ก่อนบิน : กะนอนให้เต็มคราบ ตื่นเช้ามาก็เที่ยวเลย บินฟูลเซอร์วิสต้องทับใจแน่นอน
หลังบิน : แทบไม่ได้นอนเลย พอตั้งท่าจะหลับลูกเรือก็เสิร์ฟของว่าง พออิ่มก็ตั้งท่าจะนอน ปิดไฟละ คนข้าง ๆ ก็ไม่รู้นึกขยันยังไงเปิดไฟข้างบนเขียนใบเข้าเมือง (ทำไมรีบ T___T) นางเขียนเสร็จก็ปิดไฟ โอเค เริ่มเคลิ้ม ๆ จะหลับ สักพักเด็กร้องอีก โอยยยย หุบปากเถอะ ขอนอนหน่อย สักพักเงียบ แล้วไฟจากจอของคนด้านหน้าแยงเข้าตาอีก สรุปดู Big Short กับพี่เขาจนจบเรื่องเลย ฮืออออ พองีบไปได้สักพัก ตื่นขึ้นมา อ่ะ นั่งดู Carol ไปกับคนข้าง ๆ ก็ได้ สรุปคือแทบไม่ได้นอน ซอมบี้มาก คืนก่อนเดินทางก็แทบไม่ได้นอนเลย คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะไหวไหม เราต้องไหวสิ เราแข็งแรง เรายังไม่แก่นะ (สะกดจิตตัวเองซ้ำไปซ้ำมา)
ก่อนเดินทางก็โพสรูปนี้ลง IG ด้วย เดี๋ยวผิดธรรมเนียมการท่องเที่ยวของชาวอินสตาเกรี้ยน
ประมาณ 8:25 น. ตามเวลาของญี่ปุ่น เราก็เดินทางถึงนาริตะโดยสวัสดิภาพ แต่ยังกังวลนิดหน่อยเพราะยังไม่ได้ผ่าน ตม. ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฟังเพื่อนบ่นเรื่องความเข้มงวดของตม.เกาหลีมากไปหรือเปล่าเลยรู้สึกได้รับผลกระทบไปด้วย ในใจก็คิดไปว่า เฮ้ย! ตรงช่องอาชีพเราเนี่ย lawyer นะ บัตรก็มี คงไม่มีปัญหาง่าย ๆ หรอก แต่ก็คิดเผื่อไว้แล้วว่าจะเอาไรโชว์ให้ดูบ้าง แพลนเที่ยว เอกสาร ใบจองอะไรพร้อมหมด สรุปเขาก็ไม่ได้ถามอะไรเลย ให้ผ่านมาง่าย ๆ แต่สะดุดตรงนิดนึงที่ศุลกากร เขาอาจจะเป็นญาติกับเจ้าหนูจัมไม คือสงสัยทุกอย่างที่อยู่ในกระเป๋า หยิบสายชาร์จพาเวอร์แบงค์ขึ้นมา ถามว่านี่อะไร ใช้กับคอมพิวเตอร์เหรอ เราบอกใช้กับพาเวอร์แบงค์ พี่แกทำหน้างง ๆ สักพักหยิบพาเวอร์แบงค์ลายไม้ของอีลูปขึ้นมาถาม นี่อะไร แบตเตอรี่เหรอ เราก็บอก ใช่ ๆ ทีนี้หยิบอีกก้อน ถามว่านี่อะไร แบตเตอรี่เหมือนกันป่าว ของญี่ปุ่นใช่ไหม (เราพก 2 ก้อนไง) เราก็ตอบไป ไฮ่ ๆ พานาโซนิคคุ เขาก็หัวเราะอย่างพึงพอใจ (แหม อิชาตินิยม) แล้วหยิบเลนส์เพนขึ้นมาพร้อมทำสีหน้าสงสัยระดับ 10 ถามว่านี่อะไร เราก็ตอบไปอีก เลนส์เพนเดส อ่า… คาเมร่า ๆ (ทำท่าใช้ให้ดู) นางก็อ๋ออออออออออ แล้วก็บอกเราว่ากู๊ดลัค ขี้สงสัยมาก ในขณะที่พี่เราผ่านไปง่าย ๆ เลย (ถ้าหล่อก็อยากคุยด้วยให้นานกว่านี้นะ 555555)
