จริงๆ อยากตั้งชื่อหัวข้อว่า TOEFL ไม่เท่ากับ IELTS แต่มันก็คงดึงดราม่าไป แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวเราว่ามันไม่เท่ากันนะ จะใกล้เคียงกันก็แค่เรื่องเรทราคาเท่านั้นแหละ ถ้าเทียบราคา ณ เดือนมี.ค. 2022 IELTS Academic computer-based 6,900 บาท ส่วน TOEFL iBT 215USD พอแปลงเป็นเงินไทยก็แพงกว่านิดหน่อย แต่มันก็ขึ้นกับอัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้นด้วย
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า TOEFL กับ IELTS เป็นแบบทดสอบความสามารถภาษาอังกฤษ ที่ใช้สำหรับยื่นเรียนต่อกับสมัครงาน คะแนนสองตัวนี้ก็เป็นที่ยอมรับทั่วโลก เลือกสอบอย่างใดอย่างนึงได้ ส่วนตัวเราเคยสอบ TOEFL 3 ครั้ง ช่วงก่อนปี 2017 และ IELTS 1 ครั้ง เมื่อมี.ค. 2022 ที่ผ่านมานี่เอง ซึ่งตอนแรกที่สอบโทเฟลเพราะเข้าใจว่าบริษัทเขาเป็นอเมริกัน สำเนียงที่ใช้การสอบมันก็ต้องเป็นอเมริกันแบบที่เราคุ้นเคยก็เลยเลือกสอบโทเฟลไป ต่างจากไอเอ้ลซึ่งเป็นบริษัทจากอังกฤษและออสเตรเลีย เราก็คิดไปเองว่ามันต้องฟังยากแน่ 555555 แต่พอคะแนนโทเฟลไม่ได้ใช้จนหมดอายุไป ก็มีความคิดอยากเปลี่ยนมาสอบไอเอ้ลบ้าง แล้วก็ตรัสรู้ว่าไอเอ้ลมันไม่ได้บริติชขนาดน๊านนน ชั้นคิดไปเองล้วนๆ
ทั้ง TOEFL และ IELTS จะทดสอบความสามารถทั้ง 4 ด้าน (ฟัง พูด อ่าน เขียน) เหมือนกัน โดย TOEFL จะแบ่งคะแนนเป็นพาร์ทละ 30 คะแนน คะแนนเต็มรวมเป็น 120 แต่ IELTS จะให้คะแนนพาร์ทละ 9 คะแนน แต่ไม่ได้เอามารวมกันนะ ไอเอ้ลเค้าเฉลี่ยแต่ละทักษะแล้วคะแนนรวมก็เต็ม 9 เหมือนเดิม
เราเลือกสอบเป็น computer-based ทั้งสองเทส เพราะถนัดพิมพ์มากกว่า โดย TOEFL จะเริ่มจาก Reading>Listening>Speaking>Writing แต่ IELTS จะเร่ิ่มที่ Listening>Reading>Writing และแยกพาร์ทพูดออกมา เพราะต้องสอบพูดกับคน ซึ่งอาจจะสอบก่อนเริ่ม Listening หรือเก็บไว้หลัง Writing เลยก็ได้ ขึ้นกับตารางในวันนั้นๆ
เดี๋ยวจะอธิบายทีละพาร์ทว่าต่างกันยังไง และจะได้เข้าใจว่าทำไมเรารู้สึกว่ามันไม่เท่ากันจริงๆ
เริ่มที่ Reading ซึ่งเป็นพาร์ทที่เลเวลความยาก-ง่ายใกล้เคียงกันที่สุดแล้ว
TOEFL ใช้เวลา 54 - 72 นาที อ่าน 3-4 บทความ บทความแต่ละบทจะประมาณ 700+ คำ มี 30-40 คำถาม (10คำถาม/บทความ)
IELTS ใช้เวลา 60 นาที อ่าน 3 บทความ บทความละ 900+ คำ มีคำถามทั้งหมด 40 คำถาม เฉลี่ยบทความละ 13-14 ข้อ
