อยเรามีรถขึ้นดอยแล้ว
    ผมกับมีนพยักหน้าแบบไม่ต้องคิด

    "ป่ะ ไปโบกรถกัน"

    ฮะ ! พี่
    อ้าวพี่ไม่มีรถหรอกหรอครับ
    ที่แท้พี่ก็มาหาคนร่วมอุดมการณ์โบรรถเที่ยวสินะ
    โอเคครับพี่ ยังไงผมก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
    อีกทั้งในชีวิตนี้ก็ยังไม่เคยจะโบกขอขึ้นรถชาวบ้านสักครั้ง

    "แต่มันจะมีคนให้เราติดรถไปด้วยหรอพี่"
    ผมถามด้วยความสงสัย

    "เออ หน้าด้านหน่อย เดี๋ยวก็ได้ไปเอง"

    ขอบคุณมากครับสำหรับคำแนะนำครับ

    ขณะยืนข้างถนนรอโบกรถก็ได้ไถ่ถามที่มาที่ไปของพี่กอล์ฟ
    ได้ความว่าพี่แกเรียนอยู่ที่กรุงเทพ
    มาเดินทางได้ 3 วันแล้ว
    โดยไปเริ่มต้นที่แม่ฮ่องสอน แล้วก็ลงมาเรื่อย ๆ
    รถประจำทางบ้าง โบกรถชาวบ้านมาบ้าง
    โดยมีกระเป๋าหนึ่งใบกับเต้นท์หนึ่งหลัง

    ผมคิดในใจว่าพี่นี่แม่งโคตรเท่ห์เลยหวะ
    มาคนเดียวแถมไม่ได้พกอะไรมามากมายอีก
    เห็นพี่แกบอกมีตังค์เริ่มต้นที่สี่พันบาท
    ผมรู้แล้วละอาย สี่พันพี่นี่สามารถเที่ยวจนจะครบทั้งภาคเหนือแล้ว
    ส่วนผมกับมันนี่สามพันกว่าแค่เชียงใหม่ยังไม่รู้จะครับรึป่าวเลย

    เหยื่อคนแรกของเราเป็นคุณลุงใจดี
    แต่แกไม่ได้ขึ้นไปถึงยอดเขา
    แกบอกไปถึงแค่หน่วยจัดการน้ำ แถว ๆ ร้านอาหารลุงแดง
    ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่พี่กอล์ฟแกบอกว่าไป
    เราก็เลยต้องไป

    พี่กอล์ฟบอกว่าตอนแกขึ้นมาบนดอยนี้แกก็อาศัยรถลุงแดงขึ้นมาเนี่ยแหละ
    ซึ่งมีนกับผมเสียค่าโคตรโง่ไปคนละสามร้อย

    ร้านลุงแดงเป็นร้านอาหารตามสั่ง
    อารมณ์คล้าย ๆ กับพวกอัมพวา, เพลินวาน
    แต่องค์ประกอบจะให้กลิ่นอายความเป็นดอยมากกว่า

    ลุงแดงแกใจดีครับ
    แกบอกว่าพวกเรามาเที่ยวกันหน้านี้แหละดีแล้ว

    "ลองมาตอนสิ้นปีนะ
    ที่นี้มันไม่ต่างจากห้างดีดีเลย
    คนแย่งกันกินแย่งกันเที่ยว
    จนลุงก็ไม่รู้ว่าพวกเค้าสนุกกันอยู่ได้ยังไง"

    ฟังแล้วก็รู้สึกดีครับ
    ที่ไม่ต้องมาเบียดแย่งกันเที่ยวอย่างที่คุณลุงแกบอก

    ตอนนี้ฝนเริ่มลงเม็ดอีกแล้ว
    เราสามคนจึงต้องทานอาหารกลางวันที่ร้านลุงแดงรอไปพลาง ๆ ก่อน
    หวังว่าพอฝนเริ่มซาเมื่อไหร่
    ก็จะรีบหาเหยื่อผู้ใจบุญคนต่อไป


