การเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยากนะครับ เพราะในช่วงแรกเริ่ม ความฟุ้งฝันของเรามักวิ่งวนอยู่ในหัว ก่อเกิดเป็นภาพสำเร็จของเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทำให้เรามีกำลังใจ คิดว่าเป้าที่ตั้งไว้ไม่ไกลเกินจริง
ยกตัวอย่างจากการเริ่มต้นล่าสุดของผมอย่างการเขียนสิ่งที่คุณกำลังอ่านอยู่ตอนนี้ เรื่องมันเริ่มง่ายมากครับ ระหว่างที่ผมกำลังวิ่งวนอยู่ในสวนสาธารณะแถวบ้านก็เกิดนึกย้อนไปถึงการเริ่มต้นเพื่อออกกำลังกายด้วยตัวเองครั้งแรกเมื่อประมาณสองปีก่อน
ตอนนั้นผมออกวิ่งเพราะที่ออฟฟิศเกิดการรวมตัวขนาดใหญ่ ทุกคนอยากออกกำลังกาย และก็ดันมีคนไปเห็นประกาศรับสมัครวิ่งมาราธอนรณรงค์เพื่ออะไรสักอย่างเข้า แล้วก็ดันมีคนห้าวหาญท้าทายกันว่าวิ่งสิบกิโลเมตรไปเลยมั้ย
คำตอบของการท้าทายนั้นคือ “เอา”
ด้วยอารมณ์ฮึกเหิมและคิดว่านี่คือจุดเริ่มต้นของการมีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง เป็นสปอร์ตแมนในอุดมคติ เราจึงคิดว่าถ้าฝึกวิ่งไปเรื่อยๆ สิบกิโลฯ ก็คงไม่เกินเอื้อม
ถ้าจะโยงให้เข้ากับย่อหน้าแรกสักหน่อยก็ต้องบอกว่าวันนั้นผมก็นึกภาพตัวเองวิ่งเข้าเส้นชัยสิบกิโลเมตรได้เหมือนกันครับ ต่างอยู่หน่อยตรงที่ผมคิดว่ามันไม่น่าจะใช่เรื่องง่ายๆ
ด้วยความห่างเหินจากเม็ดเหงื่อที่พร่างพรายเพราะออกกำลังกายมานานเกือบห้าหกปีทำให้ผมในตอนนั้นตั้งปณิธานว่าควรมีการซ้อมวิ่งบ้าง ไม่งั้นแล้ววันจริงอาจได้ออกข่าวโทรทัศน์ ในหัวห้อข่าว ดับอนาถ ชายหนุ่มวัยยี่สิบเศษๆ สิ้นใจตายคางานมาราธอน
ผมจึงจัดแจงซื้อรองเท้า (เพื่อแรงจูงใจ ผมจึงซื้อรองเท้าให้จบๆ เพื่ออย่างน้อยจะได้มีเป้าหมายว่าต้องวิ่งให้คุ้มกับค่ารองเท้าที่ซื้อมา) และเริ่มหาว่าแถวออฟฟิศมีที่ไหนวิ่งได้สะดวก เมื่อได้สถานที่เรียบร้อยก็ถึงวันออกวิ่ง
วันนั้นในหัวของผมคิดว่าได้สักห้ากิโลฯ ก็คงดี ตัดภาพมาอีกที แค่หนึ่งกิโลฯ ยังหอบแดก ระบบหายใจแทบจะพังพินาศ กล้ามเนื้อมัดต่างๆ เหมือนประท้วงว่าทำอะไรของมึง แต่ก่อนมึงเอาแต่อยู่เฉยๆ ไม่ใช่เหรอ หรือมึงเป็นคนอื่นมาสิงร่างเจ้านายกู ออกไปเดี๋ยวนี้!