บทความทั้งหมดจะเป็น Academic เหมือนกัน เลเวลคำศัพท์พอๆ กัน ซึ่งข้อสอบ Reading มันมีคำถามไม่กี่แบบ และรูปแบบสากลมากๆ แต่สองเทสนี้มีชุดคำถามต่างกันนิดหน่อย TOEFL จะใช้ชุดคำถามแบบปกติทั่วไป เช่น ประโยคนี้ผู้เขียนหมายความว่าอย่างไร คำนี้ในบรรทัดนี้ในบริบทนี้แปลว่าอะไร Main Idea คืออะไร ข้อใดถูก/ผิด บลาๆๆๆ และ 80% เป็น Multiple Choices แต่ IELTS ต่างนิดนึงตรงที่จะมีอัตราส่วนของ Multiple Choices น้อยกว่า เพิ่มการเติมคำในช่องว่างเข้ามาและมีการถามว่า ประโยคนี้ True/False/Not Given (จริง/ไม่จริง/ไม่ระบุ) ซึ่งมันก็คล้ายๆ กับถามว่าข้อใดถูก/ผิด แต่เอาจริงๆ มันชวนสับสนกว่านะ
ต่อกันที่ Listening
TOEFL ใช้เวลา 41–57 นาที ทั้งหมด 28–39 คำถาม และจดโน๊ตได้ แบ่งเป็น
- 2–3 บทสนทนาระหว่างคน 2 คน แต่ละบทยาว 3 นาที 5 คำถาม/บท
- 3–4 lectures (แบบฟังเลคเชอร์ห้องเรียนเลย) แต่ละบทยาว 3–5 นาที 6 คำถาม/บท
IELTS ใช้เวลาไม่เกิน 40 นาที ทั้งหมด 40 คำถาม แบ่งเป็น 4 บทพูด (10 คำถาม/บท)
- บทสนทนาในชีวิตประจำวันระหว่างคน 2 คน เช่น คุยโทรศัพท์ คุยกับ reception สอบถามข้อมูล
- บทพูดของคนคนนึง อธิบายเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว
- บทสนทนาระหว่างคน 2 คน (หรือมากกว่า) แต่คุยกันเรื่องเรียน ทำงาน
- Lecture ยาวๆ
ซึ่ง IELTS มีกระดาษโน๊ตให้จดนะ แต่ไม่ได้จดเพราะต้องฟังตลอดเวลา เพราะคำถามและคำตอบจะเรียงกันตามเนื้อหาที่ได้ยิน เช่น คำตอบของข้อ 1 จะรีบโผล่มาตอนต้นๆ เลย ถ้าพลาดก็หลุดแล้วเตรียมใจทำข้อถัดไปต่อเลย โดยส่วนใหญ่พาร์ทฟังของ IELTS จะเป็นเติมคำในช่องว่าง โดยใช้คำตามที่ได้ยินในบทพูดเป๊ะๆ ไม่ต้องคิดเยอะแค่ต้องฟังให้ออก และนอกจากนั้นก็มี Multiple Choices หรือสรุป/จับคู่ข้อมูลเล็กน้อย แต่ก็ไม่เยอะเท่าเติมคำในช่องว่าง
แต่ของ TOEFL จะยากกว่าไอเอ้ลตรงที่มันมีข้อที่ต้องฟังทั้งหมดและสรุป! ดังนั้นการจดโน๊ตจึงสำคัญมากๆ และด้วยความที่ข้อสอบจะเป็น Multiple Choices ทั้งหมด และคำศัพท์ที่ใช้ก็จะไม่ตรงกับบทพูดเป๊ะมาก เราต้องรู้ Synonyms เยอะๆ เพื่อสู้กับพาร์ทนี้ และมันก็จะมีคำถามที่ถามว่า ผู้พูดรู้สึกอย่างไร เรา imply อะไรได้จากบทพูดนี้บ้าง ซึ่งต้องคิดและวิเคราะห์มากกว่า IELTS
ว่าง่ายๆ คือพาร์ท Listening ของ IELTS จะค่อนไปทางจับข้อมูลเฉพาะจุดๆ แต่ TOEFL คือต้องฟังและเข้าใจจริงๆ