    13.
    ไม่ถึงจุดสุดยอด


    ตอนนี้เราอยู่ท้ายรถกระบะของบุคคลใจดีอีกท่านหนึ่ง
    พี่แกสองคนน่าสงสารมาก เพราะโดนเราดักโบกกันตรงด่านก่อนจะขึ้นไปที่พระธาตคู่
    ระหว่างทางฝนก็ยังตกอยู่ แถมคำว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวก็เหมือนจะเป็นคำกล่าวที่จริง
    ผม, ผู้นั่งอยู่ท้ายสุดของกระบะตอนที่เป็นเหมือนจุดโฟกัสของน้ำฝนทั้งหลาย
    นั่งรถแล้วโดนฝนสาดเข้ามาก็ถือว่าแย่แล้ว
    แต่ลองคิดภาพคนที่โดนน้ำฝนที่อุณหภูมิเกินสิบองศามานิดหน่อยสิครับ
    มันเหมือนมีคนกำลังเอาวัตถุอะไรแหลม ๆ มาปาใส่เราเป็นพัน ๆ
    น้ำฝนที่เย็นมันเหมือนกับโดนเข็มเล็ก ๆ ทิ่มอยู่ตลอดเวลา

    ระหว่างทางขึ้นดอยมานี่วิวสวยมาก
    แม้จะมีละอองฝนค้างอยู่
    แค่โดยรวมแล้วมันให้บรรยากาศคล้าย ๆ กับเรามาที่นี่ตอนหน้าหนาวเลยทีเดียว

    เราขอบคุณสองพี่สามี-ภรรยาใจดีเสร็จก็หาที่หลบฝนแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า
    ที่ ๆ เราอยู่คือพระธาตุคู่ซึ่งมีความหมายถึงในหลวงและราชินี
    ทางขึ้นพระธาตุที่นี้ไฮโซมาก
    เพราะมันมีบันไดเลื่อนคอยบริการนักท่องเที่ยวจอมขี้เกียจอย่างพวกผม
    พวกเราเดินชมกันอย่างเพิลนมาก
    เพราะทัศนียภาพที่มองจากมุมสูงนี้มันสบายตาดีเหลือเกิน

    ดอกไม้ที่นี่ก็ไม่ได้ไก่กาสามัญเหมือนที่เราไปเจอที่พระตำหนักภูพิงค์ครับ
    แม้ว่าจะเป็นหน้าร้อน แต่มันก็ไม่ได้อู้งาน
    ขอฮาร์ดเซลเลยละกันนะครับว่าใครมาดอยอินทนนท์ต้องมาถึงตรงนี้ให้ได้
    เพราะมันสวยมาก ยิ่งอารมณ์หลังฝนตกท้องฟ้าโปร่ง ๆ นี่น่าเก็บภาพมากครับ
    ว่าแล้วผมก็จะหยิบขาตั้งกล้องตัวจิ๋วมาถ่ายรูปท้องฟ้าวันนี้เป็นที่ระลึกซะหน่อย
    หนึ่ง สอง ซั่ม แชะ

    เชี่ย ! ทำไมภาพมันขาวไปหมด แถมขึ้นเป็นเส้น ๆ อย่างนี้วะ

    พอวิเคราะห์ดูแล้วน่าจะเกิดจากการตากฝนไม่ก็ตกจากที่สูง
    ทำให้ตัว CCD รับภาพเสีย
    หลับให้สบายนะ หน้าที่ของนายจบลงเพียงแค่นี้แล้วล่ะ เจ้ากล้องถ่ายรูป
    เป็นอันสิ้นสุดการเก็บความทรงจำในรูปแบบภาพ
    จากวินาทีนี้เป็นต้นไป ผมคงต้องใช้อย่างอื่นแทน

    เราสามคนเที่ยวอยู่สักพักผมก็เริ่มนึกขึ้นได้ว่ายังเหลือที่สำคัญอีกที่ที่เราต้องไป
    คือจุดสูงสุด

    จุดสูงสุดก็คือจุดชมวิวที่มีป้ายโง่ ๆ เขียนไว้ประมาณว่า
    "สูงสุดแดนสยาม"
    ผมคิดท่าถ่ายรูปกับป้ายนี้ตั้งแต่ยังไม่ออกเดินทางแล้ว
    เป็นภาพผมกำลังถือดอกไม้ทูปเทียนนั่งกราบป้ายนั่นแบบเบญจางคประดิษฐ์อยู่
    มันคงเป็นเรื่องปกติหนะครับ
    ที่พอเรามาเที่ยวบนดอยแล้วกลับไปเล่าให้เพื่อนได้อิจฉากันว่า

