11.
สิ่งที่ไม่คิดว่าจะพลาด วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ร่างกายของเราจะอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่
แผนการวันนี้มีไม่เยอะ แค่เที่ยวบนดอยเท่าที่จะทำได้
และต้องกลับไปขึ้นรถไฟรอบสามทุ่มที่จองไว้ให้ทัน
ผมรู้สึกตัวในเวลาหกโมงเช้า
ในขณะที่อากาศเย็นแบบไม่สบาย
เหมือนมีคนมาปรับอุณภูมิของแอร์ให้เหลืออยู่ที่ 15 องศา
ไอ้มีนผู้เมื่อคืนหลับสบายตื่นมานั่งบนเตียงรอผมอยู่แล้ว
ด้วยความง่วง ผมจึงบ่ายเบี่ยงให้มันเป็นผู้ไปอาบน้ำก่อน
เวลาล่าช้าไปเรื่อย ๆ เพราะความขี้เซาของผม
เอาเข้าจริง ๆ เวลาก็เกือบจะแปดโมงแล้วเราถึงได้ออกไปทานอาหารเช้ากัน
เช้านี้เราไปฝากท้องกับศูนย์อาหารที่เป็นของอุทยานครับ
ตอนเดินผ่านหน้าที่ทำการเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวทยอยกันมาบ้างแล้ว
คงเพราะวันนี้เป็นวันหยุด ซึ่งจะต่อเนื่องกับวันเสาร์ อาทิตย์ และยาวไปถึงวันอังคารเนื่องจากหยุดชดเชย
อาหารเช้านี้เป็นโจ๊กกับโอวัลตินร้อน
ผมถามถึงเบอร์พี่เคคนรับรถจากมีนเพื่อที่จะติดต่อเรื่องให้พี่เค้าขึ้นมารับ
มีนบอกว่าไม่ได้อยู่ที่ตัว เดี๋ยวกลับห้องเมื่อไหร่จะไปหาดูอีกที
เรานั่งเพลินกับอากาศเย็น ๆ และไออุ่นของโจ๊กได้สักพัก
ความร้อนจากดวงอาทิตย์ก็เริ่มไล่ความหนาวตอนเช้า ๆ ออกไป
เมื่อท้องเราอิ่มจึงรีบเดินเท้ากลับเข้าที่พัก
เพื่อเก็บของอาบน้ำและเตรียมตัวไปเที่ยวกันต่อ
พอถึงบ้านพักเราพบปัญหาอีกข้อคือ
เบอร์พี่เคหาย
หายไปไหนก็ไม่รู้และไม่มีใครรู้ว่าทำไมถึงหาย
ปัญหามักมาในเวลาที่เรารีบ
ตอนนี้นาฬิกาชี้ไปที่เลขสิบแล้ว
ถ้าเราไม่ได้รถอาจจะไม่สามารถเที่ยวบนดอยนี้แล้วทันกลับเมืองก็ได้
ผมบอกมีนว่าอย่าเพิ่งหมดหวังไป
เดี๋ยวยังไงตอนเราเอากุญแจไปคืนเจ้าหน้าที่
เรารอหารถแดงรถเหลืองแถวนั้นเอาก็ได้
ผมไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะมีมั้ย
แต่สิ่งสุดท้ายที่เราควรเหลืออยู่เมื่อหมดแล้วซึ่งทุกสิ่ง
คือศรัทธา
12.
