ถึงแม้ว่าที่นั่งข้าง ๆ จะว่างเปล่ามานาน แต่กลับไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไร จนบาร์เทนเดอร์พูดล้อเรื่อยมาว่าผมเฉื่อยชาลงไปทุกวันจนจะกลายพันธุ์ไปเป็นพวกเดียวกับพวกปัญญาประดิษฐ์ของบริษัทวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่กำลังทำอยู่แล้ว
ผมเห็นด้วยที่ใคร ๆ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าผมน่าเบื่อ ความรู้สึกของผมมันหมดลงไปเกือบทั้งหมดหลังจากการจากลาของคนที่รักยิ่ง เหลือไว้เพียงความรู้สึกชั่วคราวกับความสัมพันธ์ชั่วคืน เพื่อที่ผมจะได้ลืมเลือนมันอย่างง่ายดาย
เวลาผ่านมาร่วมแปดปีแล้ว ผมแสร้งทำตัวให้ดูปกติมาโดยตลอด ทั้งที่ข้างในนั้นคิดถึงเขาจนล้นใจ รอยยิ้มร่าเริงของเขายังคงประทับอยู่ในความทรงจำส่วนลึกของผมตลอดมา ไม่เคยจางหายไปแม้แต่วันเดียว
“นั่งด้วยคนได้ไหม”
มันเป็นประโยคแรกที่ทำให้ผมตกหลุมรัก น้ำเสียงสดใสที่ส่งผ่านออกมาจากริมฝีปากเล็ก ๆ ที่คลี่ยิ้มเสียกว้าง คิมโดยองในวัยสิบแปดปีทำให้หัวใจของผมเต้นแรงเป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้าย
“นี่คุณ... ผมถามว่านั่งด้วยคนได้ไหม”
เสียงหนึ่งแทรกเข้ามาในห้วงความคิดของผม ผมแปลกใจที่ภาพคิมโดยองในความทรงจำของผมไม่ถูกทำให้หายไป ในตอนที่หันสายตาไปหาบุคคลต้นเสียง มันกลับเกิดภาพทับซ้อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะ... ซอยองโฮ”
ภาพของคิมโดยองที่โตขึ้นจากเมื่อตอนนั้นมากปรากฏขึ้นอีกครั้งตรงหน้าผม แต่มาพร้อมกับรอยยิ้มและน้ำเสียงเดิมที่ผมคิดถึงสุดหัวใจ
.
.
มันเป็นเรื่องราวเมื่อแปดปีก่อน
ในห้องสมุดที่ผมกำลังใช้สมาธิทั้งหมดในการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษเป็นเพลงประกอบ มือของผมหมุนควงปากกาไปตามความเคยชิน จากนั้นผมก็พลาดทำมันตกสู่พื้น ก้มลงไปเก็บโดยไม่คิดอะไร สายตาของผมเห็นฝีเท้าหนึ่งที่เดินใกล้เข้ามาแล้วหยุดอยู่ตรงนั้น
“นั่งด้วยคนได้ไหม”
เขาพูด ในมือของเขามีหนังสืออยู่สองสามเล่ม ผมหันไปรอบ ๆ ห้องสมุด มีที่ว่างอีกตั้งมากมาย ผมสงสัยว่าทำไมเขาถึงต้องมานั่งโต๊ะเดียวกับผม แต่ก็ไม่ได้พูดปฏิเสธออกไป หลังจากเงยหน้าขึ้นมา ผมเพียงพยักหน้าให้เขารู้ว่าผมอนุญาต ก่อนจะชะงักไปเสี้ยววินาทีเมื่อเขาฉีกยิ้มตอบกลับอย่างไม่ทันตั้งตัว
เขาอ่านหนังสือของเขา ผมก็อ่านหนังสือของผมต่อ แต่สมาธิกลับกระเจิงตลอดเวลาที่มีเขานั่งอยู่ข้าง ๆ ผมคิดว่ามันเป็นเพราะเสียงฮัมเพลงเบา ๆ ของเขา ก็เลยเอ่ยปากบอกไป
“หยุดฮัมเพลงได้ไหม”
“ขอโทษนะ มันติดนิสัยน่ะ”
เขายิ้มอีกครั้ง แต่เป็นยิ้มที่ไม่เหมือนเดิม ยิ้มคราวนี้เป็นยิ้มแบบคนสำนึกผิด
