เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Nichaday : เกาหลี 101nini2907
เกาหลี 101 | ตอนที่ 1 : first impression
  • ทริปนี้เกิดขึ้นตอนกลางคืนวันนึง ต้นเดือนมกราคม ระหว่างนั่งอยู่ในรถมุ่งหน้ากลับบ้านหลังจากกินข้าวเสร็จ

    ทุกปีช่วงปิดเทอมของน้องชายและน้องสาวเรา (เดือนสามถึงเดือนห้า) 
    เรากับที่บ้านมักจะมีแพลนไปเที่ยวกันเสมอ แต่ปีนี้เรื่องแผนของพวกเรากลับเงียบๆ 
    เพราะต่างคนต่างยุ่งกับเรื่องนู้นนี้ 
    เราที่กำลังจะเรียนจบ เข้าโค้งสุดท้ายของชีวิตมหาวิทยาลัย ไม่ได้เครียดหรอก แค่ขี้เกียจขยับตัว
    น้องสาวที่กำลังอ่านหนังสือกองพะเนินเพื่อการสอบแอดมิชชั่น
    น้องชายที่ก็สอบแข่งขันไปซะทุกสนาม เด็กมอสองต้องสู้เบอร์นั้น 
    คุณพ่อที่ทำงานเจ็ดวัน
    และคุณแม่ที่ต้องคอยดูแลเรื่องนู้นนี้ของทั้งสี่คนที่พูดถึงไป (บิ๊กบอสนั่นเอง)

    แผนเที่ยวช่วงซัมเมอร์ของพวกเราเลยไม่ได้รับการพูดถึงเลย
    แต่หม่าม๊าก็พูดขึ้นมาว่า
    "ไต้หวันช่วงนี้คนเที่ยวเยอะนะ ไปเที่ยวมั้ย"

    แต่ด้วยใจรักและถวิลหาเกาหลีใต้ของเราอยู่ลึกๆ
    สุดท้ายก็....

    "เกาหลีมั้ยม๊า เที่ยวง่าย เดี๋ยวหนูเขียนแผนเอง"หม่าม๊าคงรู้ว่าลูกสาวลึกๆก็อยากไป ใจคอติ่งอ้ปป้ามาสิบปีก็คงอยากไปหายใจอากาศเดียวกัน
    ป่าป๊าที่อะไรก็ได้ ไปไหนไปกัน 
    น้องๆที่ก็ยังไงก็ได้ ไปเที่ยวด้วยกันได้ตลอด

    สุดท้าย
    คืนวันนั้นเราก็เปิดคอมพิวเตอร์ เปิดกูเกิล แล้วใส่คำว่า
    "เกาหลี โซล pa---"
    ลงในช่องค้นหา

    แล้วก็เป็นอีบ้าอยู่พักใหญ่

    นั่งหาสถานที่เที่ยว การเดินทาง ที่พัก อาหาร ร้านเค้ก บลาๆ
    ยัดทุกอย่างลงในตารางเอ็กเซล

    บ้าสุดคือการจองตั๋วเครื่องบิน
    ด้วยความโลภ หน้ามืดตามัวอยากได้ตั๋วถูก ไม่รู้กดยังไงให้ไฟลท์ขาไปกับขากลับห่างกันหนึ่งเดือนห้าวัน
    กดจองตอนมกรา รู้ตัวว่าผิดซักกุมภาหรือมีนาไม่แน่ใจ 
    ขอบคุณบิ๊กบอสผู้ถี่ถ้วนที่หยิบใบจองขึ้นมาดู นังเด๋อนี่จองตั๋วผิดค่ะสรุป
    ตอนที่รู้มีแต่คำว่าชิบหายในหัว 
    จะเปลี่ยนตั๋วได้มั้ย เปลี่ยนได้รึเปล่าร้อนไปถึงป๊าต้องโทรไปคอลเซ็นเตอร์เปลี่ยนตั๋ววุ่นวายไปหมดสุดท้ายจากแพลนหกวัน เลยกลายเป็นแพลนเจ็ดวัน ช่วงสงกรานต์

