ตลอดชีวิตการนอนหลับฝันมายี่สิบสองปี ก็เพิ่งจะเคยมีวันนี้นี่แหละ
ที่เรื่องราวในฝัน มันทำให้เราไม่อยากตื่น จนถึงขั้นต้องหยิบโทรศัพท์ เข้าแอพพลิเคชั่นไลน์
เปิดเข้ากรุ้ปที่ทำงาน และพิมพ์ลงไปว่า...

เพื่อจะได้ทำการนอนหลับฝันต่อ นี่ไม่ใช่ข้ออ้างของการนอนหลับต่อ นี่จริงจัง
แต่มันก็ไม่ใช่ฝันที่ดีเท่าไหร่หรอกนะ แต่จะเรียกว่าฝันร้ายก็ไม่ได้ซะทีเดียว
มันทำให้เราสงสัยว่านี่เราฝันอย่างงี้ได้ยังไงวะ เราคิดมากเรื่องอะไรอยู่ นี่มึงไปดูหนังเรื่องอะไรมา
มันสนุกจนอยากจะรู้ว่าแม่งจะจบยังไง
แล้วอย่างที่รู้ ๆ กันว่าความฝันของเราเนี่ย แม่งจะมั่วซั่วมาก เดี๋ยวเจอคนนี้กับคนนั้น
เราอยู่ที่นี่ ซักพักวาร์ปไปอยู่ที่นั่นได้ยังไงก็ไม่รู้ มั่วเป็นบ้า
พอตื่นมา จะเล่าให้เพื่อนฟัง ลืม!
เนี่ย กว่ากูจะพิมพ์อินโทรเสร็จ กูก็ลืมละว่าเมื่อกี๊ฝันว่าอะไร...
การฝันเหมือนเป็นการดูหนังเรื่องหนึ่ง โดยที่มีเราเป็นคนเขียนบท กำกับ ตัดต่อ
แต่ไม่มีกำหนดเข้าฉายหรอกนะ คิดจะฉายก็ฉาย และเป็นหนังที่ไม่มีวันจบ
ฝันคร่าว ๆ คือ...
มีอยู่วันหนึ่งเราถูกจับมาขังไว้ในบ้านของตัวเอง โดยพ่อของเราเอง...
(เชี่ย เห็นป้ะ แค่เริ่มเรื่องก็ร้ายแล้วอ่ะ)
เราจำไม่ได้ละว่าโดนจับมาด้วยสาเหตุอะไร
ในคืนนั้นป๊าเราวิ่งวุ่นในการล็อคบ้านทั้งบ้าน โดยแม่กุญแจสีทองยี่ห้อหนึ่ง เพื่อไม่ให้เราออกไปไหนได้

เราจำได้ว่าตอนนั้นเราไม่มีความกลัวเลย
มีเพียงความไม่เข้าใจว่า ทำไมพ่อของเราจึงต้องทำกับเราแบบนี้
"ทำไมป๊าถึงทำแบบนี้ ป๊าไม่รักนุ๊กเหรอ?"
ป๊ายิ้มเบา ๆ ด้วยสายตาโกรธแค้นเหมือนนางร้ายที่โดนแย่งพระเอก ก่อนจะตอบอย่างดุดันว่า
"เออ!"
"ทำไม หนูเป็นลูกป๊านะ"
"มึงไม่ใช่ลูกกู!" ...อ้าว เชี่ยละ แล้วกูลูกใคร
ไม่ทันที่ความสงสัยของเราจะได้ทำงานมากนัก
ป๊าก็ตอบ เหมือนอยากบอกมานานว่าเราคือลูกของ ของ ของ...
แท่น ทา ดา แด๊น แทน แทน แท่น แทน แท๊นนนนน~ ผิด!