กรรมตามทัน ความเชื่อในเรื่องเวรกรรมของผมอาจฟังดูแล้วไม่ค่อยจะตรงกับที่คุณครูสอนเท่าไหร่
ผมไม่เคยเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด
ไม่เคยเชื่อว่าทำบุญแล้วชาติหน้าจะเกิดมามีโชคดี
และอีกหลาย ๆ อย่างที่ผมไม่เชื่อ
แต่ปัจจุบันยังกลัวผีขึ้นสมอง
เรื่องกรรมในความคิดของผมมันคือการกระทำ
การกระทำหนึ่งอย่างจะให้ผลพัทธ์เป็นเหตุการณ์หนึ่งอย่าง
และเหตุการณ์หนึ่งอย่างที่ว่านั้น ก็จะแตกแขนงออกไปเป็นอีกเป็นหลายร้อยพันทาง
ให้เราได้เลือกกระทำต่อไป
กล่าวโดยสรุป
เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตของเรา
ผมเชื่อว่ามันเกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล
เชื่อว่ามันเกิดขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนเส้นทางชีวิตเรา
การที่อยู่ดีดีรถเกิดเสียทำให้ไปทำงานสาย
อาจทำให้ใครคนหนึ่งถึงขั้นต้องเปลี่ยนงาน
ย้ายที่อยู่อาศัย ย้ายวิถีชีวิต
การที่เราตื่นสาย
ทำให้เราไปขึ้นรถตู้ไม่ทัน
นั่นอาจหมายถึงความโชคดีที่เราไม่เป็นหนึ่งในผู้ประสบอุบัติเหตุ
การจากไปของคนสำคัญ
อาจทำให้คน ๆ นั้น
เปลี่ยนแปลงไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ
และแน่นอน
การที่เราทำเบอร์พี่เคหาย
ทำให้เราได้พบกับคนบางคน
เค้าคนนั้นชื่อพี่กอล์ฟครับ
พี่กอล์ฟเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้
อยู่ดีดีก็เดินเข้ามาหาผมกับมีน
ที่ตอนนั้นกำลังนั่งรอความหวังว่าจะมีรถสักคันผ่านมา
แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่พบแม้สักเงา
"จะขึ้นดอยรึป่าวครับ"
คำถามนี้ทำให้ผมใจชื้น ว่าอย่างน้อยเรามีรถขึ้นดอยแล้ว
ผมกับมีนพยักหน้าแบบไม่ต้องคิด
"ป่ะ ไปโบกรถกัน"
ฮะ ! พี่
อ้าวพี่ไม่มีรถหรอกหรอครับ
ที่แท้พี่ก็มาหาคนร่วมอุดมการณ์โบรรถเที่ยวสินะ
โอเคครับพี่ ยังไงผมก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
อีกทั้งในชีวิตนี้ก็ยังไม่เคยจะโบกขอขึ้นรถชาวบ้านสักครั้ง
"แต่มันจะมีคนให้เราติดรถไปด้วยหรอพี่"
ผมถามด้วยความสงสัย
"เออ หน้าด้านหน่อย เดี๋ยวก็ได้ไปเอง"
ขอบคุณมากครับสำหรับคำแนะนำครับ
ขณะยืนข้างถนนรอโบกรถก็ได้ไถ่ถามที่มาที่ไปของพี่กอล์ฟ
ได้ความว่าพี่แกเรียนอยู่ที่กรุงเทพ
มาเดินทางได้ 3 วันแล้ว
โดยไปเริ่มต้นที่แม่ฮ่องสอน แล้วก็ลงมาเรื่อย ๆ
รถประจำทางบ้าง โบกรถชาวบ้านมาบ้าง
โดยมีกระเป๋าหนึ่งใบกับเต้นท์หนึ่งหลัง
ผมคิดในใจว่าพี่นี่แม่งโคตรเท่ห์เลยหวะ
มาคนเดียวแถมไม่ได้พกอะไรมามากมายอีก
เห็นพี่แกบอกมีตังค์เริ่มต้นที่สี่พันบาท
ผมรู้แล้วละอาย สี่พันพี่นี่สามารถเที่ยวจนจะครบทั้งภาคเหนือแล้ว
ส่วนผมกับมันนี่สามพันกว่าแค่เชียงใหม่ยังไม่รู้จะครับรึป่าวเลย
เหยื่อคนแรกของเราเป็นคุณลุงใจดี
แต่แกไม่ได้ขึ้นไปถึงยอดเขา
แกบอกไปถึงแค่หน่วยจัดการน้ำ แถว ๆ ร้านอาหารลุงแดง
ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่พี่กอล์ฟแกบอกว่าไป
เราก็เลยต้องไป
พี่กอล์ฟบอกว่าตอนแกขึ้นมาบนดอยนี้แกก็อาศัยรถลุงแดงขึ้นมาเนี่ยแหละ
ซึ่งมีนกับผมเสียค่าโคตรโง่ไปคนละสามร้อย
ร้านลุงแดงเป็นร้านอาหารตามสั่ง
อารมณ์คล้าย ๆ กับพวกอัมพวา, เพลินวาน
แต่องค์ประกอบจะให้กลิ่นอายความเป็นดอยมากกว่า
ลุงแดงแกใจดีครับ
แกบอกว่าพวกเรามาเที่ยวกันหน้านี้แหละดีแล้ว
"ลองมาตอนสิ้นปีนะ
ที่นี้มันไม่ต่างจากห้างดีดีเลย
คนแย่งกันกินแย่งกันเที่ยว
จนลุงก็ไม่รู้ว่าพวกเค้าสนุกกันอยู่ได้ยังไง"
ฟังแล้วก็รู้สึกดีครับ
ที่ไม่ต้องมาเบียดแย่งกันเที่ยวอย่างที่คุณลุงแกบอก
ตอนนี้ฝนเริ่มลงเม็ดอีกแล้ว
เราสามคนจึงต้องทานอาหารกลางวันที่ร้านลุงแดงรอไปพลาง ๆ ก่อน
หวังว่าพอฝนเริ่มซาเมื่อไหร่
ก็จะรีบหาเหยื่อผู้ใจบุญคนต่อไป
13.