ถึงตรงนี้แล้วสังเกตมั้ยว่า TOEFL จะมีจำนวนคำถาม/บทพูด/บทความที่ไม่แน่นอน
เทสปกติจะได้ Reading 3 บท กับ Listening 5 บท ทุกข้อก็จะนำมาคิดคะแนนปกติ แต่ว่า TOEFL เค้าจะมีชุดบทความ/บทพูด ที่จะเป็นว่าที่ข้อสอบในอนาคต เอามาสุ่มทดสอบก่อนและไม่ถูกนำมาคิดคะแนน!ถ้าใครดวงดีเจอ Reading 4 บท หรือ Listening 7 บท คือเหนื่อยมาก! (เพิ่มแค่พาร์ทเดียวนะ มันไม่เลวร้ายถึงขั้นเพิ่มท้ั้งสองพาร์ทในวันเดียว) และเราก็ไม่รู้ด้วยว่าบทไหนไม่คิดคะแนนเพราะเค้าไม่บอก เพราะโทเฟลเค้าต้องการให้เราทำอย่างเต็มที่เพื่อเอาไปดูว่าข้อสอบมันไม่ยากและไม่ง่ายเกินไป ก่อนที่จะเอาไปใช้งานเป็นข้อสอบและคิดคะแนนจริงๆ
ซึ่งการสอบโทเฟลทั้ง 3 ครั้งของเรา โดนไอ้ dummy test ทุกรอบ! ดวงดีมาก! เจอ extra พาร์ทอ่านไปสองครั้ง พาร์ทฟังไปครั้งนึง ...
ถ้าเป็น TOEFL หลังจบพาร์ทอ่านกับฟังจะมีให้เบรค 10 นาทีเพื่อไปเข้าห้องน้ำ/กินขนม จำได้เลยว่าตอนเราสอบเราหมดพลังมากๆ ออกมาก็กิน Snickers รีบเพิ่มน้ำตาลในเลือดเลย แต่ IELTS คือยิง Writing ต่อยาวๆ ไม่มีเบรคจ้าาาา (แต่ศูนย์สอบอนุญาตให้เอาน้ำไปทานในห้องสอบได้นะ แค่ออกมาเข้าห้องน้ำไม่ได้ ถ้าออกมาคือต้องเสียเวลาทำข้อสอบไปเลย)
เหนื่อยเนอะ แต่นี่แค่ครึ่งเดียวของบททดสอบ .....
ไปต่อกันที่ Writing
TOEFL ใช้เวลาทั้งหมด 50 นาที แบ่งเป็น 2 tasks อัตราส่วนคะแนนเท่ากันทั้งคู่
- Integrated writing task (20 นาที) อ่านบทความสั้นๆ (สั้นกว่าพาร์ทอ่านหน่อยนึง) และฟัง Lecture สั้นๆ ในหัวข้อเดียวกันแต่คนละมุม แล้วเขียนสรุปสิ่งที่อ่านและฟัง ซึ่งมันยากตรงที่เรามีโอกาสฟังแค่รอบเดียว (แต่บทความที่อ่านก็ยังขึ้นในจอให้เห็นตลอดที่เขียนตอบนะ)
- Independent writing task (30 นาที) เขียนตอบคำถามปลายเปิด
IELTS ใช้เวลาทั้งหมด 60 นาที มี 2 tasks แต่คะแนนพาร์ทแรกจะคิดแค่ 1/3 จากคะแนนเต็ม
- เขียนสรุปข้อมูลจากกราฟ ชาร์ท แผนที่ แผนผัง ฯลฯ ควรเขียนไม่ต่ำกว่า 150 คำ
- เหมือน TOEFL พาร์ทสองเลย และควรเขียนไม่ต่ำกว่า 250 คำ
พาร์ทสองของทั้งสองเทสเหมือนกันเป๊ะ แต่ IELTS จะไม่จำกัดเวลาในการเขียนแต่ละพาร์ทชัดเจน แค่แนะนำว่าพาร์ทแรกใช้เวลาแค่ 20 นาทีนะ แล้วรีบมาทำพาร์ทสองนะเพราะน้ำหนักคะแนนเยอะกว่า มันก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะบริหารเวลายังไงด้วย อาจตะ 20+40 หรือ 25+35 นาทีก็ได้ ถ้าใช้เวลาไม่หมดก็ย้อนไปแก้ได้ แต่ TOEFL จะต้องทำตามกรอบ 20+30 นาทีเท่านั้น ไม่มีโอกาสแก้ตัว ไม่มีโอกาสฟังรอบสอง ทุกอย่างขึ้นกับ Notes ที่จดไว้ ถ้าเทียบกับพาร์ทแรกของ IELTS ที่เขียนสรุปจากรูป มันต่างกันลิบลับเลยนะ (แม้ว่าจำนวนคำที่เขียนจะใกล้เคียงกันก็ตาม)