มันเป็นคำตอบที่เราก็จำไม่ได้ว่ารู้สึกยังไง
ด้วยสถานการ์ตอนนั้น มันทั้งกลัว ทั้งเสียใจมากอยู่แล้ว
พอได้มารู้ความจริงว่าจริง ๆ แล้วคนที่เราเรียกเขาว่า ป๊า มาทั้งชีวิตไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ของเรา
แต่คน ๆ นั้นคือ... ญาติของเราเอง ซึ่งเราก็ไม่รู้จะเรียกเขาว่าอะไร เพราะเราไม่ค่อยจะได้เจอ หรือรู้จักกันเลย แต่กลับกลายเป็นว่าเขาคือพ่อของเรา (ตรงนี้เรางงเหมือนกัน ฝันบางครั้ง มันจะมีตัวละครที่เราไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ อาจจะเดินผ่านกันแค่วินาทีเดียว แต่ทำไมเราถึงเก็บพวกเขามาฝันได้ น่าสนใจดี)
เราสู้กันอยู่ซักพัก จนแยกย้ายกันไปตอนไหนก็ไม่รู้
(ก็เนี่ยแหละความฝัน แม่งไม่มีความสมู้ธอะไรทั้งนั้นแหละ)
มันเป็นพล็อทเรื่องที่มีช่องโหว่วอยู่มาก คือการที่ป๊าเราไม่ยึดเครื่องมือสื่อสารอะไรของเราเลย
แล้วในฝันรวยมากนะ มาครบทั้งสมาร์ทโฟน แทปเลต และโน้ทบุ๊ค อ้อ! ฟรี Wi-Fi ด้วยนะ
นี่ถ้าได้ออกอากาศ ต้องมีการตั้งกระทู้พันทิปด่าผู้จัดแน่ๆ
คืนนั้นเราไม่ทันจะได้เล่นอะไรหรอก สมองมัวแต่คิดหาทางออกว่าจะหนีออกทางไหนได้บ้าง
และจะต้องทำทุกอย่างให้เบาที่สุด...
ออกหน้าบ้านไม่ได้แน่ ๆ เพราะหันไปมองก็เจอแต่แม่กุญแจสีทองอร่ามเชียวแหละ
งั้นลองหลังบ้านดู... ไม่เอา กลัวแมลงสาบ จำได้ว่าแมลงสาบหลังบ้านตัวใหญ่มาก
อืม งั้นชั้นสองหล่ะ... ไม่ได้ ชั้นนั้นป๊าอยู่
(คือพอป๊าล็อคบ้านทำอะไรเรียบร้อย แกก็จะขึ้นไปอยู่บนชั้นสอง)
ซึ่งจุดประสงค์ของการขังในครั้งนี้แม่งไม่มีไรเลย คือขังเฉย ๆ เฉย ๆ เฉย ๆ
คิดแล้วหาทางออกไม่ได้แน่ ๆ เห้ย เรามีโทรศัพท์หนิ
เลยเข้าแอพพลิเคชั่นไลน์... ใช่ค่ะ คุณเข้าใจไม่ผิด เราเข้าแอพพลิเคชั่นไลน์ เพื่อพิมพ์บอกคนอื่นว่า
"เห้ย! เราถูกขังอยู่ในบ้าน ช่วยเราด้วย" หลายคนอาจสงสัย ทำไมมึงไม่โทร~ ...ค่ะ สงสัยเหมือนกัน
คนแรกที่เราพิมพ์ไปหา คือคนที่เราคิดว่าจะช่วยเราได้มากที่สุด นั่นคือน้องของพ่อ
หรือที่เราเรียกว่า อาเจ็ก... อาเจ็กเป็นคนดุ ๆ ค่ะ ตามแบบเถ้าแก่มีลูกน้อง เขาต้องช่วยเราได้แน่ ๆ
"เจ็กคะ หนูถูกป๊าจับขังไว้ในบ้าน เขาล็อคทั้งบ้านเลย เจ็กช่วยหนูด้วย หนูออกไปไม่ได้"
อืม... มันดูเป็นประโยคขอความช่วยเหลือที่ดูโง่มากทีเดียว แต่เรื่องมันก็เป็นอย่างงี้แหละ ฮ่าๆๆๆ
พอกดส่งไปปุ๊บ ป๊าก็มาตอนไหนไม่รู้ จะเข้ามาคว้าโทรศัพท์ของเรา เรากับป๊ายื้อแย่งโทรศัพท์กันซักพัก
เราตัดสินใจ ปาออกไปนอกกำแพงสนามเทนนิส! ค่ะ ทุกคนอ่านไม่ผิดค่ะ อยู่ ๆ บ้านเราก็มีสนามเทนนิส ที่สามารถปาโทรศัพท์ออกไปได้ ทั้ง ๆ ที่บ้านเราถูกล็อคอยู่ และมีกำแพงล้อมสนิท มึงงงหรอ กูงงกว่า...
