เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ธีสิส ติดเกาะSasikan Jontapa
ออกจากเกาะได้ 30% แล้ว
  • วันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2566
    วันที่บอกคุณครูครั้งแรกว่าเปลี่ยนหัวข้อเป็นติดเกาะ
    (ยกเว้นครูที่ปรึกษาที่รู้ก่อน)


              การนำเสนอความความคืบหน้า 30% ของธีสิสติดเกาะ เราได้บอกคุณครูอย่างเป็นทางการว่าเปลี่ยนมาเขียนวรรณกรรมเยาวชน แต่ก่อนจะเล่าเรื่องราวของวันที่นำเสนอ ขอเล่าตอนก่อนจะมาเป็น 30% ก่อน

              หลังรู้ว่าจะทำเรื่องอะไร เราค่อนข้างหลงทางเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าควรหาข้อมูลตรงไหนบ้างให้งานของเราแน่นและน่าเชื่อถือ แม้จะเป็นนิยาย

              เราเลยเริ่มจากการศึกษากลุ่มเป้าหมายของเรา ซึ่งก็คือวัยรุ่น เราเข้าห้องสมุดของมหาลัย ยืมหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาวัยรุ่นมา บางเล่มเก่ามาก ๆ ตีพิมพ์ก่อนเราจะเกิด แต่พอไล่อ่านข้อมูลในนั้นดูก็พบว่าข้อมูลยังคงเป็นปัจจุบัน มีบางส่วนที่เก่าเกินไปบ้าง ส่วนใหญ่เราได้เรียนมาแล้วตอนปี 2 ในวิชาพัฒนาการเด็กกับอาจารย์หมอ

              ข้อมูลที่ได้มาเป็นเรื่องทั่ว ๆ ไปของวัยรุ่นที่รู้กันดีในสาขาก็จริง แต่มีประโยชน์มากในการสร้างตัวละครที่เป็นวัยรุ่น ข้อมูลพวกนี้ทำให้เราสร้างตัวละครที่มีมิติ สมจริง เราพยายามสุดความสามารถให้ตัวละครวัยรุ่น 6 คนของเราเป็นธรรมชาติ ดูเหมือนมีตัวตนอยู่ในโรงเรียนจริง ๆ มากที่สุด

              พอเอาข้อมูลเรื่องวัยรุ่น และพล็อตเรื่องที่เรามีไปเสนอกับครูนุช ซึ่งเป็นครูที่ปรึกษาธีสิสชิ้นนี้ เราที่กำลังหลงทางอยู่ในเกาะก็เหมือนได้รับแผนที่จากครูมา ครูแนะนำว่าให้หาวรรณกรรมเกี่ยวกับเกาะและวัยรุ่น แล้วก็อ่านมาเยอะ ๆ ประเมินข้อดีข้อเสีย หลังจากปรึกษาครูนุชเสร็จเราเลยนั่งหาและยืมมาจากห้องสมุดทันที ได้มาประมาณ 5 เล่ม

              ปัญหาคือเราเป็นคนอ่านช้ามาก และช่วงนั้นรับงานพิเศษไปขายหนังสือพอดี เลยได้ใช้เวลาตอนขึ้นรถไฟฟ้า กับตอนไม่มีลูกค้าอ่านหนังสือที่ยืมมาเท่าที่อ่านได้ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ที่เป็นซีรี่ส์ เราอาศัยการอ่านรีวิวหรือเรื่องย่อจากคนอื่นแทนว่าเรื่องราวเป็นแบบไหน

             เราอ่านวรรณกรรมเกี่ยวกับเกาะจบเล่มเดียวก็ได้ลิสต์มาคร่าว ๆ ว่าเกาะของเราควรมีอะไรบ้างให้ดูสมจริง เราจึงหาข้อมูลต่อเพื่อมาเติมเต็มลิสต์นี้

              ช่วงนี้ลำบากมากพอสมควร เพราะเป็นตรงกลางระหว่างการหาข้อมูลที่เป็นความจริง มาผสมกับความเพ้อเจ้อของเราให้ออกมาเป็นแฟนตาซีที่กลมกล่อมและดูเหมือนมีอยู่จริง เราเลยเข้าสู่ช่วงสมองตัน ใน 2 สัปดาห์นั้นงานของเราไม่มีอะไรคืบหน้า เหมือนติดเกาะวันแรกแล้วร้องไห้ทั้งวัน

               แต่พอใกล้ถึง Dead Line งานก็จะเดินเองตามนิสัยของเรา

             เราเริ่มทำงานตอนสามทุ่ม หาข้อมูลสลับกับนั่งเพ้อเจ้อจนถึงเช้า จนได้เกาะของเราออกมา รวมถึงชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในเกาะ สัตว์ในเกาะ และรายละเอียดในวรรณกรรมเรื่องนี้ด้วย ตอนนี้เรามีข้อมูลพร้อมที่จะไปนำเสนอความคืบหน้า 30% แล้ว



           เราทำสไลด์เตรียมนำเสนองานด้วยความมั่นใจ แต่ตอนใส่ข้อมูลส่วนที่เป็นความเพ้อเจ้อก็อดเขินไม่ได้ แม้แต่ตอนนำเสนอ เราก็ยังเขินอยู่กับรูปที่เราวาดคร่าว ๆ ให้คุณครูดู แต่จะไม่มีในเล่มจริง

            เราเห็นแววตาของคุณครูที่ไม่เหมือนกับตอนนำเสนอไอเดียครั้งก่อนเลย คุณครูดวงตาเป็นประกาย ดูสนใจเรื่องติดเกาะและเรื่องชนเผ่าที่เราสร้างขึ้นมา และดูกระตือรือร้นในการถามเหมือนอยากติดตามว่าจะเป็นอย่างไร (เราเห็นและเดาเอาเอง) แววตาของคุณครูทุกคนทำให้เราสบายใจ โดยมีครูนุชพยักหน้าแล้วยิ้มให้กำลังใจอยู่เพราะทั้งหมดที่นำเสนอครูที่ปรึกษาจะรู้ล่วงหน้าแล้ว

           นอกจากนั้นเรายังได้คำชม ว่าไอเดียการแก้ปมปัญหาในใจของวัยรุ่นด้วยการให้ไปอยู่ในสถานที่อื่นเป็นสิ่งที่ดี ทำให้เรามีความมั่นใจในหัวข้อมากยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนของความเพ้อเจ้อที่เราเขิน คุณครูก็บอกว่าให้เพ้อต่อไป ลงมือเขียนไปเลยระหว่างทางเราจะคิดหาวิธีอุดช่องโหว่ได้เอง เท่ากับว่าเราสามารถลงมือเขียนได้ ไม่ต้องห่วงเรื่องข้อมูลแล้ว

          พอกลับมานั่งที่เพื่อนก็บอกว่าข้อมูลแน่นมาก ถ้าเพื่อนรู้ว่าความจริงแล้วมากกว่าครึ่งที่เราพูดไป เราหาและคิดในคืนเดียวเพื่อนจะยังคิดว่าแน่นอยู่ไหมนะ 5555

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in