เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The truth shall make you freeGood News Mission
"จงกินขนมปังไร้เชื้อ"
  • หลังจากหลุดพ้นการเป็นทาสของอียิปต์ ชาวอิสราเอลจึงได้เริ่มต้นชีวิตใหม่

         หลังจากชาวอิสราเอลได้รอดพ้นจากเงื้อมมือของกษัตริย์ฟาโรห์ประเทศอียิปต์ โดยการทาเลือดที่วงกบประตูในวันปัสกาตามที่พระเจ้าบอกไว้กับโมเสสให้จูงนำชาวอิสราเอล ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงได้พ้นภัยพิบัติต่างๆ และข้ามผ่านทะเลแดงมาได้โดยไม้เท้าที่พระเจ้าทรงให้ไว้ในมือของโมเสส และสิ้นสุดการเป็นทาส

    "เจ้าทั้งหลายจงกินขนมปังไร้เชื้อให้ครบเจ็ดวัน วันแรกจงชำระบ้านเจ้าให้ปราศจากเชื้อถ้าผู้ใดขืนกินขนมปังที่มีเชื้อตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่เจ็ด จะต้องอเปหิผู้นั้นเสียจากอิสราเอล" อพยพ 12:15 


     “ให้เดือนนี้เป็นเดือนเริ่มต้นสำหรับเจ้าทั้งหลาย ให้เป็นเดือนแรกในปีใหม่สำหรับพวกเจ้า" อพยพ 12:2

    ถ้าภัยพิบัติมา ในคืนวันปัสกาและทำตามที่โมเสสจูงนำในเรื่องของการกิน ถือว่าเป็นวันเริ่มต้นใหม่ของคนอิสราเอล

    วันนั้นไม่ว่าใครจะอายุเท่าไรก็ตาม ต้องเริ่มต้นตัวเอง เป็นวันที่หนึ่งเดือนที่หนึ่งปีแรก เป็นวันเกิดใหม่ ชีวิตก็กลายเป็นเด็กเล็กๆ ที่เติบโตโดยจำเป็นต้องกินนมแม่ (หมายถึงการชำระบาปบังเกิดใหม่)


    "ในคืนวันนั้นให้เขากินเนื้อปิ้ง กับขนมปังไร้เชื้อ และผักรสขม เนื้อที่ยังดิบหรือเนื้อต้มอย่ากินเลย แต่จงปิ้งทั้งหัวและขา และเครื่องในด้วย" อพยพ 12:8-9

    เนื้อส่วนที่คนไม่ชอบกินเลยคือส่วนหัว ขา เครื่องใน คนเรามักจะชอบแต่กินเนื้อดีดี นุ่มๆ ไม่ชอบกินผักขมๆ หลายคนก่อนที่จะเจอโบสถ์ใช้ชีวิตตามใจตัวเอง กินเหล้า เที่ยว เสเพล ผมเองก็เป็นเช่นนั้น แต่เมื่อเป็นคริสเตียนที่รับการบังเกิดใหม่ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการมีชีวิตใหม่ของผมครับ เมื่อตอนที่เป็นนักเรียนมิชชันนารี ถูกฝึกอยู่ที่โบสถ์ หลายครั้งอยากทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้ สำหรับผม บางครั้งก็คิดว่าโบสถ์เป็นเหมือนคุกเลยครับ

    ประชาชนอิสราเอลเคยอยู่อียิปต์ได้ใช้ชีวิตตามใจตัวเอง กินตามใจชอบ ไม่มีผู้จูงนำมาเป็นเวลานาน

    ชาวอิสราเอลเป็นทาสของชาวอียิปต์ เมื่อถูกใช้งานก็ได้ค่าแรงตามที่ทำ ได้กินตามที่ต้องการ แต่จิตใจลึกๆพวกเขามีความสุขหรือครับ? พระเจ้าได้ยินเสียงร้องจากความทุกข์ของพวกเขาที่ต้องเป็นทาส จึงทรงใช้โมเสสเพื่อนำไปเมืองคานาอัน แต่พอต้องมาติดตามโมเสส ก็ต้องกินขนมปังไร้เชื้อ เครื่องใน หัวและขา คือต้องกินในสิ่งที่ไม่เคยกินมาก่อน แล้วทำไมพระเจ้าจึงให้กินเนื้อร่วมกับผักรสขมด้วย กินเนื้ออย่างเดียวไม่ได้หรอ เราลองมาเรียนรู้จากพระคำกันครับ