ไม่ถึงจุดสุดยอด ตอนนี้เราอยู่ท้ายรถกระบะของบุคคลใจดีอีกท่านหนึ่ง
พี่แกสองคนน่าสงสารมาก เพราะโดนเราดักโบกกันตรงด่านก่อนจะขึ้นไปที่พระธาตคู่
ระหว่างทางฝนก็ยังตกอยู่ แถมคำว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวก็เหมือนจะเป็นคำกล่าวที่จริง
ผม, ผู้นั่งอยู่ท้ายสุดของกระบะตอนที่เป็นเหมือนจุดโฟกัสของน้ำฝนทั้งหลาย
นั่งรถแล้วโดนฝนสาดเข้ามาก็ถือว่าแย่แล้ว
แต่ลองคิดภาพคนที่โดนน้ำฝนที่อุณหภูมิเกินสิบองศามานิดหน่อยสิครับ
มันเหมือนมีคนกำลังเอาวัตถุอะไรแหลม ๆ มาปาใส่เราเป็นพัน ๆ
น้ำฝนที่เย็นมันเหมือนกับโดนเข็มเล็ก ๆ ทิ่มอยู่ตลอดเวลา
ระหว่างทางขึ้นดอยมานี่วิวสวยมาก
แม้จะมีละอองฝนค้างอยู่
แค่โดยรวมแล้วมันให้บรรยากาศคล้าย ๆ กับเรามาที่นี่ตอนหน้าหนาวเลยทีเดียว
เราขอบคุณสองพี่สามี-ภรรยาใจดีเสร็จก็หาที่หลบฝนแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า
ที่ ๆ เราอยู่คือพระธาตุคู่ซึ่งมีความหมายถึงในหลวงและราชินี
ทางขึ้นพระธาตุที่นี้ไฮโซมาก
เพราะมันมีบันไดเลื่อนคอยบริการนักท่องเที่ยวจอมขี้เกียจอย่างพวกผม
พวกเราเดินชมกันอย่างเพิลนมาก
เพราะทัศนียภาพที่มองจากมุมสูงนี้มันสบายตาดีเหลือเกิน
ดอกไม้ที่นี่ก็ไม่ได้ไก่กาสามัญเหมือนที่เราไปเจอที่พระตำหนักภูพิงค์ครับ
แม้ว่าจะเป็นหน้าร้อน แต่มันก็ไม่ได้อู้งาน
ขอฮาร์ดเซลเลยละกันนะครับว่าใครมาดอยอินทนนท์ต้องมาถึงตรงนี้ให้ได้
เพราะมันสวยมาก ยิ่งอารมณ์หลังฝนตกท้องฟ้าโปร่ง ๆ นี่น่าเก็บภาพมากครับ
ว่าแล้วผมก็จะหยิบขาตั้งกล้องตัวจิ๋วมาถ่ายรูปท้องฟ้าวันนี้เป็นที่ระลึกซะหน่อย
หนึ่ง สอง ซั่ม แชะ
เชี่ย ! ทำไมภาพมันขาวไปหมด แถมขึ้นเป็นเส้น ๆ อย่างนี้วะ
พอวิเคราะห์ดูแล้วน่าจะเกิดจากการตากฝนไม่ก็ตกจากที่สูง
ทำให้ตัว CCD รับภาพเสีย
หลับให้สบายนะ หน้าที่ของนายจบลงเพียงแค่นี้แล้วล่ะ เจ้ากล้องถ่ายรูป
เป็นอันสิ้นสุดการเก็บความทรงจำในรูปแบบภาพ
จากวินาทีนี้เป็นต้นไป ผมคงต้องใช้อย่างอื่นแทน