มาถึงพาร์ทสุดท้าย Speaking ที่มันต่างกันมากกกกกกกกกกกกก เพราะ TOEFL อัดเสียงพูดคนเดียวกับคอมแล้วระบบก็จะส่งไฟล์เสียงไปให้คนตรวจอีกที แต่ IELTS พูดกับ Examiner ต่อหน้าเจ้าของภาษาเลย
TOEFL ใช้เวลา 17 นาที กับ 4 คำถาม โดยจะมีกระดาษโน๊ตให้เราจดเตรียมคำตอบไว้
**จริงๆ TOEFL จะสอบ Speaking ก่อน Writing นะ แต่ยกมาอธิบายไว้ท้ายสุด
- คำถามที่ 1 (Independent Speaking Task) สอบถามความเห็น ไอเดียของเรา ในเรื่องง่ายๆ เช่น ระหว่างอยู่ในเมืองกับตจว.ชอบอะไรมากกว่ากัน
- คำถามที่ 2-4 (Integrated Speaking Task) เราจะได้อ่าน หรือ ฟัง หรือทั้งฟังและอ่าน แล้วพูดตอบคำถามหรือสรุปอีกที!
- แต่ละคำถามจะมีเวลาเตรียมคำตอบในโน๊ต 15-30 วินาที และพูดตอบ 45-60 วินาที โดยคอมพิวเตอร์จะจับเวลาและเริ่มอัดเสียงให้เราอัตโนมัติ
IELTS ใช้เวลาประมาณ 11-14 นาที แบ่งเป็น 3 พาร์ท
- สอบถามเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับตัวเรา เช่น บ้านอยู่ไหน ทำงานอะไร ชอบทำอะไรเวลาว่าง
- Examiner จะบอกหัวข้ออะไรซักอย่างมา แล้วให้เราเตรียมตัว 1 นาที เพื่อพูดเกี่ยวกับหัวข้อนั้น 1-2 นาที เป็นพาร์ทเดียวที่ได้เขียนโน๊ตเตรียมตัว แต่ถ้าเราพูดจบเร็ว ก็อาจมีคำถามเกี่ยวกับหัวข้อนั้นๆ ตามมาบ้าง
- สอบถามความเห็น/discuss ในเรื่องที่หนักขึ้นมาหน่อย (กึ่งๆ คำถามนางงาม แต่ไม่ถึงขั้นเรื่องการเมืองนะ) เช่น ของเล่นสมัยนี้ต่างจากสมัยก่อนยังไง คิดว่าการออนไลน์ช็อปปิ้งมีผลกระทบยังไง คิดยังไงกับการเรียนออนไลน์
อย่างที่เล่าไปว่าสอบ IELTS Speaking จะได้พูดกับคนจริงๆ มีการโต้ตอบจริงๆ มันเลยอาจมีการเพิ่ม/ลดคำถามในพาร์ท 1 และ 3 ขึ้นอยู่กับเวลาที่ใช้ในแต่ละข้อ เช่น ถ้าเราตอบยาวอาจจะโดนถามน้อย แต่สุดท้ายแล้ว Examiner ก็จะควบคุมให้อยู่ใน 15 นาทีเอง ต่างจาก TOEFL ที่เราต้องบริหารเวลาเองให้ได้ เพราะถ้าตอบนาน/ยืดเกินไป ระบบก็จะตัดอัตโนมัติทั้งๆ ที่ยังพูดไม่จบ แถมยังต้องสรุป+ประมวลผลข้อมูลในคำถามที่ 2-4 ด้วย ซึ่งถ้าหลุดแล้วฟังไม่ทันหรืออ่านไม่เข้าใจ = จบ!