    เรามาลองคิดกันครับว่า คนจะเป็นโรคกันตอนไหน? ถ้าหากกินแต่สิ่งที่ตัวเองชอบก็จะเป็นโรคกันง่ายครับ แต่หากกินสิ่งที่ไม่ชอบบ้าง ก็จะเกิดภูมิต้านทานที่สามารถเอาชนะโรคได้ จริงๆคนเรากินอะไรได้หลากหลายอย่างครับ แต่ถ้าชอบกินแต่น้ำอัดลม และกินทุกๆวัน หรือกินของที่ใส่น้ำตาลมากๆ ก็จะเป็นเบาหวานได้ ผมสังเกตุคนไทยหลายคนมักจะชอบใส่น้ำตาลเยอะมากๆตอนปรุงก๋วยเตี๋ยว คนเรามักจะกินตามใจตัวเอง โรคจึงถาโถมเข้ามา ปัจจุบันมีโรคแปลกๆมากกว่าสมัยก่อน แต่ในพระคำบันทึกว่า ให้กินหัวด้วย ขาด้วย เครื่องในด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไม่ชอบ

    โรคเกิดขึ้นมากเพราะกินแต่ขนมปังที่มีเชื้อ

    คนที่ทำตามใจตัวเองก็จะไม่เกิดสติปัญญา และจะเสื่อมทรามไปอย่างรวดเร็วครับ อยากกินเหล้าเท่าไรก็กิน อยากเล่นเกมเท่าไรก็เล่น ถ้าทำตามใจไปจนถึงที่สุดแบบนี้ จะเกิดผลดีได้จริงๆหรือเปล่าครับ? แต่คนที่หักห้ามใจและฟังคนอื่นได้คือคนที่มีสติปัญญา 

    ปัจจุบันทำไมคนเป็นโรคมะเร็งมากขึ้นและมีโรงพยาบาลเยอะมากกว่าแต่ก่อน เพราะเรากินของเยอะมากขึ้น มีเชื้อ มีสี มีสารแปลกปลอมอยู่หลายชนิด ดังนั้นร่างกายเราจึงได้แต่เกิดโรค โดยเฉพาะคนสมัยนี้ไม่ถ้าไม่อยากกินข้าว ก็จะไม่กิน แต่กินสิ่งที่ตัวเองอยากกินเท่านั้น


    เจ้าทั้งหลายจงกินขนมปังไร้เชื้อให้ครบเจ็ดวัน วันแรกจงชำระบ้านเจ้าให้ปราศจากเชื้อ
    ถ้าผู้ใดขืนกินขนมปังที่มีเชื้อตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่เจ็ด จะต้องอเปหิผู้นั้นเสียจากอิสราเอล
    อพยพ 12:15

    ข น ม ปั ง ไ ร้ เ ชื้ อ คื อ พ ร ะ คำ ข อ ง พ ร ะ เ จ้ า 

    ขนมปังไร้เชื้อคือ ขนมปังที่ไม่ใส่อะไรเจือปนเลย เป็นแป้งล้วนๆ ดูบางๆไม่ใส่เชื้อเพื่อให้ดูหนาขึ้น ต่างจากขนมปังที่เราซื้อกินทั่วไป หรือขนมปังที่มีชื่อเสียงที่คนนิยมรับประทาน


    ในยุคนี้ เมื่อคนสนใจแต่ดูอินเตอร์เน็ต ดูซีรี่ย์ ดูสื่อต่างๆมากมาย แล้วคิดว่าสำหรับคนนั้นการกินพระคำจะอร่อยไหมครับ? 