พอพ้นจากศุลกากรมาแล้ว พี่เราก็เอาใบจองรถไฟเข้าเมืองสาย Keisei Skyliner ออกมา เพื่อไปรับตั๋ว เคาน์เตอร์นี่เดินออกมาก็จะเจอเลยนะ ตอนแรกก็สงสัยทำไมมันตั้งป้ายว่า Closed แล้วก็มารู้ว่า อ๋อ... ข้างล่างมันก็มีเคาน์เตอร์ขายตั๋วอีกนี่นา แต่ถ้าใครไม่ได้จองก็ซื้อเอาตอนจะเดินทางเลยก็ได้ ข้างล่างตรงสถานี(?)ก็มีเคาน์เตอร์อีก ส่วนน้องที่ดีอย่างเราก็ยืนมองซ้ายมองขวา ถ่ายรูปนิดหน่อย (ไม่อยากขยับตัว) หันไป อ๊ะ… นั่นนิโนะ (หยิบกล้องขึ้นมากด) ติ่งนี่อยู่ที่ไหนมันก็ติ่งจริง ๆ
มองไปทางซ้ายมือก็จะเห็นเจ๊คนนึงยืนต้อนรับ(?)อยู่ ลงบันไดเลื่อนไปตามป้ายก็จะเจอสถานีรถไฟเข้าเมือง
ได้เที่ยว 9.15 เร็วกว่าที่คิดไว้ประมาณชั่วโมงนึงอ่ะ คือตั๋วนี่เราจองโดยระบุวันเอาไว้ ส่วนเที่ยวค่อยมาเลือกเอา
ก่อนจะออกจากสนามบิน ดูสภาพอากาศแล้วน่าจะหนาวเอาเรื่อง มนุษย์เมืองร้อนอย่างเราก็เลยเปิดกระเป๋าเอาเสื้อโค้ทออกมาสวม พอลงไปตรงสถานีเท่านั้นแหละ โอ้โหหหหห หนาวอ่ะ ขนาดยังไม่ออกไปข้างนอกนะ เราเลยไปซื้อชาร้อนตรงแฟมิลี่มาร์ทหน้าสถานีเพื่อแตกตังค์ พอดื่มชาร้อนเข้าไปแล้วรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย อาห์~~
ตัวร้านนี่ถ่ายขากลับนะ ขามามัวแต่ส่องว่าในตู้อะไรน่าจะอร่อยสุด
ชาราคา 325 เยน
หลังจากนั้นก็เข้ามาในสถานี ความจริงมันก็มีบอกไว้หมดแล้วว่าต้องไปชานชาลาไหน นั่งขบวนไหน แต่เราเกือบไปผิดชานชาลาด้วยล่ะ ไม่รู้อะไรทำให้คิดว่าสกายไลเนอร์มันต้องไปตามป้ายสีน้ำเงิน 555555555 ความจริงมันคือสีส้มนะ ชานชาลา 4 สีส้ม จำไว้
ปลายทางของเราอยู่ที่ Ueno พอ 10.04 เป๊ะ ๆ ก็ถึงสถานี แบบไม่มีเลท (รู้สึกอยู่ ๆ คุณภาพชีวิตก็ดีขึ้นมา)
พอถึงสถานี Keisei Ueno เราก็เดินลากกระเป๋าขลุก ๆ ไปที่สถานี JR Ueno เพื่อฝากกระเป๋า
ออกมาหน้าสถานี Keisei ก็จะเจอแบบนี้ ไม่หลงหรอก