และแน่นอนว่าพูดกับคนจริงๆ มันดีกว่าพูดหน้าคอมอยู่แล้ว ....
ครบทั้ง 4 ทักษะ เป็นอันจบเทส
ถ้ารวมเวลาทั้งหมด TOEFL (แบบไม่มี extra test) ใช้เวลา 2 ชม. 42 นาที + เบรค 10 นาที ก็เกือบๆ 3 ชั่วโมง แต่ IELTS จะอยู่หน้าคอมไม่เกิน 2 ชม. 40 นาที + Speaking 15 นาที
สรุปสั้นๆ ทั้งสองเทส ใช้ศัพท์ยาก-ง่ายพอกัน สำเนียงฟังไม่ยากเหมือนกัน ค่าสอบต่างกันนิดหน่อย แต่ลักษณะคำถาม กระบวนการคิดเพื่อตอบคำถามของ TOEFL จะซับซ้อนกว่า เพราะต้องมีการประมวลผลเพื่อสรุปก่อนตอบ/พูด/เขียน ต่างจาก IELTS ที่ตรงไปตรงมา บวกกับประสบการณ์ที่เราดวงดีกับโทเฟลเลยใช้เวลาเกินสามชั่วโมงทุกครั้ง ออกมาจากห้องสอบคือหมดสภาพทุกรอบ ต่างจาก IELTS ที่ยังมีแรงเหลือ มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าสองเทสนี้ไม่เท่ากันจริงๆ
พอคะแนนออกมาแล้วก็ชัดมากๆ เราสอบ IELTS 2022 ได้ 7.5 คะแนน ถ้าดูในตารางเทียบคะแนนจะเท่ากับ TOEFL 102+ แต่คะแนนสูงสุดที่เราเคยสอบโทเฟลได้ = 98 คะแนน ซึ่งกว่าจะได้ 98 ก็เตรียมตัวหนักและนานมาก ลงคอร์สเรียนออนไลน์ไว้ด้วย แต่ไอเอ้ลเราเตรียมแค่เดือนเดียว ไม่มีลงเรียนเพิ่ม ศึกษาเองและใช้ Free resources ล้วนๆ งานที่ทำตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเท่าไหร่ ถ้าให้เทียบทักษะภาษาอังกฤษของเราตอนปี 2017 เรามั่นใจว่าดีกว่า 2022 แน่ๆ ถ้าย้อนเอาร่าง 2017 มาสอบไอเอ้ลได้คงได้ 8+ คะแนนไปแล้ว และคิดว่าร่าง 2022 เทียบได้กับตอนสอบโทเฟลสองครั้งแรกมากกว่า
และจากคะแนนก็เห็นได้ชัดเลยว่าการพูดกับคนมันได้คะแนนเยอะกว่าพูดกับคอมจริงๆ ...
จริงอยู่ที่เรามองว่าการได้มาซึ่งคะแนน IELTS สูงๆ มันง่ายกว่า TOEFL แต่ต้องยอมรับเลยว่าช่วงที่เตรียมสอบ TOEFL มันสามารถอัพสกิลภาษาอังกฤษแบบก้าวกระโดดไปเลย เพราะโทเฟลมันทำให้เราคิดเป็นภาษาอังกฤษตลอด และทักษะคิด/วิเคราะห์/สรุป/จดโน๊ตที่ได้มามันเอามาประยุกต์ใช้ตอนทำงานได้ มันเป็นมากกว่าคะแนนสอบยื่นเรียนต่อไปแล้ว
วิธีการเตรียมตัวสอบทั้ง TOEFL และ IELTS จริงๆ คล้ายกันนะ แต่ TOEFL ต้องฝึกจดโน๊ตเพิ่มขึ้นนอกจากนั้นก็เหมือนกันเลย หลักๆ เราฝึกพื้นฐานตามนี้
- ท่องศัพท์ synonyms antonyms และฝึก Paraphrase