เราสามคนเที่ยวอยู่สักพักผมก็เริ่มนึกขึ้นได้ว่ายังเหลือที่สำคัญอีกที่ที่เราต้องไป
คือจุดสูงสุด
จุดสูงสุดก็คือจุดชมวิวที่มีป้ายโง่ ๆ เขียนไว้ประมาณว่า
"สูงสุดแดนสยาม"
ผมคิดท่าถ่ายรูปกับป้ายนี้ตั้งแต่ยังไม่ออกเดินทางแล้ว
เป็นภาพผมกำลังถือดอกไม้ทูปเทียนนั่งกราบป้ายนั่นแบบเบญจางคประดิษฐ์อยู่
มันคงเป็นเรื่องปกติหนะครับ
ที่พอเรามาเที่ยวบนดอยแล้วกลับไปเล่าให้เพื่อนได้อิจฉากันว่า
เห้ย กูไปเหยียบจุดสูงสุดมาแล้วนะโว้ย
แต่ตอนนี้เวลาบ่ายสองโมง
ถ้าขึ้นไปเที่ยวก็อีกหนึ่งชั่วโมง
นั่งรถลงเขาก็อีกหนึ่งชั่วโมง
จากจอมทองเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ก็อีกสองชั่วโมง
ซึ่งผมเกรงว่ามันจะทำให้เราถึงเชียงใหม่ไม่น้อยกว่าหกโมงเย็น
และที่สำคัญ กลัวหารถจากจอมทองเข้าเชียงใหม่ไม่ได้
เราถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญอีกครั้ง
จะลุ้นขึ้นไปเพื่อให้ได้เหยียบจุดสูงสุด
หรือจะถอยหลังกลับเพื่อความชัวร์ว่าเราจะไม่ตกรถไฟ
ผมจึงหันไปถามไอ้มีน
"เห้ย เอาไงดีวะ"
"ก็... แล้วแต่มึงเลย"
อืม... นี่กูกำลังถามความเห็นมึงอยู่นะครับ
ถ้ากูบอกว่าไม่กลับแม่งแล้วนอนนี่มึงก็จะทำอย่างที่กูบอกใช่มั้ย
ช่วยกูคิดหน่อยสิครับ
"ไหน ๆ กล้องมึงก็พังแล้วไม่ใช่หรอ ขึ้นไปต่อก็ไม่ได้ถ่ายรูปอยู่ดี"
อ่าห์... นี่เป็นคำพูดที่แลดูมีประโยชน์ที่สุดตั้งแต่เริ่มเดินทางเลยนะมีน
โอเค ไปก็ไม่ได้ถ่ายรูปถ้างั้นกลับดีกว่า
ผมกับมีนจึงเดินไปลาพี่กอล์ฟที่ตอนนี้กำลังใช้แผนการดักรออยู่หน้าด่านเหมือนเดิม
เราได้รถกลับเป็นรถเหลืองที่แต่เดิมมีผู้โดยสารมาสามคน
เป็นเจ๊ผู้หญิงสองคนที่สามารถพูดภาษาเหนือได้
กับหนุ่มแว่นสุดหล่อเกาหลีอินดี้ไม่เหมือนใครที่มาคนเดียวพร้อมขาตั้งกล้องอันใหญ่เท่าบ้าน
เราตกลงราคากับน้าคนขับรถไปลงที่จอมทอง
เป็นเงินทั้งหมดหนึ่งร้อยบาทและน้าแกยังบอกว่าจะยังไม่ลงไปเลยหรอกนะ
แต่จะแวะเที่ยวที่ตลาดแม้วกับน้ำตกวชิราธารก่อน
โอเคครับ ด้วยความยินดี
ตลาดแม้วนั้นเป็นที่ซื้อของฝาก พื้นที่ไม่มาก
