จะเรียกว่าทริปไฟไหม้ก็พูดได้ไม่เต็มปาก
ถึงแม้จะวางแผนกันล่วงหน้ามาเป็นเดือน แต่มันก็เป็นเพียงการคุยกันแค่จะไปหรือไม่ไป พอเอาเข้าจริงก็มาหัวหมุนกันก่อนจะไปไม่กี่วัน เป็นบ้ากันไปเลย
เราตัดสินใจเดินทางโดยรถไฟรอบสี่ทุ่ม โดยตามตารางจะถึงเชียงใหม่ตอนเที่ยงของอีกวัน และแน่นอนมันใช้เวลาสิบสี่ชั่วโมง แสนยาวนานกับรถไฟชั้นสาม
ชั่วโมงแรกเราก็ตื่นเต้นกับทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสภาพรถไฟ ห้องน้ำรถไฟ หรือแม้แต่เบาะนั่ง ต่างคนก็ต่างสงสัยว่าเราจะนั่งแบบนี้ครบสิบสี่ชั่วโมงกันจริง ๆ เหรอ เราเองก็มีทุนชีวิตนิดหน่อยเพราะเคยนั่งมาก่อน แต่สำหรับเพื่อนคนอื่นมันเป็นครั้งแรก เราก็หวังว่ามันจะเป็นครั้งแรกที่ดี
เริ่มเลยพวกเราเปิดหัวข้อสนทนาด้วยเรื่องสิ่งลี้ลับ มีเสียงล้อกระทบกับรางคลอเคล้าเข้ากับประโยค เรื่องเล่าของเรา เรื่องเล่าของเพื่อน พลัดเปลี่ยนกันชวนขนหัวลุก มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจเสมอถึงแม้บางเรื่องจะเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีก ใส่ดีเทลรายละเอียดให้ชัดขึ้นจนรู้สึกเหมือนเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเมื่อวาน หรือแม้แต่วันนี้มันก็อาจจะเกิดขึ้นอีก
แต่ไม่หรอก
เราก็แค่หลับไปแล้วตื่นมาตอนหกโมงสามสิบสอง ตอนเช้าที่นายสถานีร้องบอกว่าถึงลำปางเป็นที่เรียบร้อย
มีแต่ภูเขากับสีเขียวที่ถูกเจือจางด้วยหมอกขุ่นราวกับสีน้ำขณะละลายลงบนกระดาษ สวย(ชิบหาย)จนไม่เคยรู้สึกว่าการตื่นตอนเช้าจะเลิกง่วงเงียได้ง่ายเพียงแค่ลืมตา
เราควักไอพอดขึ้นมาถ่ายเก็บไว้สองสามภาพ ก่อนจะพยายามปลุกเพื่อนตรงข้ามด้วยการจ้องเพียงหวังให้มันตื่น เราคุยกันสองสามประโยคแล้วต่างก็เงียบกับวิว ปล่อยให้เสียงรถไฟกลบเสียงทุกอย่าง
รางสองเส้นพารถไฟผ่านเนินเขา ผ่านแม่น้ำ ผ่านเหวลึกที่แอบจินตนาการว่าถ้ารถไฟคว่ำลงไปจะกลิ้งท่าไหน ตัวเราจะหมุนเคว้งกี่รอบ แล้วมันจะระเบิดมั้ย ถ้ามันตกแม่น้ำจะว่ายน้ำยังไง
แต่อีกใจก็ภาวนาว่าอย่าให้เกิดอะไรขึ้นเลยเถอะ จะนั่งเป็นเด็กดีจนกว่าจะถึงเชียงใหม่นะ สัญญา
กระทั่งเที่ยง รถไฟทำเวลาได้ตรงตามตารางที่บอก
เราขนร่างและสัมภาระลงมา สถานีรถไฟเชียงใหม่ก็ดูเป็นเชียงใหม่ดีจนใจเตือนตัวเองว่าก็ถึงเชียงใหม่แล้วไง ก็ต้องเป็นเชียงใหม่สิ(โวย)