ผมกลับมาอ่านหนังสืออีกครั้งกระทั่งเวลาล่วงเลยไปท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีของพระอาทิตย์ตกดิน อีกสักพักห้องสมุดก็จะปิด ผมจึงปิดหนังสือแล้วเก็บปากกาไว้ในกล่องดินสอ ขณะนั้นเอง สายตาก็พลันไปเห็นคนข้าง ๆ ที่กำลังตกอยู่ในห้วงนิทรา
“หลับไปตั้งแต่ตอนไหน” ผมไม่รู้เลย ถึงว่ามันเงียบเกินไป
ใช้อ้อมแขนตัวเองต่างหมอนหนุนแล้วหันหน้ามาทางผม ใบหน้ายามหลับของเขาดูไร้เดียงสา มีเสียงผ่อนหายใจเบา ๆ เป็นจังหวะราวกับเด็กน้อย เผลอตัวมองดูอยู่นาน ผมยื่นมือไปแตะไหล่ของเขาเบา ๆ
“ตื่นได้แล้ว” เมื่อสิ้นเสียงของผม อีกฝ่ายขมวดคิ้วรู้สึกถูกกวนใจ
“มีอะไรเหรอ” แต่ก็ยอมลืมตาขึ้นมาพร้อมกับน้ำเสียงงัวเงีย
“ห้องสมุดจะปิดแล้ว” ผมเอ่ยบอกไป
เราบังเอิญเดินกลับบ้านทางเดียวกัน เป็นเหตุให้เราได้ทำความรู้จักกันโดยบังเอิญ
คิมโดยอง อยู่ชั้นปีสามห้องหก เพิ่งย้ายมาที่นี่เมื่อสองวันก่อน ถึงว่าผมไม่เคยเจอหน้าเขามาก่อน บทสนทนาระหว่างทางกลับบ้านของเราไม่ได้มีอะไรมากมายนัก จนมาถึงทางที่ต้องแยกกันไป โดยองโบกมือแล้วยิ้มให้ หัวใจผมเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง
ในวินาทีนั้นเองที่ผมรับรู้ว่าคิมโดยองคนนี้ทำให้โลกของผมเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ผมตกหลุมรักครั้งแรกในตอนที่ผมอายุสิบแปด
หลังจากที่ผมเอ่ยชวนให้เขามานั่งข้าง ๆ ในวันถัดมา ก็ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนที่ที่นั่งข้าง ๆ ของผมถูกเติมเติมด้วยคิมโดยองไปแล้ว บทสนทนา รวมถึงเสียงหัวเราะ ทุกอย่างของเราเป็นไปอย่างธรรมชาติ เพียงแค่เขาเอ่ยปาก ผมก็ยอมโดยไม่มีข้อแม้ใด
ผู้ชายแข็งกระด้างอย่างผม แพ้ราบคาบให้กับคนซื่อ ๆ อย่างคิมโดยอง
บนดาดฟ้าของตึกที่เราชอบหลบมานั่งเล่นด้วยกันแค่สองคนตามลำพัง ผมนอนหนุนตักของโดยอง เราพูดคุยกันเรื่องวิชาประวัติศาสตร์โลกแสนน่าเบื่อ ไปจนถึงก้อนเมฆบนฟ้าที่ดูเหมือนกระต่าย ผมชี้ให้เขาเห็นแล้วบอกว่ามันเหมือนกับเขา โดยองหัวเราะแล้วลูบหัวของผม
เราสบสายตากัน ไม่มีคำพูดใด ในตอนนั้นเราก็มอบจูบแรกให้แก่กันบนดาดฟ้าที่มีเพียงเราสองคน รู้สึกดีจนเหมือนว่าตัวเองกลายเป็นก้อนเมฆแล้วล่องลอยขึ้นไปบนฟ้า อยากจะกักเก็บริมฝีปากนุ่มของอีกฝ่ายไว้กับตัวเองตลอดไป ผมหวังอย่างนั้นในใจ
แต่พอเกิดความคิดแบบนั้นขึ้นมา มันมักจะมีอะไรที่ทำให้มันเป็นไปไม่ได้เสมอ
“ถ้าเราต้องจากไปในที่ไกล ๆ นายจะเป็นยังไง” โดยองเอ่ยขึ้นมา
“ไม่รู้สิ” ผมตอบแล้วก็ถาม “ไกลแค่ไหน”
“ไกลขนาดที่เดินไม่ไหว นั่งรถไปก็ไม่ได้เลยล่ะ” โดยองเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้า ไม่ยอมก้มหน้ามาสบตาผมที่นอนหนุนตัก เสียงของเขาแผ่วเบาจนยากจะเดาว่าในนั้นซ่อนความเศร้าอยู่หรือเปล่า
“นานแค่ไหนถึงจะได้กลับมา” ผมเริ่มรู้สึกตัวว่าช่วงเวลาแห่งความสุขของผมกำลังจะจบลง ผมจึงเริ่มถามหาความหวังครั้งใหม่
“ไม่รู้เลย” แต่ช่างสิ้นหวังเหลือเกิน
.