การวิ่งในวันนั้นจึงจบลงที่สิบห้านาที ล้มเหลวไปจากสิ่งที่คิดไว้ในหัวอย่างสิ้นเชิง
เมื่อคิดย้อนถึงตรงนี้แล้ว ผมก็กลับมาสู่ปัจจุบัน เริ่มผ่อนเท้าคลายความเร็ว และเริ่มมองหาที่นั่งพัก เพราะถ้าใครมาเห็นสภาพผมในตอนนั้นคงต้องบอกว่ากลับบ้านไปนอนเถอะมึง
ทำไมน่ะเหรอครับ ก็เพราะวันนี้ผมกลับมาเริ่มวิ่งใหม่อีกครั้ง หลังจากหยุดไปนานเกือบสองปี
ที่จริงแล้ว ผมก็ไม่ถึงกับหยุดขาดไปเลยหรอกครับ มีบ้างบางสัปดาห์ที่ว่างๆ ก็จะมาวิ่ง แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่วิ่งได้ต่อเนื่องหลายวันแบบตอนที่มีเป้าหมายเป็นการวิ่งสิบกิโลฯ ในงานมาราธอนได้อีก มีแต่การเริ่มๆ หยุดๆ ที่มีแววจะเกิดขึ้นได้อะเกนแอนด์อะเกน
ระหว่างนั่งหอบผมเลยคิดว่าเราคงต้องกลับมามีเป้าหมายอะไรสักอย่าง เพื่ออย่างน้อยในหัวจะได้เกิดปฏิกิริยาบางอย่างหลังจากรู้ว่าเราทำได้หรือไม่ได้ตามเป้า
ความฝันที่กี่กิโลเมตร จึงเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้
จากประสบการณ์ที่เคยวิ่งมาบ้าง ผมพบว่าช่วงเวลาเหล่านี้ทำให้ผมได้อยู่กับตัวเองอย่างแท้จริง จริงอยู่ว่าผมไม่สามารถคิดถึงอะไรอื่นได้ จะคิดงานก็คิดไม่ออก จะคิดถึงหนังหรือหนังสือที่อ่านหรือดูจบไปก็ทำไม่ได้ เห็นจะมีก็แต่เรื่องเกี่ยวกับตัวเองเท่านั้นที่พอจะทำให้สมองจดจ่อจนบางครั้งก็สับเท้าต่อไปได้โดยลืมเหน็ดเหนื่อย
ผมเลยอยากจดบันทึกถึงสิ่งเหล่านั้น สิ่งที่ผมนึกถึงระหว่างวิ่ง สิ่งที่เป็นดังเป้าหมายให้การออกจากบ้านมาวิ่งวนไม่จบเร็วจนเกินไป
แต่ก็อย่างที่พิมพ์ไว้ตั้งแต่ต้นแหละครับ การเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เพราะนี่คือช่วงเริ่มต้นสำหรับผม ความฟุ้งฝันจึงกระจายอยู่เต็มหัวว่าเมื่อเริ่มเขียนสิ่งนี้แล้ว ผมจะวิ่งได้บ่อยขึ้น ผมจะนึกถึงอะไรได้มากขึ้น ผมจะเขียนบันทึกได้มากขึ้นๆๆๆๆๆๆๆ จนเมื่อถึงสักกิโลเมตรหนึ่ง ผมคงยืนระยะการวิ่งได้ต่อเนื่อง จนไม่ต้องกลับมาเริ่มหากิโลเมตรแรกใหม่อีกครั้งแบบตอนนี้
ถึงจะดูมีไฟท่วมตัว แต่ผมก็คิดว่าย่อหน้าที่แล้วค่อนข้างเพ้อเจ้อนะครับ เพราะเอาจริงๆ วันนี้ผมก็วิ่งได้แค่สองกิโลเมตร สภาพก็เหน็ดเหนื่อยใช่ย่อย แถมวันธรรมดางานการก็เลิกดึกอีก ป่านนั้นสวนสาธารณะหรือฟิตเนส (ที่ไม่เคยได้เป็นสมาชิกไว้สักที่) ก็อาจปิดหมดแล้ว กว่าจะได้กลับมาเขียนอีกครั้งก็เมื่อไรไม่รู้ เผลอๆ อาจต้องตามหากิโลเมตรแรกกันอีกครั้ง
ตอนนี้จึงต้องจบลงด้วยการที่ผมเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างหงอยๆ แล้วบอกตัวเองว่า
"ยังไม่ต้องคิดว่าจะวิ่งได้หลายกิโลฯ หรอกมึง เอาแค่ออกวิ่งให้ได้ก่อนก็พอแล้ว!"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in