    ช่วงที่ร้อนที่สุดของประเทศไทย
    เราจะไปอยู่เกาหลีแหละ
    ตื่นเต้นนิดนึงน่ะนะ


    วันที่เดินทางสาบานได้ว่าไม่ตื่นเต้นเลย ออกจะเนือยด้วยซ้ำ
    แต่อย่างว่า ณิชาที่ชอบท่องเที่ยว สุดท้ายก็ตื่นเต้นอยู่ดี
    แถมยังเป็นทริปแรกที่ไปเที่ยวเอง ทำทุกอย่างเอง ไม่มีไกด์ ไม่มีรถบัสพาไปทุกที่
    มีแต่พวกเรา แผนที่เตรียมไป และไวไฟพอกเกต
    หวังว่าเราจะไม่หลงไปไกลๆจนหาทางกลับที่พักไม่ได้


    เหยียบสนามบินอินชอน เกาหลีใต้ ผ่านตรวจคนเข้าเมืองที่มีประชากรสามล้านห้าแสนคนออกไป
    สิ่งแรกที่รู้สึกคือความหนาวเย็นที่ประเทศไทยไม่มีวันจะมี
    น้ำตาจะไหล 

    กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆห้าใบบวกกระเป๋าน้อยเดินทางไปในรถไฟมุ่งหน้าไปที่ที่พักก่อน
    ให้ไปเที่ยวด้วยกระเป๋าใบเท่าบ้านแบบนี้คิดว่าคงตายก่อน

    แต่ก็หมดแรงตั้งแต่ก่อนเช็คอินเข้าเกสต์เฮาส์แล้ว 
    ด้วยความที่ประเทศเกาหลีภูมิประเทศขึ้นๆลงๆ ฟุตบาทตามถนนก็ขึ้นๆลงๆตามไปด้วย
    โอ้.... กว่าจะลากกระเป๋าถึงที่พัก 


    สิ่งแรกที่พวกเราทุกคนมุ่งไปเมื่อเก็บกระเป๋าเช็คอินที่เกสต์เฮาส์เสร็จคือ
    นี่.....







  • พูดถึงเกาหลีใต้ ดินแดนที่ขึ้นชื่อในเรื่องโสม (ห้ามพิมพ์มอม้าเกินเด็ดขาด)
    ก็ต้องกินไก่ตุ๋นโสมสิคะ มื้อแรกในเกาหลีใต้ของเราจึงเป็นไก่ตุ๋นโสมเจ้าดังแถวๆคยองบก 
    เดินขึ้นจากสถานีรถไฟตามกูเกิลแมพไปนิดเดียวก็เจอป้ายหน้าร้านอันอย่างบิ๊ก
    พร้อมกับคนยืนต่อคิวหน้าร้านเกือบสิบคน
    ขนาดไปตอนเกือบๆบ่ายแล้วนะ







    ในใจคิดว่าต้องรอคิวนานแน่ๆ รู้แบบนี้ซื้อขนมปังร้านข้างหน้าที่พึ่งเดินผ่านมารองท้องก่อนดีกว่า
    แต่ยืนรอได้แป๊บเดียว พวกเราก็เดินเข้ามาในร้านให้ชามไก่ตุ๋นลอยผ่านหน้าไปมาแล้ว
    ร้านใหญ่มาก น่าจะรับคนได้เป็นร้อยคน โต๊ะเยอะมาก
    มีเสียงจ๊อกแจ๊กของคนที่มากินมื้อเที่ยงเหมือนเราเป็นเสียงประกอบ
    หลังจากใช่ภาษามือบวกนิ้วชี้อรหันต์จิ้มไปที่เมนูแล้ว
    ทุกคนก็นั่งถือเกียบเหล็ก แทะกิมจิเล่นด้วยหัวใจจดจ่อ



    ไก่ตุ๋นโสมก็อร่อยดี แต่อร่อยแบบจืดๆค่ะ
    ซุปร้อนคล่องคอดีมาก ข้าวที่ยัดไว้ด้านในเปื่อยจนนิ่ม ใส่เหล้าโสมที่ให้มาคู่กันรสชาติจะดีขึ้น
    เราชอบไก่ขาาวมากกว่าไก้ดำ ไก่ขาวมีเนื้อมากกว่า กินง่ายกว่าด้วย

    แต่ไก่ย่างที่รีวิวบอกว่าไม่อร่อยเท่าไหร่ พวกเรากลับชอบมากกว่าไก่ตุ๋นเสียอีก
    มันหอมๆบอกไม่ถูก มีความเค็มหวานของมันอยู่ ไม่ได้จืดชืดเท่าไหร่

    ระหว่างนั่งกินไก่ตุ๋นกันไปครึ่งหม้อ ม๊าก็เหลือไปเห็นขวดเกลือกับพริกไทยข้างโต๊ะ
    แล้วก็หันไปถามป๊าว่า "ทำไมไม่เติมเกลือกับพริกไทยหล่ะ"