.
“แล้วเจอกันนะ” โดยองโบกมือแล้วยิ้มให้กับผมตามเดิม
กระเป๋าเดินทางใบใหม่ถูกลากห่างออกไปโดยเจ้าของของมัน ผมมองแผ่นหลังที่ค่อย ๆ ไกลออกไปด้วยความรู้สึกว่างเปล่า เหมือนว่าทุกอย่างกำลังจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม เหมือนก่อนที่ผมจะได้รู้จักกับผู้ชายที่ชื่อคิมโดยอง
ใจหายเสมอในตอนที่มองพื้นที่ข้าง ๆ ของผมที่ตอนนี้ว่างเปล่าไม่มีใครนั่งอยู่ ปลอบใจตัวเองว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป เหมือนกับที่เคยปลอบใจตัวเองว่าอย่างนั้นเรื่อยมา
เวลาเดินช้าลงในตอนที่โดยองไม่อยู่ ผมกลายเป็นคนเฉยชา แม้แต่ตอนที่สอบติดในคณะที่ใฝ่ฝัน ผมยังไม่สามารถยิ้มให้กับความสำเร็จของตัวเองได้ ผมอยากให้โดยองได้รับรู้มันไปด้วยกัน แต่ที่ทำได้มีเพียงแค่ส่งข้อความไปทั้งที่รู้ว่าไม่มีวันได้รับการตอบกลับ
.
.
และในตอนที่โดยองกลายมาเป็นภาพฝันในจักรวาลของผม เขาก็มาปรากฏตัวตรงหน้าเหมือนดั่งเรื่องราวในนิยาย
“สรุปนั่งได้ไหม” เขาเอ่ยถามอีกครั้ง
“นั่งสิ” ผมตอบออกไปเพียงสั้น ๆ แต่กลับรู้สึกว่าเสียงมันสั่นมากเหลือเกิน
บรรยากาศแบบเดิมกลับมาอีกครั้งในรอบแปดปี หากแต่เปลี่ยนจากหนังสือเป็นแก้วเหล้า เราชนแก้วกันจากนั้นก็พูดถึงความเป็นไปของแต่ละคน ในที่สุดก็ได้รู้ว่าที่ที่ไกล ๆ ถึงขนาดเดินไม่ได้ นั่งรถไปก็ไม่ถึงของโดยองก็คือประเทศอังกฤษ โดยองขอโทษขอโพยที่เขาไม่ได้ตอบกลับข้อความของผมด้วยเหตุผลที่ว่าคงทำใจไม่ได้แล้วต้องหนีกลับเกาหลีมาเพราะความคิดถึง ซึ่งผมก็เข้าใจ เพราะถ้าเป็นผม ผมก็คงทนไม่ได้แน่ ๆ
ทั้งที่โดยองกลับมานั่งอยู่ข้างผมอีกครั้ง แต่ผมกลับพูดอะไรไม่ออก
อยากกอด...
“ขอกอดได้ไหม”
และแล้วเราก็สวมกอดกันจนรุ่งสาง
End.
Talk: ดองไว้นานมากเลย ขอโทษนะคะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in