และเราก็มาพบรถแดงที่เป็นเสียงเลื่องลือได้ยินมานาน เอาว่ะ นั่งก็นั่ง พอตกลงกับผู้ชายสักคนที่เข้ามาวอแวว่าน้องจะไปไหนครับเราก็หมดทางเลือก ก็ถ้าจะเข้ามาเชิญชวนขนาดนี้ก็เอาแผนที่โรงแรมไปเลยค่ะ ยินดีที่ได้ใช้บริการ
แต่ดันไม่ได้นั่งรถแดง(ว่ะ) มันเป็นรถตู้สภาพเก่านิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะแอร์เย็น ๆ ก็คอยบอกใจว่าเป็นแบบนี้หน่ะ ดีแล้วเจ้า
ตกเย็นเรามาจบกันที่ชาบู ร้านชื่อสองชั้น(เข้าใจตั้งดีเพราะร้านมีสองชั้น) คนเต็มร้านแสดงถึงชื่อเสียงและความอร่อยได้มากโข มันอาจจะคล้ายชาบูทั่วไป ต่างนิดหน่อยตรงไม่กำหนดเวลา เราเองก็กินเบคอนไปจนเหนื่อยจริง ๆ วันนั้น แต่ถ้าถามว่าประทับใจอะไรจะตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยว่า ไอศกรีมอร่อยมาก(ร้องไห้) เหนียวนุ่มมากขนาดนั้นไปเกิดเป็นเนื้อมั้ยไอติม
พอท้องอิ่มก็อยากนอน ทำอะไรก็เหมือนต้องช้าลง ทุกคนเลยคิดออกมาว่าเดินย่อยกันเถอะ ลบล้างความรู้สึกผิดกับเบคอนไปบ้างน่าจะดี พวกเราเลยเกาะกลุ่มเดินเลียบทางมาเรื่อย ๆ แวะซื้อเครปเปล่ามาชิ้น ก่อนจะต่อรถแดงกลับหอ
แต่เปล่าเลย ออดดันดังหน้าร้านโรตี
บรรยากาศร้านดูนวลละออตัดด้วยสีเหลืองครีม ร้านประมาณหนึ่งคูหา มีสองชั้น ติดแอร์ แถมมีการทอดโรตีโชว์ลูกค้ากันอยู่หน้าร้าน เสียงฉู่ฉ่าของโรตีบนกระทะไม่ได้ดังไปกว่าเสียงผู้คนที่จอแจกันเต็มร้านแม้เวลาจะบอกห้าทุ่ม พนักงานวิ่งวุ่นให้ทั่วรับออเดอร์ พวกเราทั้งห้าคนก็ถูกเชิญให้ขึ้นไปนั่งโต๊ะว่างชั้นสอง
และพนักงาน(ที่จะไม่พูดถึงเลยก็ไม่ได้)ก็มารับออเดอร์เราอย่างน่ารักทั้งท่าทางและหน้าตา อยากจะอ้อยอิ่งเลือกเมนูนาน ๆ ก็เกรงใจเมนูฝอยทองโรตีเสียก่อน
พอถึงวันที่สองทุกคนตื่นกันเช้ามาก เพราะต้องพาเพื่อนไปฉีดวัคซีนที่โดนแมวกัด อย่างว่า กัดที่กรุงเทพฯมารักษาไกลถึงเชียงใหม่
อาหารมื้อแรกของวันที่เราหมายมั่นปั้นมือกับข้าวซอยร้านดัง มันถูกเลือกเป็นอันดับแรกของสิ่งที่อยากกินเมื่อมาเยือนเชียงใหม่ แถมรถแดงก็รู้พิกัดร้านอย่างดี คุยไม่กี่คำก็มาลงจอดอยู่หน้าร้านแล้ว มันตั้งอยู่ในนิมมานต์สักซอยที่ซับซ้อน ไม่ช้า เราก้าวเข้าไปนั่งโต๊ะกลางร้าน ในหัวมีภาพของข้าวซอยที่จินตนาการเป็นร้อยอย่าง(อย่างแรก ๆ คือคิดว่าข้าวซอยนั้นมีข้าว ข้าวจริง ๆ แบบข้าวสวยข้าวหอมมะลิ)เราเลือกข้าวซอยหน้าเนื้อ และอ้าว มันเป็นเส้นหรอกเหรอ ประทับใจในระดับนึง แต่ที่เหลือคงบอกว่าไม่ (อร่อยดี แต่คงมีที่อื่นอร่อยกว่านี้แน่ ปัดโธ่เอ้ย)