    เอ๊อ ก็นั่นไง ทำไมไม่เติม
    อร่อยขึ้นเป็นกอง

    แต่ที่ชอบที่สุดของร้านนี้คือกิมจิ
    อ่านไม่ผิด กิมจิค่ะ

    ถ้าเทียบว่ากิมจิทั้งหลายที่ผ่านมาคือคนรัก
    กิมจิร้านนี้คือคู่แท้ 
    ผักกาดขาวดองร้านนี้อร่อยที่สุดเท่าที่ทั้งชีวิตเคยกินมา ความกลมกล่อมมี ความหวานกรอบก็มา
    กิมจิมันมาในจานเล็กๆที่อาจุมมา(คุณป้า) ต้องคอยตักเพิ่มจากโถให้ถ้าเราขอเพิ่ม
    ถ้าไม่เกรงใจกันจะขอป้าว่า ป้าคะ หนูขอทั้งโถ

    ยกกลับบ้านด้วยได้มั้ย




    สิ่งแรกที่เราไม่ชอบในประเทศเกาหลีใต้คือนี่ค่ะ

    ตะเกียบเล็กๆแบนๆสีเงินวาวๆ สำหรับมนุษย์ที่จับแต่ตะเกียบไม้ ตะเกียบพลาสติก และตะเกียบอื่นๆที่ไม่ใช่ตะเกียบเหล็กทั้งชีวิตอย่างเรา คีบอะไรก็หล่นก็ตกไปหมด

    คงไม่ใช่ไม่ชอบหรอก แต่มันไม่ชินมากกว่า
    ต้องเพิ่มวิทยายุทธกันเสียหน่อยแล้ว




  • อิ่มกายสบายใจแล้วก็ไปเดินผ่านพระราชวังคยองบกกัน
    เป็นพระราชวังแลนด์มาร์คที่ทุกคนต้องมา 
    กรุ๊ปทัวร์น่าจะเยอะจากตอนที่เราไป ประชากรรถทัวร์หนาแน่นมาก 
    เสียงภาษาจีนดังสนั่นไปหมด

    ก็เลยถ่ายรูปด้านหน้ากับรอบๆแล้วไปต่อเลย 

    แต่จากการดูจากภายนอก พระราชวังนี้สวยดีแหละ มีความโบราณในแบบเกาหลี
    ส่วนตัวชอบดูพระราชวังของทุกประเทศเพราะจะมีความเยอะที่ไม่เหมือนกันเลย
    ที่เกาหลีนี่เดินดูไป เพลงแดจังกึมอาอ๊าอาอาก็ดังประกอบในหัวไปเรื่อยๆ













    การเดินทางจากคยองบกกุงไปบุกชอนฮันอก ต้องขึ้นรถเมล์สาย XX นั่งไปสองป้ายจะถึงจุดถ่ายรูป
    อ่ะขึ้นรถบัสค่ะ

    คำถามคือสองป้ายที่ว่านี่ป้ายไหน 
    ความจริงในรถบัสมีเสียงบอกสถานีตลอด แต่เราไม่รู้ว่าชื่อสถานีที่ต้องลงคืออะไร
    ก็เลยเลือกลงที่สถานีท้ายสุด

    แล้วมันก็ถูกต้อง ใช่อันที่อยากลงพอดี


    บุกชอนฮักอกเป็นหมู่บ้านโบราณที่มีคนอาศัยอยู่ในบ้านเหล่านี้จริง
    การเที่ยวชมจึงต้องเป็นไปด้วยความสงบ ซึ่งทุกคนทำได้ดีมาก เราชอบ มันเงียบ ไม่ได้ถึงกับเงียบกริบ
    แต่ไม่มีใครใช้เสียงดังเลย
    มีแค่ไม้เซลฟี่ที่จะชนหัวกันบ้าง เดินตัดหน้าเลนส์โดยไม่ตั้งใจบ้าง เท่านั้นเอง

    แต่จุดที่เป็นที่ถ่ายรูปหลักๆนี่คนก็เยอะมหาศาลเหมือนเดิม
















    ต่อไป กวางฮวามุนสแควร์ เป็นลานกว้างๆที่เหมาะกับการเดินเล่นตอนบ่ายแก่ๆมาก ลมดี แดดสวย 
    จัตุรัสตรงนั้นมีอนุสาวรีย์สองอัน คนนึงคือพระเจ้าเซจง อีกคนชื่ออะไรจำไม่ได้แล้ว