- ฟังและอ่านภาษาอังกฤษเยอะๆ แต่เน้นฟังในสิ่งที่ชอบและมีศัพท์ยากอยู่ เช่น เราชอบดูรีวิว Gadget ก็เปิดช่อง MKBHD แทนพี่อู๋ Spin9 ไปก่อน, ดู Miss Universe Final Questions เพราะคำถามพาร์ทสปีคกิ้งกับ Independent Writing มันประมาณนี้เลย!, อ่านฟีด LinkedIn, Quora, รีวิวรองเท้าวิ่งจากเว็บต่างประเทศ ฯลฯ มันไม่จำเป็นต้องอ่านหรือฟังอะไรที่เป็น academic ขนาดนั้น เดี๋ยวเครียดเกินไป แต่สิ่งที่เรารับรู้ต้องมีศัพท์ใหม่ๆ หรือไม่คุ้นเข้ามาบ้าง
- ทำความเข้าใจว่าข้อสอบแต่ละพาร์ทมีคำถามแบบไหนบ้าง แต่ละคำถามต้องการอะไร ใช้ทักษะอะไรตอบ แล้วก็ฝึกเบสิคของคำถามประเภทนั้นๆ
- ฝึกเบสิคได้แล้วก็ทำข้อสอบเยอะๆๆๆๆๆ
- ทำสมาธิ สติเยอะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
- ฝึกจัดการเวลาตัวเองให้ได้ อันนี้สำคัญพอๆ กับฝึกสติเลย
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ... จะชี้เป้า Study Materials ที่เคยใช้ไว้ตามนี้เลย! ลองแล้วเวิร์คและใกล้เคียงกับข้อสอบจริงมากๆ
หนังสือ ถ้ามีเวลาเตรียมสอบไม่นาน ไม่จำเป็นต้องไปซื้อมาถมเยอะ เอาแค่ Official Guide เพียงพอแล้ว
TOEFL Online Materials
- Magoosh TOEFL เราลงเรียนแบบ 6 เดือน ราคา 129USD กับเว็บนี้ เพื่อเตรียมสอบ TOEFL รอบสุดท้าย เพราะมีเวลาเตรียมตัวเยอะเลยลงทุนนิดนึง แต่ใช้จริงๆ ประมาณ 3-4 เดือน ซึ่งคอร์สเค้าทำให้เราเข้าใจพื้นฐานอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น ทำให้คะแนนกระโดดจาก 86 > 98 ได้ ความยาก-ง่ายของข้อสอบในเว็บก็ใกล้เคียงกับข้อสอบจริงมากๆๆ
- Magoosh TOEFL Vocabulary Flashcards แอพไว้ฝึกท่องศัพท์แบบไม่เสียตังค์ แต่มี tie-in คอร์สเรียนนิดหน่อย ถ้ามีแอพนี้กับหนังสือ Essential Words คู่กัน = เยี่ยมมาก! เพราะแอพจะให้เราจำ แต่หนังสือจะมีแบบฝึกให้ฝึกใช้คำด้วย
IELTS Online Materials ลิสนี้จะมีของฟรีเยอะกว่าหน่อย เพราะด้วยความที่เตรียมตัวน้อยเลยไม่กล้าลงทุนเยอะ 55555
- UQx IELTS Academic Test Preparation เป็นคอร์สออนไลน์ของ The University of Queensland มีทั้งแบบเสียตังค์และฟรี ซึ่งเราลงแบบฟรีไป มันต่างจากแบบจ่ายเงินตรงที่จะจำกัดเวลาเข้าถึงคอร์สแค่เดือนนิดๆ หลังจากสมัครเรียนและไม่มี Practice Test ให้ทำ แต่พวกวิดีโออธิบาย Tips ต่างๆ ปูพื้นฐานได้ดีมาก แบบฝึกเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาให้ทำก็ช่วยได้เยอะเลย และหัวข้อ Speaking, Writing ในแบบฝึกที่อาจารย์ให้มาเป็นตัวอย่างคือส่วนหนึ่งของข้อสอบจริง!
