เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Into the WildNattapong Thunmina
Into the Wild
  • เรื่องนี้ผมคิดว่าเป็นหนังโปรดในดวงใจของใครหลายๆคนเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมประทับใจมากที่สุดและชอบมาก และอีกอย่างหนังเรื่องนี้ทำให้ผมมีแรงบันดาลใจอะไรหลายๆอย่างที่ให้ผมกล้าที่จะออกเดินทางคนเดียว โดยที่ไม่กลัว

    โครงเรื่อง ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานกำกับของนักแสดงสุดแนวอย่าง Sean Penn (จาก Milk, Mystic River, I Am Sam) ซึ่งดัดแปลงบทภาพยนตร์มาจากหนังสือในชื่อเดียวกันของ Jon Krakauer ซึ่งเขานำมากจากเรื่องจริงของ คริสโตเฟอร์ แม็คแคนเลส ที่ถูกค้นพบศพที่เสียชีวิตในรสบัสสีเขียวนั้นจริงๆ 


    ภาพยนตร์เรื่องนี้หากกล่าวอย่างย่นย่อและกระชับมันคือการใช้ชีวิตที่หลุดกรอบของสังคมของเด็กหนุ่มวัย 23 ปี เพื่อออกตามล่าหาความหมายของชีวิตที่เขาเชื่อว่าคือการได้ไปใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรในอลาสก้า ดังนั้นทันทีที่เขาเรียนจบในระดับปริญญาตรี เขาจึงตัดสินใจทิ้งชีวิตของเขาทุกๆอย่าง และออกเดินทางไปอลาสก้า โดยแทบไม่มีเงินติดตัวเลยสักแดงเดียว 
    การเปิดเรื่อง (Exposition)   เรื่องนี้เปิดเรื่องโดนการเปิดเรื่องราวการออกเดินทางของพระเอกโดนการเดินเท้าไปยังเทือกเขา การเปิดเรื่องแบบนี้ถือว่าดีเลยครับ มีความน่าสนใจ และอยากที่จะดูต่อว่าเรื่องราวต่อไปจะเป็นอย่างไร 
    ความขัดแย้ง (Conflict) ความขัดแย้งของตัวละครในเหตุการณ์คือ การพบกับเรื่องราวที่อยู่ในป่า การดำรงชีวิต การเอาตัวรอดในยามที่ไม่มีอาหารให้ประทังชีวิต หนังสะท้อน การค่อยๆปรับตัวของพระเอก ไปสู่ ความเป็นป่า  และต้องพึ่งสัญชาตญาณมากขึ้นเรื่อยๆ
    ระยะผ่านไปสู่ ความเป็นมนุษย์ป่านั้น   เขาได้นึกทบทวนอดีตอันตัวตนดำรงในสังคมที่เขาปฏิเสธมา
    พร้อมกับพบ ความเอื้ออาทร  การแบ่งปัน จากผู้คนระหว่างทาง  ทำให้เขาได้สัมผัสสารัตถะชีวิตอีกแบบหนึ่ง ที่ชีวิตเมืองพร่องไป
    เทคนิคการถ่ายทำ
    ในระดับองค์ประกอบของภาพนั้น Into The Wild สร้างความหมายให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความวิเศษในเรื่องของความสวยงามของธรรมชาติ มุมกล้องในระดับสูงมากๆ เพื่อครอบคลุมการมองเห็นของทิวทัศน์ของผู้ชมให้รู้สึกคล้อยตามไปกับตัวละครที่มองเห็นธรรมชาติเป็นสิ่งสวยงาม และให้ความหมายกับกล้องในการสร้างความสัมพันธ์อึดอัดกับครอบครัวของเขาระหว่างพ่อแม่ เพื่อให้รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาน่าอึดอัด และกระอักกระอ่วนใจมิใช่น้อย สิ่งพิเศษอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นที่น่าจดจำนั่นคือการใช้ดนตรีและบทเพลงประกอบ ซึ่งเชื่อเหลือเกิน บทเพลงที่ถูกยกนำมาใช้สร้างความหมายให้ภาพยนตร์รุดหน้าไปจนเข้าใกล้ระดับมาสเตอร์พีซในใจของผู้ชมหลายๆคน(รวมทั้งผู้เขียนด้วย) องค์ประกอบสุดท้ายที่เราจะกล่าวยกย่องก็คือวิธีการลำดับเรื่องหรือการตัดต่อซึ่งเป็นวิธีเยี่ยมยอดชั้นดีและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ด้วยน่าเสียดายที่พลาดการได้รับรางวัลไป หากชมอย่างเจาะลึกจะพบว่าที่ต้องทำการสลับเรื่องเช่นนั้น เพื่อสร้างความน่าสนใจของแก่นเรื่อง โดยการแบ่งวรรคตอน ของเรื่องราวออกเป็นส่วนๆ เช่น ตอนที่ 1 การเกิด ตอน 2 วัยรุ่น จนตอนสุดท้ายการค้นพบความจริง เพื่อทำให้การดำเนินเรื่องเกิดความน่าสนใจขึ้นมาทันตา และดีกว่าแน่นอนที่จะทำเรื่องให้แบนราบ แบบลำดับเวลาเพราะจุดเด่นที่สำคัญไม่ได้อยู่ที่การกระทำของตัวละครแต่มันคือการเรียนรู้การใช้ชีวิตเสียมากกว่า 

    ตัวละคร (Character) หนังแสดงแต่ละครเล่นได้ตีบทแตกมากครับ อย่างพระเอกเล่นดีมากครับชอบๆ ทำให้เข้าถึงตัวละอย่างมาก 
    หนังเรื่องนี้ให้อะไรเรา ผมคิดว่าหนังเรื่องๆนี้คือแรงบันดาลใจให้ผมกล้าที่จะออกเดินมากขึ้น อีกอย่างเพราะผมเป็นคนชอบการเดินทางเลยชอบความผจญภัยและชอบมากและเรื่องนี้ดูเหมือนการตายของพระเอกในวัยวันที่น่าจะยืดยาวกว่านี้ทำให้คล้ายจะมีบทเรียนได้บ้าง  เช่น เราไม่อาจใช้ชีวิตแต่ลำพังโดยปฏิเสธสังคมได้อย่างถาวร  เพราะ   ถ้าเตรียมตัวไม่ดี  ก็จะอดตาย ป่วยก็ยากจะรักษาเอง อันตรายจากสัตว์ป่าอีกหรือบางที่เขาอาจพบคำตอบของการดำรงอยู่แล้วในระดับหนึ่งในระหว่างทางก่อนเข้าป่า  ได้แก่  มิตรภาพและการเกื้อกูลเป็นสิ่งเติมเต็มชีวิตนั่นเอง
                                                                                                              หนังเรื่องนี้ ให้ 10/ 10 เลยครับ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Phatsaraporn Punyaveerawat (@first39x_first3)
อ่านแล้วดูน่าสนใจ
Cheeze Olives (@amfine_101)
ชอบบ
A38 (@fb1000003814022)
เรื่องนี้มีอะไรให้ตีความเยอะมากๆ เรื่องนึง
Connae Zhs (@thanpilcha)
เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่ชอบมากๆ
Ballji (@Ballji)
สุดยอดมากครับ อ่านรีวิวจนอยากดูเลย