ความยาวประมาณห้าห้องแถว
ของที่ขายก็จะเป็นของฝากธรรมดากับผลไม้ที่ป้าแกบอกว่าปลูกกันเอง
โดยเป็นของโครงการหลวง
พี่แว่นหน้าเกาหลีซื้อบัวหิมะมาให้ผมลองกิน
หลังจากกินเสร็จผมกับพี่แว่นก็ตกลงกันว่ารสชาติแบบนี้มันมันเแกวชัด ๆ
รถเหลืองขับพาเราเลี้ยวเข้าข้างทางที่มีป้ายว่าน้ำตกวชิราธาร
ทางเข้านั้นแคบแบบมาก ๆ ครับ
ถ้ามาตอนคนเยอะ ๆ นี่คิดว่าต้องจอดไว้ปากทางแล้วเดินเข้าไปน่าจะสะดวกกว่า
น้ำตกวชิราธารไม่ทำให้ผมผิดหวังครับ
ยิ่งคนน้อย ๆ อย่างนี้ด้วยแล้ว
การนั่งจิบกาแฟข้างล่างฟังเสียงน้ำตกไปพลาง ๆ เป็นการกระทำที่ผ่อนคลายอย่างมาก
และเนื่องจากผลกระทบจากการกล้องเสีย ทำให้เราไม่สามารถถ่ายรูป
แต่ถ่ายวีดีโอได้
เอาสิ มา !! กูถ่ายวีดีโอเล่นกันขำ ๆ ก็ได้
ผมรับหน้าที่เป็นพิธีกรส่วนไอ้มีนก็ทำหน้าที่ช่างกล้อง
เดินถ่ายตามประสาคนเกรียน ๆ ไม่มีอะไรทำ
ผมเดินวนถ่ายจนครบทุกซอกมุมของน้ำตกก็มานั่งพัก
เหลือบไปเห็นพี่แว่นกำลังตั้งขาตั้งกล้องถ่ายตัวเองอยู่อย่างลำบาก
ครั้นจะยื่นมือไปบอกว่าให้ผมถ่ายให้มั้ยพี่ ก็กลัวจะโดนข้อหาขัดขวางความอินดี้
เมื่อถ่ายรูปคู่กับน้ำตกกันเรียบร้อย
น้ารถเหลืองก็พาเราลงเขามาถึงจอมทองกันโดยสวัสดิภาพ
เวลาตอนนี้บ่ายสามโมงนิด ๆ
ผมบอกลากับเจ๊สองคนกับพี่เกาหลีเสร็จ
ก็เดินไปหาอะไรยัดเข้าท้องก่อนจะเป็นลม
เราเดินทางกลับเมืองเชียงใหม่โดยรถเมล์อมก๋อยเหมือนเดิม
ผมปิดสวิตช์ทันทีที่ตูดติดเบาะ
เพราะความเมื่อยล้า จึงทำให้หลับไปโดยไม่รู้ตัว
เราถึงประตูเมืองเชียงใหม่กันตอนห้าโมงครึ่ง
จากนั้นก็ต่อรถแดงคนละยี่สิบาทไปที่ ม.เชียงใหม่
ผมรอไอ้โป๊ตที่จะมารับไอ้มีนไปซื้อของที่มันอยากได้
มันเป็นเหล้าเหนือที่มีชื่อว่าหมาใจดำ
โป๊ตบอกว่ามันยังไม่เคยลิ้มลองเหมือนกัน แต่รู้มาถึงสรรพคุณอันร้ายกาจของมันอยู่
"ขนาดหมาที่ซื่อสัตย์ ๆ แดกเข้าไปแล้วใจดำอ่ะ มึงคิดดูแล้วกัน"
ไอ้มีนซ้อนมอเตอร์ไซค์ไอ้โป๊ตออกไปแล้ว
ส่วนผมไม่ได้ไปด้วย
มีบางอย่างที่ผมต้องทำ
ยังมีบางคนที่ผมต้องไปเจอ
14.