พอออกจากร้าน ฟ้าฝนก็เริ่มส่งเสียงร้องเป็นระยะ พวกเราตั้งท่าเดินลัดเลาะเข้าไปตามซอยต่าง ๆ แวะดูแกลลอรี่ตรงนี้บ้างตรงนั้นบ้าง เชียงใหม่มีอะไรแบบนี้ตามซอกตามซอยตามมุมถนนเยอะแยะเลย เป็นเรื่องดีหากเรามีอะไรแบบนี้แถวที่เราอยู่บ้าง เหมือนมีจินตนาการอยู่ใกล้ ๆ
ถัดมาเราก็ทะลุซอยเพื่อไปหาจินตนาการที่ว่า
เช่น ร้านหนังสือ
ชอบร้านแบบนี้ชะมัด มันสวย เพลงที่เปิดคลอก็ดี บรรยากาศก็ดูเป็นใจ แถมจัดหนังสือได้ยอดเยี่ยม และแน่นอนเราก็ต้องมีของติดใต้ติดมือก่อนออกมาจากร้านอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะพลาด
เชียงใหม่น่ารักดี
น่ารักแม้กระทั่งร้านเค้ก ดงมาดาม มันเป็นดงพงไพรอย่างที่ว่า ดอกไม้ กิ่งไม้ถูกผาดผ่านตามแนวร้าน การจัดวางที่เหมือนหลุดออกมาจากนิทาน เหมือนกับว่าเราเปิดกล้องตรงไหนตรงนั้นก็เป็นมุมถ่ายภาพสวย ๆ ได้เหมาะเจาะโดยไม่ต้องทำอะไรกับมันเลยด้วยซ้ำ
อีกอย่างเท่าที่ผ่านหูมาเรื่องความเป็นมาเป็นไปของการก่อตั้งของร้านก็ชวนอุดหนุน แมวตัวใหญ่ที่เดินพาดโพนบนกิ่งไม้ใหญ่ ท่อนไม้วางเค้กที่ถูกประดับด้วยมุกพร้อมกับเค้กมะพร้าวชิ้นเล็ก
เกือบจะเป็นซินเดอเรลล่าแล้ว ให้ตายสิ
พอบ่ายแก่ อ่างแก้วก็เป็นอีกสถานที่ที่น่าไป เราเดินเข้าประตูวิศวะหลังมอ และเดินกันจนตายไปข้างเพื่อไปอ่างแก้วอีกฟากของมหาลัยเชียงใหม่ ขาสองขาลากกันไปเรื่อย ๆ เดินตามฟุตบาทผ่านคูน้ำ ผ่านคณะเล็กคณะใหญ่ เราคุยกันเกี่ยวกับว่าทำไมตอนนั้นไม่ยื่นแอดที่นี้กันนะ แล้วก็หลุดหัวเราะ
เรื่องในอดีตกลายมาเป็นหัวข้อสนทนา
ในตอนนั้นเราไม่เคยคิดที่จะยื่นคะแนนที่นี้เลย อาจเป็นเพราะคณะที่หมายตาไม่มีอยู่ ถ้าตอนนั้นเราแวะมาอ่างแก้วก่อน ใจเราอาจจะเปลี่ยนก็ได้ใครจะไปรู้(ฮา)
แถมอ่างแก้วสบายใจมากจริง ๆ ขนาดในวันที่ฟ้าครึ้ม เมฆลอยผ่านปกคลุมไปทั่ว มันก็ยังน่ามอง ใจเย็นลง ไม่รู้ว่าเพราะเราชอบน้ำหรือชอบอ่างแก้วกันแน่ ถ้าให้เลือกเราคงเลือกอ่างแก้ว เพราะมันนับเป็นสิ่งสบายใจชั้นเยี่ยมสำหรับเรา และคงยอดเยี่ยมสำหรับใครอีกหลายคน
ทริปนี้เป็นอีกทริปที่คงไม่มีวันลืม ถึงมันจะกระทันหันไปบ้าง นอนบนรถไฟด้วยความยากลำบากมากไปบ้าง แต่พอกลับไปพูดถึงมันทีไรก็นั่งหัวเราะทุกครั้ง มันเป็นทริปเล็ก ๆ ที่เยี่ยมยอด ที่ต่อให้ย้อนกลับไปถามอีกครั้งว่าจะไปไหม เราเองก็คงตอบว่า แน่นอน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in