    เห้ย กูไปเหยียบจุดสูงสุดมาแล้วนะโว้ย

    แต่ตอนนี้เวลาบ่ายสองโมง
    ถ้าขึ้นไปเที่ยวก็อีกหนึ่งชั่วโมง
    นั่งรถลงเขาก็อีกหนึ่งชั่วโมง
    จากจอมทองเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ก็อีกสองชั่วโมง
    ซึ่งผมเกรงว่ามันจะทำให้เราถึงเชียงใหม่ไม่น้อยกว่าหกโมงเย็น
    และที่สำคัญ กลัวหารถจากจอมทองเข้าเชียงใหม่ไม่ได้

    เราถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญอีกครั้ง
    จะลุ้นขึ้นไปเพื่อให้ได้เหยียบจุดสูงสุด
    หรือจะถอยหลังกลับเพื่อความชัวร์ว่าเราจะไม่ตกรถไฟ
    ผมจึงหันไปถามไอ้มีน

    "เห้ย เอาไงดีวะ"

    "ก็... แล้วแต่มึงเลย"

    อืม... นี่กูกำลังถามความเห็นมึงอยู่นะครับ
    ถ้ากูบอกว่าไม่กลับแม่งแล้วนอนนี่มึงก็จะทำอย่างที่กูบอกใช่มั้ย
    ช่วยกูคิดหน่อยสิครับ

    "ไหน ๆ กล้องมึงก็พังแล้วไม่ใช่หรอ ขึ้นไปต่อก็ไม่ได้ถ่ายรูปอยู่ดี"

    อ่าห์... นี่เป็นคำพูดที่แลดูมีประโยชน์ที่สุดตั้งแต่เริ่มเดินทางเลยนะมีน
    โอเค ไปก็ไม่ได้ถ่ายรูปถ้างั้นกลับดีกว่า

    ผมกับมีนจึงเดินไปลาพี่กอล์ฟที่ตอนนี้กำลังใช้แผนการดักรออยู่หน้าด่านเหมือนเดิม
    เราได้รถกลับเป็นรถเหลืองที่แต่เดิมมีผู้โดยสารมาสามคน
    เป็นเจ๊ผู้หญิงสองคนที่สามารถพูดภาษาเหนือได้
    กับหนุ่มแว่นสุดหล่อเกาหลีอินดี้ไม่เหมือนใครที่มาคนเดียวพร้อมขาตั้งกล้องอันใหญ่เท่าบ้าน

    เราตกลงราคากับน้าคนขับรถไปลงที่จอมทอง
    เป็นเงินทั้งหมดหนึ่งร้อยบาทและน้าแกยังบอกว่าจะยังไม่ลงไปเลยหรอกนะ
    แต่จะแวะเที่ยวที่ตลาดแม้วกับน้ำตกวชิราธารก่อน

    โอเคครับ ด้วยความยินดี

    ตลาดแม้วนั้นเป็นที่ซื้อของฝาก พื้นที่ไม่มาก
    ความยาวประมาณห้าห้องแถว
    ของที่ขายก็จะเป็นของฝากธรรมดากับผลไม้ที่ป้าแกบอกว่าปลูกกันเอง
    โดยเป็นของโครงการหลวง
    พี่แว่นหน้าเกาหลีซื้อบัวหิมะมาให้ผมลองกิน
    หลังจากกินเสร็จผมกับพี่แว่นก็ตกลงกันว่ารสชาติแบบนี้มันมันเแกวชัด ๆ

    รถเหลืองขับพาเราเลี้ยวเข้าข้างทางที่มีป้ายว่าน้ำตกวชิราธาร
    ทางเข้านั้นแคบแบบมาก ๆ ครับ
    ถ้ามาตอนคนเยอะ ๆ นี่คิดว่าต้องจอดไว้ปากทางแล้วเดินเข้าไปน่าจะสะดวกกว่า