    มีพี่ชายคนนึงเก็กท่าถ่ายรูปตรงหน้้าอนุสาวรีย์นานมาก เราไม่ต้องการพี่เขาในรูป เราเลยใจเย็นรอให้พี่เขาถ่ายให้เสร็จ แต่พี่เขานานมากจริงๆ ซ้ายก็แล้ว ขวาก็แล้ว มุมงัดมุมเสยพี่เล่นทุกมุม
    หนูจะรอต่อไปค่ะพี่ หนูจะไม่ว่าอะไร
    แต่กล้องหนูหนัก



    วันที่เราไปเที่ยว เห็นมีนิทรรศการอะไรซักอย่าง มีรูปของเด็กในชุดนักเรียนเรียงกันยาวเลย

    แล้วเราก็เห็นคนมานั่งรวมกันอยู่ที่พื้น กำลังทำริบบิ้นสีเหลืองที่คุ้นตา
    แล้วก็นึกขึ้นได้ว่านี่คือเทศกาลรำลึกเหตุการณ์เรือเชวอลเมื่อสองปีก่อน

    นิทรรศการไม่ได้เศร้าอย่างที่คิด ทุกคนยิ้ม นั่งฟังเพลงจากวงดนตรีอย่างสนุกสนาน
    เราไม่เห็นใครร้องไห้
    เราหวังให้คนที่สูญเสียคนที่รักไปที่ยังรู้สึกกับเหตุการณ์นี้ยิ้มได้อย่างนี้ในเร็ววัน




    ตรงจตุรัสมีสาวๆใส่ชุดฮันบกมาเดินกันเยอะแยะเลย 
    ใส่ออกมาแล้วดูเหมือนสายไหมนุ่มๆฟูๆ สีชมพูพาสเทล
    แต่เราใส่คงดูตลกพิลึกล่ะมั้ง แต่ไปคราวหน้าจะลองใส่ดูนะ









    เดินข้ามถนนตรงจตุรัสไปก็เห็นก้นหอยสีม่วงอมชมพู จุดสังเกตของคลองชองกเยชอน

    เป็นคลองที่เพิ่งสร้างมาไม่กี่สิบปีเพื่อปรับทรรศนียภาพคลองเดิมที่ไม่ค่อยน่ามองเท่าไหร่
    ตอนนี้เลยเช้งวับจับตา กลายเป็นสถานที่เดตของหนุ่มสาวเกาหลี 
    ระหว่างที่เรากำลังถ่ายรูป เห็นคู่รักเดินผ่านไปสิบคู่ได้
    ใครบอกอิจฉา เปล่า 







    ทุกที่ที่มีคลอง บ่อน้ำ น้ำพุ แล้วมีช่องตรงกลางว่างๆน่าท้าทาย สถานที่นั้นจะกลายเป็นสถานที่ขอพรเสมอ
    ไม่รู้ว่าวัฒนธรรมที่ไหนเป็นจุดเริ่มต้นเหมือนกัน... รู้ตัวอีกทีใต้ผืนน้ำก็มีเหรียญจำนวนมากนอนนิ่งอยู่แล้ว
    แต่ถามว่าโยนมั้ย ก็โยนนะ
    ให้น้องชายโยน ลงซักเหรียญมั้ย ไม่ลงเลยค่ะ 5555555555







  • ยังไงต่อนะ หมดวันแล้ว แดดหมด ไปหาข้าวกินกันดีกว่า
    ไปกินหมึกผัดเผ็ดกัน
    ร้านอยู่ในย่านแถบเกสท์เฮาส์ที่ไปพักพอดี
    ย่าน "ฮงแด" หรือย่านมหาวิทยาลัยฮงอิก
    ย่านของวัยรุ่นวัยนักศึกษา วัยท่องเที่ยว และวัยกิน
    ร้านแถวนั้นจึงมีแต่ของกินน่าเสียเงินให้
    รวมถึงแหล่งช็อปปิ้ง เสื้อผ้าเครื่องสำอางจำนวนมากมาย
    เดินกันให้ขาฉีก