ความ (รุ้สึก) เดิมเมื่อตอนที่แล้ว ผมไปนั่งรออยู่ที่ศาลอะไรสักอย่าง
มีคนวิ่งกันอยู่สี่ห้าคน
ไม่แน่ใจว่าออกกำลังกายหรือแก้บนกันแน่
ตอนแรกผมก็คิดจะไปไหว้ขอพรในระหว่างรอ
แต่เอาเข้าจริง ๆ ผมก็ไม่รู้จะขออะไร
หรือขอไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
การแก้ไขอดีตเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่เคยได้
และจะเป็นแบบนี้ต่อไป จนกว่านักวิทยาศาสตร์จะคิดค้นเครื่องย้อนเวลาสำเร็จ
ย้อนกลับไปหลายปีก่อน
สมมติว่าสามปี
ผมคิดว่าตัวเองได้ทำสิ่งที่แย่ที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต
ได้ทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สมควรจะทำ
ส่วนเรื่องอะไร ขอเก็บเป็นความลับ
ผมไม่รู้ว่าคนคนนั้นจะได้รับผลกระทบจากสิ่งที่ผมทำไปบ้างมากน้อยแค่ไหน
เสียใจหรือป่าว ผมไม่รู้
เพราะผมไม่เคยแม้แต่คิดจะถาม ไม่เคยแม้แต่จะบอกหรือพูดคุยกันตรง ๆ
เป็นเรื่องที่แย่มาก ผมรู้ตัวดี
กาลเวลาดำเนินผ่านมาจนปัจจุบัน
เหตุการณ์เรื่องนั้นก็ยังไม่มีตอนจบที่ชัดเจน
เริ่มอย่างไร จบลงตรงไหน
ไม่มีใครรู้
ยิ่งถ้าเธอไม่รู้สึกโกรธอะไรผมบ้างเลย
มันยิ่งทำให้ผมแทบจะให้อภัยตัวเองไม่ได้
จะดีกว่านี้ซะอีก ถ้าเธอลุกขึ้นมาชี้หน้าด่าผม
บอกมาเลยว่าตอนนั้นที่ผมทำไปมันแย่แค่ไหน
แม้จะดูร้ายแรง แต่ก็ดีกว่าให้ผมคิดอะไรไปอยู่ฝ่ายเดียว
ผมอ่อนแอเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับความจริง
แม้สักวันหนึ่งผมน่าจะได้รู้ แต่ขออย่าได้เป็นวันนี้...
ผมยังไม่พร้อม
เวลาตอนนี้อยู่ที่หกโมงสิบห้าหน้าที
ผมมีนัดไปทานข้าวเย็นกับน้องสาวที่จำแทบไม่ได้แล้วว่าเจอกันตัวเป็น ๆ ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
ผมเป็นพวกระบบความทรงจำต่ำหนะครับ
แต่ก็เฉพาะบางเรื่อง
เรารู้จักการผ่านพ่อแม่ที่เคยเป็นเพื่อนกันสมัยเรียนอยู่ที่ ม.เชียงใหม่
เธอถามผมว่าอยากกินอะไร ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
ขอแค่ไม่ใช่ของพวกผักและกินอิ่มก่อนเวลาสองทุ่มเป็นพอ
เธอขับรถพาผมมาที่โรบินสันเชียงใหม่
ระหว่างทางผมคิดอยู่ตลอดว่าอาจได้ฝากชีวิตไว้ ณ เสาไฟฟ้า ไม่เสาใดก็เสาหนึ่ง
คนเชียงใหม่เค้าคงขับรถกันอย่างนี้เป็นปกติแหละมั้ง
ผมคิดในใจ
ที่จริงกลับมาคิดอีกทีก็รู้สึกแปลก ๆ ที่อุตส่าห์แบกร่างกายไปถึงเชียงใหม่
แต่ดันต้องมากินอาหารบนห้าง
ฟังดูแล้วมันขัด ๆ กันชอบกล
แต่ด้วยอารมณ์ตอนนั้นมันกลายเป็นว่ากินอะไรก็ได้ให้หายหิวเป็นพอ
เรากินร้านอาหารแบบจิ้มจุ่ม
เป็นครั้งแรกที่ผมได้กินอาหารที่มันมีสายพานอาหารวิ่งอยู่ข้าง ๆ ให้เวียนหัวเล่น
โดยส่วนตัวไม่ค่อยชอบการกินบนร้านอาหารที่มันดูหรูอย่างนี้สักเท่าไหร่
กินแล้วมันเกร็ง ๆ