    ทำไมถึงมีจิตใจที่ไม่อยากฟังพระคำเกิดขึ้น 

    ในข้อพระคำ อพยพ บทที่ 12: 15 บันทึกว่า "ต้องถูกอเปหิจากอิสราเอล" นั่นก็หมายความว่า หากกินของที่มากจากทางโลก ก็ยิ่งห่างไกลจากพระเจ้าและไม่อยากมาฟังพระคำ เมื่อทำอะไรตามใจไปเรื่อยๆ ถ้าต้องมาโบสถ์ ก็จะไม่เป็นความสุขสำหรับเขา แต่มาโบสถ์แค่ตามพิธีทางศาสนา เพราะที่ผ่านมามักชอบกินขนมปังที่ใส่เชื้อ จนชิน ถ้าแบบนั้นการฟังพระคำและกินขนมปังไร้เชื้อจึงเป็นสิ่งที่คนเราไม่ชอบครับ
    เพราะคิดว่า "ไม่ฟังพระคำก็อยู่ได้" จริงๆเป็นโรคที่น่ากลัว แต่คนเราไม่รู้ว่าเราเป็นโรคอะไรกันอยู่

    ดังนั้นโรคที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์คือ "โรคที่ไม่อยากฟังพระคำ"
     

    ฝ่ายพวกสาวกของพระองค์ เมื่อข้ามฟากนั้นได้ลืมเอาขนมปังไปด้วย เมื่อพระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงสังเกตและระวังเชื้อแห่งพวกฟาริสี และพวกสะดูสีให้ดี” เหล่าสาวกจึงพูดกันว่า “เพราะเหตุที่เรามิได้เอาขนมปังมา” ฝ่ายพระเยซูทรงทราบจึงตรัสกับเขาว่า “โอ ผู้มีความเชื่อน้อย เหตุไฉนพวกท่านจึงพูดกันและกันถึงเรื่องไม่มีขนมปัง มัทธิว 16:5‭-‬8 

    ระวังเชื้อแห่งพวกฟาริสีและพวกสะดูสีให้ดี คือ ระวังคำสอนที่มาจากโลกนี้ จากกฏของโลก

    คำชม คำที่ใครๆต่างพูดกัน คำที่โลกนี้สอนเช่น "เราต้องมีความรู้ เรียนสูงๆนะ" "หาเงินดีดี ได้งานดีดี มีบ้าน มีรถดีดีนะ"มารซาตานชอบล่อลวงมนุษย์ให้เต็มไปด้วยความโลภ ให้อยากมีอำนาจ อยู่เหนือคนอื่น แต่เพราะสิ่งนั้นจิตใจคนเราจึงเย่อหยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้ไม่อยากฟังพระคำ เมื่อจิตใจอยู่ตำแหน่งที่สูงกว่าพระคำ ก็จะเริ่มดูถูกพระคำ หัวเราะเยาะคริสเตียน ดูหมิ่นคริสตจักร ดูหมิ่นพระเจ้า

    และโลกของเรามีโรงเรียน มีสาขา อาชีพต่างๆมากมาย ทำให้คนบนโลกนี้สนใจ เมื่อได้เรียนสิ่งต่างๆเหล่านั้น กับการที่จะเรียนพระคำภีร์ จึงไม่คิดว่าเป็นสิ่งที่มีค่าและสำคัญต่อจิตวิญญาณขนาดไหน

    ครั้งหนึ่งศิษย์ของพระเยซูทะเลาะเรื่องลืมเอาชนมปังมาด้วย หลังจากที่พระเยซูทำการอัศจรรย์ในการแจกขนมปังให้กับคนห้าพันคน



    พระเยซูตรัสกับศิษย์ว่า "จิตใจที่อยากฟังพระคำเป็นจิตใจที่งดงาม ไม่จำเป็นต้องสนใจขนมปัง" แต่สาวกของพระเยซูมักอยากมีอำนาจ และตื่นเต้นที่ได้เห็นการฤทธิ์อำนาจของพระเยซู เห็นการอัศจรรย์เรื่องขนมปังห้าก้อนที่เลี้ยงคนห้าพันคน พวกเขาต่างก็อยากได้รับอำนาจเช่นนั้น  เหมือนที่เราอยากได้ยศฐาบรรดาศักดิ์ เป็นคนมีอำนาจและนั่นคือ เชื้อที่ใส่ไว้ให้กับผู้คนในยุคนี้ เพื่อให้ออกจากพระเจ้าไป

    เราที่ได้เรียนพระคำอยู่ อยู่ที่โบสถ์ โดนตักเตือน ก้าวก่ายจิตใจซึ่งกันและกัน ทำให้เราได้เก็บพระคำของพระเจ้าเข้ามาในใจ พระคำของพระเจ้าได้ให้สันติสุขในจิตใจ และเป็นเหมือนสิงห์ ก้าวออกไปข้างหน้าอย่างไม่กลัว เพราะพระคำของพระเจ้าทรงเป็นกำลังให้เขา และต่อสู้กับการล่อลวงของมารซาตานได้