    น้ำตกวชิราธารไม่ทำให้ผมผิดหวังครับ
    ยิ่งคนน้อย ๆ อย่างนี้ด้วยแล้ว
    การนั่งจิบกาแฟข้างล่างฟังเสียงน้ำตกไปพลาง ๆ เป็นการกระทำที่ผ่อนคลายอย่างมาก
    และเนื่องจากผลกระทบจากการกล้องเสีย ทำให้เราไม่สามารถถ่ายรูป
    แต่ถ่ายวีดีโอได้

    เอาสิ มา !! กูถ่ายวีดีโอเล่นกันขำ ๆ ก็ได้
    ผมรับหน้าที่เป็นพิธีกรส่วนไอ้มีนก็ทำหน้าที่ช่างกล้อง
    เดินถ่ายตามประสาคนเกรียน ๆ ไม่มีอะไรทำ

    ผมเดินวนถ่ายจนครบทุกซอกมุมของน้ำตกก็มานั่งพัก
    เหลือบไปเห็นพี่แว่นกำลังตั้งขาตั้งกล้องถ่ายตัวเองอยู่อย่างลำบาก
    ครั้นจะยื่นมือไปบอกว่าให้ผมถ่ายให้มั้ยพี่ ก็กลัวจะโดนข้อหาขัดขวางความอินดี้

    เมื่อถ่ายรูปคู่กับน้ำตกกันเรียบร้อย
    น้ารถเหลืองก็พาเราลงเขามาถึงจอมทองกันโดยสวัสดิภาพ
    เวลาตอนนี้บ่ายสามโมงนิด ๆ
    ผมบอกลากับเจ๊สองคนกับพี่เกาหลีเสร็จ
    ก็เดินไปหาอะไรยัดเข้าท้องก่อนจะเป็นลม

    เราเดินทางกลับเมืองเชียงใหม่โดยรถเมล์อมก๋อยเหมือนเดิม
    ผมปิดสวิตช์ทันทีที่ตูดติดเบาะ
    เพราะความเมื่อยล้า จึงทำให้หลับไปโดยไม่รู้ตัว

    เราถึงประตูเมืองเชียงใหม่กันตอนห้าโมงครึ่ง
    จากนั้นก็ต่อรถแดงคนละยี่สิบาทไปที่ ม.เชียงใหม่

    ผมรอไอ้โป๊ตที่จะมารับไอ้มีนไปซื้อของที่มันอยากได้
    มันเป็นเหล้าเหนือที่มีชื่อว่าหมาใจดำ
    โป๊ตบอกว่ามันยังไม่เคยลิ้มลองเหมือนกัน แต่รู้มาถึงสรรพคุณอันร้ายกาจของมันอยู่

    "ขนาดหมาที่ซื่อสัตย์ ๆ แดกเข้าไปแล้วใจดำอ่ะ มึงคิดดูแล้วกัน"

    ไอ้มีนซ้อนมอเตอร์ไซค์ไอ้โป๊ตออกไปแล้ว
    ส่วนผมไม่ได้ไปด้วย
    มีบางอย่างที่ผมต้องทำ
    ยังมีบางคนที่ผมต้องไปเจอ


    14.
    ความ (รุ้สึก) เดิมเมื่อตอนที่แล้ว

    ผมไปนั่งรออยู่ที่ศาลอะไรสักอย่าง
    มีคนวิ่งกันอยู่สี่ห้าคน
    ไม่แน่ใจว่าออกกำลังกายหรือแก้บนกันแน่

    ตอนแรกผมก็คิดจะไปไหว้ขอพรในระหว่างรอ
    แต่เอาเข้าจริง ๆ ผมก็ไม่รู้จะขออะไร
    หรือขอไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
    การแก้ไขอดีตเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่เคยได้
    และจะเป็นแบบนี้ต่อไป จนกว่านักวิทยาศาสตร์จะคิดค้นเครื่องย้อนเวลาสำเร็จ

    ย้อนกลับไปหลายปีก่อน
    สมมติว่าสามปี
    ผมคิดว่าตัวเองได้ทำสิ่งที่แย่ที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต
    ได้ทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สมควรจะทำ
    ส่วนเรื่องอะไร ขอเก็บเป็นความลับ