สู้อารมณ์เวลาเราไปกินส้มตำไก่ย่างหน้าปากซอยหอก็ไม่ได้
จะไร้มารยาทแค่ไหนเราก็ไม่อายคนรอบโต๊ะ
เรากินเสร็จตอนประมาณสองทุ่ม
ผมโทรบอกไอ้โป๊ตว่าเดี๋ยวยังไงเอาไอ้มีนมาส่งที่สถานีรถไฟให้ทันสามทุ่มนะ
เดี๋ยวตกรถไฟแล้วจะขำกันไม่ออก
น้องสาวของผมไม่รู้ทางที่จะไปส่งผมที่สถานีรถไฟ
เราจึงต้องขับไปเจอกับแม่เธอที่รออยู่ที่สนามบิน
ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
อยู่ดีดีผมก็นึกถึงสุภาษิตนี้ตอนนั่งรถที่มีแม่ของน้องสาวเป็นคนขับ
ผมว่าความเป็นความตายเท่ากันครับในเวลานี้
นอกจากจะขับรถแบบที่ต้องคอยลุ้นเหมือนเกมโชว์อยู่ตลอดเวลา
แม่เธอยังออกอาการลืมเส้นทางอยู่เป็นพัก ๆ
คนเชียงใหม่เค้าคงขับรถกันอย่างนี้เป็นปกติแหละมั้ง
ผมปลอบตัวเองด้วยประโยคเดิม
ยี่สิบนาทีถัดมา
ผมก็ถึงสถานีรถไฟโดยทันเวลาและปลอดภัย
ผมโทรไปถามมีนว่าจะถึงหรือยัง
มีนบอกว่ากำลังออกมาแล้ว
ผมขอตัวจากสองแม่ลูกไปล้างตัวเพื่อให้พร้อมต่อการนอนระยะยาว
ขากลับนี้ผมจองตั๋วเป็นตู้แอร์นอนชั้นสอง
ออกจากเชียงใหม่สามทุ่มถึงหัวลำโพงก็เก้าโมงเช้า
รวมระยะเวลาการเดินทางสิบสองชั่วโมง
เร็วกว่ารถไฟฟรี 109 ขามาห้าชั่วโมง
แต่ก็ต้องแลกด้วยเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นเป็น 611 บาทต่อหนึ่งที่นั่ง
ตอนนี้ไอ้มีนกับไอ้โป๊ตและรถไฟขบวน 10 มาพร้อมกันแล้ว
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องล่ำลา ผมไม่ค่อยชอบสถานการณ์แบบนี้
แม้จะรู้ว่าเลี่ยงไม่ได้ก็ตาม
ผมกับมีนบอกลากับทุกคน
การเดินทางของเราสิ้นสุดลงแค่นี้แล้ว
แค่ขึ้นรถไฟไปแล้วหลับ
ตื่นมาอีกทีพวกเราก็จะอยู่ที่ ๆ เดิม
มาใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ
กลับสู้โลกที่ไม่ใช่การเที่ยวเล่นอีกครั้ง
ผมขึ้นไปนอนเอนหลังพร้อมกับแอร์เย็นสบาย
ผมเสียบสายหูฟังเข้ากับ BB เพื่อกดเพลงฟัง
เพลงดำเนินไปข้างหน้าเช่นเดียวกับรถไฟ
รถไฟมุ่งเลยออกไปจากสถานีเชียงใหม่แล้ว
มองออกไปที่นอกหน้าต่างก็ไม่พบอะไรนอกจากความมืด
ข้อความจาก BB เด้งขึ้นมาบอกว่า
ตอนนี้พี่ก้อง ทรงกลด บก.ตาตี่ของ aday ได้แอดผมเข้าสู่กรุ๊ปไดโนทริปเรียบร้อยแล้ว
การเดินทางครั้งต่อไปของผมกำลังจะเริ่มขึ้น
ผมไม่มีเวลามากนักที่จะกังวลเรื่องที่คิดอยู่ในหัวตอนนี้
เพลง 'ไกล' ของ Musketeer เดินทางมาถึงท่อนฮุค
ผมสะดุดกับเนื้อร้องท่อนหนึ่ง
"ตราบที่ท้องทะเลยังไกลจากภูเขา แม้ว่าเราจะไกลสักเพียงไหน"
แต่หลังจากท่อนนี้ผมรู้ดีว่ามันไม่ได้เป็นแบบในเนื้อเพลง
ผมไม่เหมือนเดิม
และไม่มีสิ่งใดที่จะเหมือนเดิม
เรื่องราวบางอย่างควรถูกประทับตราไว้ว่าเป็นความลับ
และอย่างแน่นอนที่สุด
บางความรู้สึกก็เช่นเดียวกัน
18 พ.ค. 2554
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in