    ชนชาติหนึ่ง ซึ่งลุกขึ้น อย่างนางสิงห์ใหญ่ และยืนขึ้นอย่างสิงห์ตัวผู้ ไม่ยอมนอนจนกว่าจะกินเหยื่อเสีย และดื่มเลือดของสิ่งที่ฆ่าตาย”
    กันดารวิถี 23-24 


    "พระเจ้าบอกให้เรากินในสิ่งที่เราไม่อยากกิน คือ ให้กินความล้มเหลวบ้าง กินปัญหาบ้าง เพื่อให้การฟังพระคำเป็นสิ่งที่อร่อยสำหรับเขา และเมื่อล้มเหลว เราจะรับพระคำเข้ามาได้ด้วยความยินดี"

    การที่เรายากลำบาก และหิวโหยทางจิตวิญญาณ พระคำของพระเจ้าจะสามารถเข้ามาในจิตใจ ตอนนั้นพระคำจะเป็นกำลังมหาศาลในจิตใจของเราก็จะทำให้ใจเราเติบโต

    หากเรามีพระคำในใจก็สามารถแบ่งปันจิตใจกันได้ แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ หากไปรับขนมปังที่มีเชื้อ และมีความสุขฝ่ายเนื้อหนัง ก็จะรู้สึกหงุดหงิดตอนที่ฟังพระคำ และห่างจากพระเจ้าออกไป ห่างไกลจากโบสถ์ และ ถูกอเปหิออกจากอิสราเอล (อพยพ 12:15)

    "ถ้าผู้ใดมิได้เข้าสนิทอยู่ในเรา ผู้นั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเหมือนแขนง แล้วก็เหี่ยวแห้งไป และถูกเก็บเอาไปเผาไฟ" ยอห์น 15:6 

    ถ้าไม่อยู่ในพระเยซู ไม่เข้าสนิทในพระองค์ ก็ต้องถูกตัดออกไป เหี่ยวแห้ง เป็นแขนงที่ถูกตัดออก ถูกรวบรวมและโยนลงไปเผาในไฟ การที่เราอยากได้รับการยอมรับ ให้คนมาสนใจเรา หันออกจากพระเจ้าไปสนใจเนื้อหนัง นั่นคือการมัดแขนงนั้นรวมเข้าด้วยกัน และสุดท้ายถูกเอาไปเผาไฟ นั่นคือการถูกแช่งสาป


    พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “คนที่วางใจในมนุษย์ และให้เนื้อหนังเป็นมือของเขา และใจของเขาหันออกจากพระเจ้า คนนั้นก็เป็นที่แช่งสาป เยเรมีย์ 17:5 

    ภัยต่างๆเริ่มจากจิตใจที่ไม่อยากฟังพระคำ

    หากกลัวสิ่งนี้และยำเกรงพระเจ้า พระเจ้าก็ให้จิตใจใหม่ ที่เป็นจิตใจที่เปี่ยมด้วยความยินดีและสามารถถูกใช้ในงานของพระองค์ได้อย่างมีกำลัง แต่มารซาตานกำลังหลอกเราเพื่อให้เป็นอาหารของมัน ให้เราออกให้ห่างจากพระเจ้าอยู่เรื่อยๆ คริสเตียนที่สำคัญ คือการฟังพระคำ เหมือนเด็กแรกเกิดที่ต้องกินนมจากมารดาเพื่อรับสารอาหาร เพื่อมีภูมิต้านทานที่แข็งแรงได้

     เ ร า เ มื่ อ บั ง เ กิ ด ใ ห ม่ เ ป็ น ค ริ ส เ ตี ย น สิ่ ง ที่ ทำ คื อ ฟั ง พ ร ะ คำ แ ล ะ ไ ด้ รั บ ก า ร จู ง นำ จ า ก พ ร ะ เ จ้ า

    พาสเตอร์ คิม ฮัก ชอล 
    คริสตจักรข่าวประเสริฐกรุงเทพฯ
    GOOD NEWS MISSION THAILAND
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Nan Aye San (@fb1429362510409)
Very very good thank you so much for letting me know my self more, and to be with God more in life ?