    ถึงหน้าร้านก็ต้องต่อคิวเช่นเดิม ระบบคิวเป็นกระดาษเอสี่แผ่นนึงที่ติดไว้แบบไม่ค่อยตั้งใจหน้าร้าน
    มีให้เขียนชื่อกับเบอร์โทรศัพท์ คนเกาหลีเขียนชื่อเสร็จก็หายจ้อยไปบ้าง นั่งรอบ้าง
    ส่วนเราที่ไม่ได้เปิดโรมมิ่งไว้ และไม่มีเบอร์โทรศัพท์ที่เกาหลีก็นั่งรอหน้าร้านกันตามระเบียบ

    เข้ามาในร้านได้นั่งโต๊ะที่เป็นแบบนั่งกับพื้น มนุษย์ไซส์ร้อยหกสิบขึ้นห้าคนขาชนกันใต้โต๊ะค่ะ
    แต่ใดๆล้วนไม่สามารถหยุดความมานะในการกินของเราได้ 
    ชี้นิ้วสั่งตู้มๆๆๆ อาหารก็มาถึง




    ปลาหมึกผัดซอสรสจัดจ้าน มีหมูสามชั้นกับกุ้งใส่รวมๆมาเป็นเพื่อนกันแก้เหงา
    กินคู่กับใบงา มันบด ถั่วงอกหัวโต น้ำซุปข้าวไหม้จืดๆ 

    ขอบคุณที่โลกนี้มนุษย์ช่างหาของกินมาจับคู่กัน

    มันอร่อยมาก แสงพุ่ง 

    แต่....
    เผ็ดอ่ะ กินแรกๆคิดว่าไหว กินไปกินมาชักแสบขึ้นตา
    ความจริงเรากินเผ็ดไม่เก่งเลย แต่เพราะมันอร่อย เราจะสู้ต่อไป /เคี้ยวใบงาสู้

    แต่ที่พีคคือข้าวผัด เตรียมตัวมาๆ รู้ว่าตอนท้ายมีข้าว 
    หลังจากกินไปจนจะหมด พี่พนักงานหน้าตาเนิร์ดของเราก็มาตักหมึกส่วนที่เหลือออกมาพักจนเหลือไว้แต่น้ำซอสก้นกะทะ ละพี่เขาก็เอาข้าวใส่ เอาไข่ปลา(หรือกุ้งไม่รู้) โรยลงบนข้าวแบบกลัวว่าชาตินี้จะไม่ได้พบได้เจอกันอีก กลัวชาตินี้เราจะไม่ได้กินไข่อีก

    เสร็จแล้วพี่เขาก็เอามาวางต่อบนเตา ละบอกภาษามือให้รอแป๊บนะน้อง ละเดี๋ยวค่อยกิน
    ประมาณนาทีนึง ให้ข้าวเกรียมนิดๆ มีกลิ่นกะทะติดมาก่อนละค่อยโซ้ย
    กินกันจนข้าวเม็ดสุดท้าย ขอดกันจนหมดเกลี้ยง ไม่มีคำว่าปรานีในหมู่คนหิว
    เดินออกจากร้านด้วยใบหน้าอิ่มเอมเปรมปรีย์ ในมือมีขวดยาคูลท์ล้างปากที่หยิบมาจากร้านหมึกผัดที่เขาแจกหน้าร้าน







    "กินคาวไม่กินหวาน สันดานไพร่" โบราณว่าไว้แบบนั้น

    ไม่ใช่ค่ะ ข้ออ้างของคนอยากกินล้วนๆ
    เดินตัดเข้าร้านเค้กกันไปซะอย่างนั้น


    ตัวร้านสีหลักคือสีเบจ ให้ความรู้สึกโคซี่ตามฉบับเกาหลี  ขนมเต็มตู้ที่เห็นแล้วตาวาว
    แต่จะซื้อทั้งก้อนก็กลัวจะท้องแตกไปซะก่อน
    อ่ะเบาๆสามชิ้น



    ชีสเค้กไกลๆนั่นนัวมาก ชีสเป็นชีส กินแล้วรู้สึกถึงนมวัวที่กลั่นออกมาเลย
    บลูเบอรรี่สีม่วงติดเปรี้ยวไปหน่อย เราชอบกินหวานมัน เลยคะแนนน้อยไปนิด
    เอิร์ลเกรย์เค้กซ้ายมือทรงแปลกๆ รสชาติดี กลิ่นชา เนื้อครีมฟูๆ กับแป้งกรอบๆนั่นเข้ากันดี

    ปิดวันแรกกันแบบนี้แหละ พุงกางเข้าเกสต์เฮาส์

    เจอกันพรุ่งนี้ที่เอเวอร์แลนด์นะ :D





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in