ยังไม่ทันที่ป๊าจะหันมาโกรธใส่เรา ก็มีรถปริศนาขับมาหน้าบ้านเรา พร้อมกับฝนที่ตกอยู่ทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้... ผิด!

ป๊าวิ่งไปขึ้นรถคันนั้นท่ามกลางสายฝน แล้วลับหายไป...
เราไม่รอให้เวลาสูญเปล่า จัดการยัดข้าวของทุกอย่างใส่กระเป๋าเป้ และจัดการผูกเชือกรองเท้าคอนเวิร์ส
สีขาวให้แน่นหนา ราวกับรู้ว่าจะต้องมีฉากบู๊แน่ ๆ
ไม่ทันจะได้คิดอะไรมาก รู้ตัวอีกทีก็ออกมาอยู่หน้าบ้านแล้ว หน้าบ้านที่เป็นสนามเทนนิสหน่ะ
อย่าถามว่าออกมาได้ยังไง กูบอกแล้วว่า กูไม่รู้ กูฝัน
สิ่งแรกที่เราทำคือการวิ่งไปหยิบโทรศัพท์ (แล้วเหมือนฉากในละคร ที่จะต้องมีฉากให้ลุ้นทุกทีสิน่า)
ขณะที่เรากำลังจะวิ่งไป เสียงล้อรถที่หยอกล้อกับน้ำฝนบนพื้นก็มาเทียบท่าอยู่อีกฝั่งของโทรศัพท์
เราไม่รอให้เท้าของป๊ากระทบกับพื้น เราวิ่งหน้ายู่ไปหยิบโทรศัพท์ของเรา แล้ววิ่งหนีอย่างเร็วที่สุด
เอาหล่ะ จะฉากบู๊แล้วนะ...
เราวิ่งหนีป๊าอย่างที่นักวิ่งก็ทำไม่ได้
เราวิ่งอย่างสุดกำลังเพื่อที่จะได้มีแรงผลักให้เราลอยตัวข้ามกำแพงได้
โดยที่กำแพงจะมีลักษณะเหมือนรั้วแหลมเป็นซี่ ๆ
เราวิ่ง แล้วผลักตัวเองให้สามารถจับซี่ของรั้วได้ และไต่ไปเหมือนลิงโหนต้นไม้
โดยที่ป๊าเรากำลังตามมาติด ๆ (ซึ่งภาพในฝันเนี่ยเราเห็นไม่ชัดหรอกว่านั่นคือป๊าของเราจริง ๆ รึเปล่า)
เราไต่ไปเรื่อย ๆ อย่างไม่ลดกำลัง แล้วฉากของรั้วก็เปลี่ยนไป
เป็นเหมือนรั้วในโรงพยาบาล หรือโรงงานวะ ...อืม ช่างแม่งเหอะ
เราไต่ไป ๆ โดยที่ลืมคิดไปว่าทำไมยังมีรั้วในโรงพยาบาลอีก
ไม่ทันจะได้คำตอบอะไรมาก...
"ตื่นโว่ยยยยย เช้าลืมตา ลืมตา ลืมตา ลืมต๊า ลืมตา~"
*ทำนองเพลง I need somebody (อยากขอสักคน) - บี้ สุกฤษฎิ์*
เพื่อนปลุก! จบ!
...ค่ะ จบแค่นี้จริง ๆ ก็บอกแล้วไงว่าหนังในฝัน ไม่มีวันจบ
เราพยายามจะหลับต่อ เพราะอยากจะรู้จริง ๆ ว่ามันจะเป็นไงต่อ จะจบยังไง
แต่ก็หลับไม่ลงแล้ว เลยลุกขึ้นมาเปิดคอมพ์ แล้วก็พิมพ์สิ่งนี้อยู่เนี่ยแหละ
มันเกิดเป็นความสงสัยว่าอะไรที่ทำให้ฝันของเราออกมาเป็นแบบนี้
เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ต้นตอความคิด มันเป็นเรื่องดีหรือไม่
แต่เราเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่สะสมอยู่ภายในจิตใต้สำนึกของเรานี้แหละ
แล้วกูต้องเล่าให้จริงจังขนาดนี้เลยเหรอ
เออ วัยรุ่นไทย ไม่เคยทำอะไรเล่น ๆ
ป.ล. ฝันแบบนี้ทีไร ตื่นมาเหน็บแดกทุกที!
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in