เสียงส่วนใหญ่ยังไม่มีคำตอบกระจ่าง ขณะที่ตำราภาษาไทยส่วนใหญ่ (ซึ่งมักจะน่าเบื่อ) ชอบแปลปรัชญาตามความหมายของตัวอักษรว่า ‘ความรักในความรู้’ ซึ่งไม่ได้ช่วยให้เรารู้อะไรมากไปกว่าคำแปล แต่ไม่ใช่ความหมาย
‘PHILOSOPHY IN A WEEK’ ไม่ได้ให้ความหมาย เพียงบอกว่าปรัชญาเป็นทั้งกิจกรรมและองค์ความรู้ เป็นกิจกรรมทางปัญญาในการคิด ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง พินิจพิจารณา และตรวจสอบความคิด เป็นองค์ความรู้อันเกิดจากความอุตสาหะที่ถูกสั่งสมมารุ่นแล้วรุ่นเล่าของมนุษย์ที่พยายามตอบคำถามพื้นฐานต่างๆ ซึ่งโดยทั่วไปไม่ค่อยได้ถามกัน
‘ปรัชญา’ บอกว่าเราหลีกเลี่ยงปรัชญาไม่ได้ มันแทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวัน เราเพียงแค่ไม่รู้หรือไม่ได้สังเกต หรือต่อให้เห็นว่า ปรัชญาไม่มีประโยชน์ นั่นก็ยังเป็นการประเมินคุณค่ารูปแบบหนึ่ง เพราะ ‘คุณค่า’ เป็นคำถามหลักในปรัชญา
ปรัชญาจึงมีความกวนประสาทอยู่ในที
‘ปรัชญา’ ปกคลุมหัวข้อหลักๆ ของปรัชญาน้อยกว่า แต่บรรยายไว้ซับซ้อนสวิงสวายกว่า
‘PHILOSOPHY IN A WEEK’ สำนวนไม่เหวี่ยงไหวและครอบคลุมหัวข้อหลักของปรัชญามากกว่า
นี่ไม่ใช่การพยายามนำคุณค่ามาชี้นำว่าควรอ่านเล่มใดมากกว่าอีกเล่มหนึ่ง อันที่จริง อ่านทั้งสองเล่มได้ยิ่งดี แต่สิ่งที่ต้องเข้าใจตรงกันเสียก่อนเวลาที่หนังสือสักเล่มบอกกับคนอ่านว่าเป็นการแนะนำปรัชญาเบื้องต้น มันหมายความแบบนั้นจริงๆ มันเบื้องต้นมากๆ มันเป็นอณูอันน้อยนิดของจักรวาลปรัชญาที่น่าจะมีเอกภพคู่ขนานอีกหลายเอกภพ
คุณจะได้รู้จักคำถามหลักๆ ทางปรัชญา คำตอบที่น่าเป็นไปได้หลักๆ ทางปรัชญา เมื่อใดมีคำตอบแน่นอน คำถามนั้นก็หลุดลอยจากปริมณฑลของปรัชญาสู่ศาสตร์สาขาอื่น แต่ก็เป็นคนละเรื่องกันกับการที่ปรัชญายังตามไปหาเรื่องราวตั้งคำถามต่อศาสตร์นั้นๆ อยู่ดี
ฉันคือใคร?
ฉันรู้ได้อย่างไร?
ฉันควรทำอะไร?
ฉันเป็นจิตหรือเป็นสสาร?
สังคมที่ดีควรเป็นอย่างไร?
ความยุติธรรมคืออะไร?
ตอบกันไปเถอะ ตอบกันมาเป็นพันปีแล้ว ยากเกินกว่าจะได้คำตอบที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน แต่อย่างน้อย (เท่าที่รู้) ไม่เคยมีใครต้องชกต่อยหรือถึงขั้นทำสงครามกันเพราะปรัชญา (ไม่เหมือนศาสนาหรือการเมือง)
หนังสือทั้งสองเล่มให้บางคำตอบไว้ ชวนคนอ่านเถียงกับคนที่เคยตอบมาก่อน อภิปราย วิพากษ์วิจารณ์คำตอบเหล่านั้น “คุณตอบแบบนี้ มันไม่ใช่หรอก มันต้องตอบแบบนี้” “โลกนี้ไม่มีอะไรนอกจากจิต” “โลกนี้ไม่มีอะไรนอกจากสสารหรือวัตถุ ความรู้สึกของเราก็แค่การทำงานของสมอง” “สิ่งที่เราควรทำต้องดูผลลัพธ์ที่ได้เท่านั้น”
อ่านไป คิดไป เราอาจนึกสนุกตั้งคำถามยิบย่อยได้อีกมากมาย เช่น “ระหว่างความชั่วร้ายสองอย่างและคุณจำเป็นต้องเลือก คุณจะใช้เกณฑ์อะไรในการเลือก” “ลูกบิลเลียดสีขาวกระทบลูกสีดำ ลูกสีดำก็วิ่งต่อไปที่หลุม ลูกสีดำวิ่งเพราะถูกลูกสีขาวกระทบหรือว่ามันเป็นแค่สองเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกันเท่านั้นนะ ฉันแค่มโนไปเองหรือเปล่าว่าเหตุทำให้เกิดผล”
อย่างเสียดสีและประชดประชัน นักปรัชญาจึงถูกมองเป็นกิจกรรมของผู้มีอันจะกิน มีเวลานั่งบนโซฟานุ่มๆ แล้วคิดตั้งคำถามประหลาดๆ
แต่ใครจะเถียงล่ะว่าโลกมิได้ขับเคลื่อนด้วยความคิดก่อน แล้วการกระทำจึงตามมา
ในโลกอันวุ่นวายสับสน น่าเหนื่อยหน่าย ชีวิตต้องวิ่งด้วยความเร็วร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง การได้คำตอบสำเร็จนั้นเย้ายวนเกินหักใจ
ทว่า คำตอบที่เราเสาะหามาใช่ว่าจะเป็นคำตอบที่ถูกเสมอ และคำตอบที่ถูก (แทบ) ไม่เคยได้จากการตั้งคำถามที่ผิด
ทำไมต้องวุ่นวาย? ทำไมต้องเหนื่อยหน่าย? ทำไมต้องวิ่งเร็ว? ...ฯลฯ
ยิ่งถ้าอยู่ในสังคมที่ขาดพร่องเหตุผล ปรัชญายิ่งจำเป็น
เอาล่ะ คุณไม่จำเป็นต้องชอบปรัชญา แต่คุณเป็นนักปรัชญาได้
การถามว่าเย็นนี้จะกินอะไรคงไม่ใช่คำถามทางปรัชญาหรอก
แต่กินเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อเพื่ออะไร...ปรัชญาแน่นอน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in