- IELTS Liz บล็อคสอน IELTS ออนไลน์แบบฟรีๆ ถ้าอ่านครบทั้งเว็บก็จะได้เทคนิคทำข้อสอบเพิ่มเสริมจาก UQx ไปอีก แบบฝึกของเขาก็ปูพื้นฐานได้ดีมากๆ แต่มีข้อเสียตรงที่ไม่มี Full Practice Test ให้ทำ (เพราะเป็นของฟรีอะนะ) และคลิปเสียงส่วนใหญ่ที่ใช้ฝึกจากแอบฟังยากนิดนึง เพราะลิซอัดเสียงพูดเองและสำเนียงเขาเป็นแบบ British บางคำจะไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไหร่ (สำหรับคนที่เติบโตมาจากฝั่งเมกัน)
- Magoosh IELTS Vocabulary Flashcards มากูชคนดีคนเดิม คำศัพท์ก็คล้ายกับของ TOEFL แหละ แต่ของ IELTS จะเพิ่มพวกคำวิเศษณ์สำหรับใช้อธิบายกราฟ แผนภูมิ แผนผัง ที่ต้องใช้ใน Writing Task 1 ด้วย
- Youtube เสิชว่า IELTS Speaking Test แล้วก็ฝึกตอบคำถามตามคลิปเลย เราเน้นดูพวก Band 7.0+ ได้ยินคำถามปุ๊ปแล้วกดพอส ตอบเองก่อน แล้วค่อยฟังว่าคนที่ได้คะแนนเยอะๆ ตอบยังไง แต่บางคลิปก็มีคำถามที่ยากไปหน่อยนะ ถ้าอยากได้หัวข้อคำถามที่ใกล้เคียงสอบจริงที่สุดให้ไปที่ UQx เลย
ก่อนปิดคอนเท้นต์นี้ เราขอแปะเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยให้ทำข้อสอบได้ดีขึ้น และสามารถ applied ได้กับการสอบอื่นๆ ด้วย
- ในช่วงที่เตรียมสอบให้พยายามใช้เวลากับการฝึกวันละไม่เกิน 2 ชม. (ยกเว้นวัน Full Practice Test) สมองจะได้ไม่เครียดจนเกินไป
- ถ้าวันไหนเจออะไรถาโถมเข้ามาจนเรียนไม่ไหว พักบ้างก็ได้ การฝึกทำข้อสอบมันก็เหมือนออกกำลังกายที่ต้องมีวันพักบ้างนะ
- 1 วันก่อนสอบ ไม่ต้องเรียนหรือฝึกอะไรเพิ่มเพราะมันไม่ทันแล้ว แต่พยายามทำบรรยากาศรอบตัวให้เป็นภาษาอังกฤษให้ได้มากที่สุด ฟังเพลง ดูยูทูป พิมพ์แชทเป็นภาษาอังกฤษไว้ก่อน เพื่อซ้อมมือซ้อมหูไว้
- คืนก่อนสอบให้นอนเยอะๆ จะได้สดชื่น
- มื้อเช้าหรือมื้อเที่ยงก่อนสอบอย่ากินเยอะเกินจนจุกและอย่ากินน้อยเกินไปจนหิวระหว่างสอบ เน้นทานโปรตีนและคาร์บที่ดีให้มีแรงไว้
- อย่าเผลอกินอะไรเผ็ดๆ แปลกๆ จนทำให้ท้องเสียระหว่างสอบ
- กินกาแฟได้ตามปกติ ไม่ Overdose แต่สำหรับคนที่ปกติไม่กินกาแฟก็ไม่จำเป็นต้องโด๊ปนะ เดี๋ยวใจจะเต้นแรงเกิน
- ก่อนเข้าห้องสอบต้องเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยจะได้ไม่เสียเวลาออกมาระหว่างทาง
- อย่าลืมจิบน้ำระหว่างทำข้อสอบ เพื่อไม่ให้ร่างกาย Dehydrated
- เมื่อเข้าห้องสอบนั่งหน้าคอมแล้วปรับที่นั่งให้เหมาะกับความถนัดของตัวเอง และถ้ามีเวลาก็ยืดแขน ขา ไหล่ วอร์มนิ้วก่อนเริ่มสอบด้วยก็จะดีมากเลย
- ก่อนสอบ Speaking ให้วอร์มปาก วอร์มกรามรอไว้
- (สำหรับโทเฟล) ขนม Snickers เหมาะที่สุดสำหรับการกินตอนพักเบรค เพราะได้ทั้งน้ำตาลและพลังงานไปสู้ต่อ!
เป็นคอนเท้นต์ที่ยาวมากๆๆๆๆๆๆ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะคะ
:)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in