    ผมไม่รู้ว่าคนคนนั้นจะได้รับผลกระทบจากสิ่งที่ผมทำไปบ้างมากน้อยแค่ไหน
    เสียใจหรือป่าว ผมไม่รู้
    เพราะผมไม่เคยแม้แต่คิดจะถาม ไม่เคยแม้แต่จะบอกหรือพูดคุยกันตรง ๆ
    เป็นเรื่องที่แย่มาก ผมรู้ตัวดี

    กาลเวลาดำเนินผ่านมาจนปัจจุบัน
    เหตุการณ์เรื่องนั้นก็ยังไม่มีตอนจบที่ชัดเจน
    เริ่มอย่างไร จบลงตรงไหน
    ไม่มีใครรู้

    ยิ่งถ้าเธอไม่รู้สึกโกรธอะไรผมบ้างเลย
    มันยิ่งทำให้ผมแทบจะให้อภัยตัวเองไม่ได้
    จะดีกว่านี้ซะอีก ถ้าเธอลุกขึ้นมาชี้หน้าด่าผม
    บอกมาเลยว่าตอนนั้นที่ผมทำไปมันแย่แค่ไหน
    แม้จะดูร้ายแรง แต่ก็ดีกว่าให้ผมคิดอะไรไปอยู่ฝ่ายเดียว

    ผมอ่อนแอเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับความจริง
    แม้สักวันหนึ่งผมน่าจะได้รู้ แต่ขออย่าได้เป็นวันนี้...
    ผมยังไม่พร้อม

    เวลาตอนนี้อยู่ที่หกโมงสิบห้าหน้าที
    ผมมีนัดไปทานข้าวเย็นกับน้องสาวที่จำแทบไม่ได้แล้วว่าเจอกันตัวเป็น ๆ ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
    ผมเป็นพวกระบบความทรงจำต่ำหนะครับ
    แต่ก็เฉพาะบางเรื่อง

    เรารู้จักการผ่านพ่อแม่ที่เคยเป็นเพื่อนกันสมัยเรียนอยู่ที่ ม.เชียงใหม่
    เธอถามผมว่าอยากกินอะไร ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
    ขอแค่ไม่ใช่ของพวกผักและกินอิ่มก่อนเวลาสองทุ่มเป็นพอ

    เธอขับรถพาผมมาที่โรบินสันเชียงใหม่
    ระหว่างทางผมคิดอยู่ตลอดว่าอาจได้ฝากชีวิตไว้ ณ เสาไฟฟ้า ไม่เสาใดก็เสาหนึ่ง

    คนเชียงใหม่เค้าคงขับรถกันอย่างนี้เป็นปกติแหละมั้ง
    ผมคิดในใจ
    ที่จริงกลับมาคิดอีกทีก็รู้สึกแปลก ๆ ที่อุตส่าห์แบกร่างกายไปถึงเชียงใหม่
    แต่ดันต้องมากินอาหารบนห้าง
    ฟังดูแล้วมันขัด ๆ กันชอบกล
    แต่ด้วยอารมณ์ตอนนั้นมันกลายเป็นว่ากินอะไรก็ได้ให้หายหิวเป็นพอ

    เรากินร้านอาหารแบบจิ้มจุ่ม
    เป็นครั้งแรกที่ผมได้กินอาหารที่มันมีสายพานอาหารวิ่งอยู่ข้าง ๆ ให้เวียนหัวเล่น
    โดยส่วนตัวไม่ค่อยชอบการกินบนร้านอาหารที่มันดูหรูอย่างนี้สักเท่าไหร่
    กินแล้วมันเกร็ง ๆ
    สู้อารมณ์เวลาเราไปกินส้มตำไก่ย่างหน้าปากซอยหอก็ไม่ได้
    จะไร้มารยาทแค่ไหนเราก็ไม่อายคนรอบโต๊ะ

    เรากินเสร็จตอนประมาณสองทุ่ม
    ผมโทรบอกไอ้โป๊ตว่าเดี๋ยวยังไงเอาไอ้มีนมาส่งที่สถานีรถไฟให้ทันสามทุ่มนะ
    เดี๋ยวตกรถไฟแล้วจะขำกันไม่ออก

    น้องสาวของผมไม่รู้ทางที่จะไปส่งผมที่สถานีรถไฟ
    เราจึงต้องขับไปเจอกับแม่เธอที่รออยู่ที่สนามบิน

    ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
    อยู่ดีดีผมก็นึกถึงสุภาษิตนี้ตอนนั่งรถที่มีแม่ของน้องสาวเป็นคนขับ
    ผมว่าความเป็นความตายเท่ากันครับในเวลานี้
    นอกจากจะขับรถแบบที่ต้องคอยลุ้นเหมือนเกมโชว์อยู่ตลอดเวลา
    แม่เธอยังออกอาการลืมเส้นทางอยู่เป็นพัก ๆ

    คนเชียงใหม่เค้าคงขับรถกันอย่างนี้เป็นปกติแหละมั้ง
    ผมปลอบตัวเองด้วยประโยคเดิม

    ยี่สิบนาทีถัดมา
    ผมก็ถึงสถานีรถไฟโดยทันเวลาและปลอดภัย
    ผมโทรไปถามมีนว่าจะถึงหรือยัง
    มีนบอกว่ากำลังออกมาแล้ว

    ผมขอตัวจากสองแม่ลูกไปล้างตัวเพื่อให้พร้อมต่อการนอนระยะยาว
    ขากลับนี้ผมจองตั๋วเป็นตู้แอร์นอนชั้นสอง
    ออกจากเชียงใหม่สามทุ่มถึงหัวลำโพงก็เก้าโมงเช้า
    รวมระยะเวลาการเดินทางสิบสองชั่วโมง
    เร็วกว่ารถไฟฟรี 109 ขามาห้าชั่วโมง
    แต่ก็ต้องแลกด้วยเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นเป็น 611 บาทต่อหนึ่งที่นั่ง

    ตอนนี้ไอ้มีนกับไอ้โป๊ตและรถไฟขบวน 10 มาพร้อมกันแล้ว
    ถึงเวลาแล้วที่เราต้องล่ำลา ผมไม่ค่อยชอบสถานการณ์แบบนี้
    แม้จะรู้ว่าเลี่ยงไม่ได้ก็ตาม

    ผมกับมีนบอกลากับทุกคน
    การเดินทางของเราสิ้นสุดลงแค่นี้แล้ว
    แค่ขึ้นรถไฟไปแล้วหลับ
    ตื่นมาอีกทีพวกเราก็จะอยู่ที่ ๆ เดิม
    มาใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ
    กลับสู้โลกที่ไม่ใช่การเที่ยวเล่นอีกครั้ง

    ผมขึ้นไปนอนเอนหลังพร้อมกับแอร์เย็นสบาย
    ผมเสียบสายหูฟังเข้ากับ BB เพื่อกดเพลงฟัง
    เพลงดำเนินไปข้างหน้าเช่นเดียวกับรถไฟ

    รถไฟมุ่งเลยออกไปจากสถานีเชียงใหม่แล้ว
    มองออกไปที่นอกหน้าต่างก็ไม่พบอะไรนอกจากความมืด

    ข้อความจาก BB เด้งขึ้นมาบอกว่า
    ตอนนี้พี่ก้อง ทรงกลด บก.ตาตี่ของ aday ได้แอดผมเข้าสู่กรุ๊ปไดโนทริปเรียบร้อยแล้ว
    การเดินทางครั้งต่อไปของผมกำลังจะเริ่มขึ้น
    ผมไม่มีเวลามากนักที่จะกังวลเรื่องที่คิดอยู่ในหัวตอนนี้

    เพลง 'ไกล' ของ Musketeer เดินทางมาถึงท่อนฮุค
    ผมสะดุดกับเนื้อร้องท่อนหนึ่ง

    "ตราบที่ท้องทะเลยังไกลจากภูเขา แม้ว่าเราจะไกลสักเพียงไหน"

    แต่หลังจากท่อนนี้ผมรู้ดีว่ามันไม่ได้เป็นแบบในเนื้อเพลง
    ผมไม่เหมือนเดิม
    และไม่มีสิ่งใดที่จะเหมือนเดิม

    เรื่องราวบางอย่างควรถูกประทับตราไว้ว่าเป็นความลับ
    และอย่างแน่นอนที่สุด

    บางความรู้สึกก็เช่นเดียวกัน


    18 พ.ค. 2554
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in