แต่… ไปมึนอยู่ในสถานีเพื่อหาจุดฝากกระเป๋า ตอนแรกเดินมั่วลงไปทาง Ginza Line เจอตู้แบบเก่าที่เต็มหมดทุกช่องเลยย้อนกลับขึ้นมา แล้วก็เจอป้ายอันเท่าบ้าน เป็นจุดฝากกระเป๋าที่มีล็อกเกอร์เยอะมากกกกก เลือกเอาเลย จะเอาไซส์ไหน มันอยู่ใกล้ ๆ Central Gate ฝั่ง Asakusa Exit
จากในรูปนี่คือด้านในยังมีล็อกเกอร์อีกประมาณ 4-5 แถวได้มั้ง ราคาต่อวัน ไซส์เล็กคือ 300 เยน ไซส์ใหญ่แบบใส่กระเป๋าเดินทางได้ 1 ใบ (และใบจิ๋วๆ) ราคา 600 เยน ความทับใจนี่คือ มันสามารถใช้ IC card (พวก suica , pasmo) ได้ด้วยอะ อย่างที่บอก… เราสนใจข้อมูลเฉพาะอย่าง เลยไม่รู้ว่าล็อกเกอร์ฝากของมันทำแบบนี้ได้ด้วย 555555555555555
วิธีการคือ
1.ถ้าล็อกเกอร์ที่ว่างอยู่ จะมีไฟสีเขียวขึ้น เราก็เปิดตู้ ใส่ของเข้าไป
2.ปิดตู้แล้วกดล็อก หน้าจอมันก็ขึ้นว่า คุณใส่ของเข้าไปในล็อกเกอร์เบอร์นี้นะ เราก็จิ้มไปตรงตู้ แล้วมันจะให้เราเลือกว่าจะจ่ายด้วยวิธีไหน จะใช้ IC Card หรือหยอดเหรียญ เราเลือกวิธีหยอดเหรียญ พอหยอดเสร็จมันจะให้ใบเสร็จมา บนใบเสร็จจะมี QR Code เวลามาเอาของก็เอา QR Code นี้แหละ สแกนปี๊บ ๆ ตู้มันก็จะเปิดให้ แต่ถ้าหายนี่ก็ไม่รู้เหมือนกันต้องทำไง ยังไม่ได้ลองทำหาย
3.ส่วนใครที่เลือกจ่ายด้วย IC Card ก็แปะการ์ดไปเลย เวลามาเอาของก็ใช้การ์ดนี่แหละแปะเอา มันจำได้ ใช้การ์ดจะค่อนข้างสะดวกกว่ามาก ส่วนถ้าทำการ์ดหายจะเอาของยังไง นี่ก็ยังไม่ได้ลอง
(อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าคุณภาพชีวิตดีอีกแล้ว)
ทางไปล็อกเกอร์ เชื่อป้ายแล้วชีวิตจะดี นอกจากนั้นยังต้องช่างสังเกตด้วยประมาณนึง 555555
พอฝากของเสร็จก็มาซื้อ Suica Card หรือบัตรกวิ้น(เราเรียกเอง) เป็นบัตรที่ทำให้ชีวิตดีมากนอกจากจะใช้ได้เกือบทุกสถานีแล้วยังจะใช้ซื้อของในคอนบินิ หรือร้านอื่น ๆ หรือใช้จ่ายตอนฝากของในล็อกเกอร์ แม้กระทั่งตู้กดน้ำบางตู้ก็ยังใช้ได้ ถ้าอยู่ประมาณอาทิตย์นึงเลือกแบบ 10,000 เยนไปได้เลย คุ้ม วิธีการซื้อก็ไม่ยาก มีคนทำรีวิวไว้เยอะ ทั้งแบบภาษาไทย หรือแม้กระทั่งวิดีโอใน youtube 555555 แต่ต่อให้ไม่มีรีวิวเราก็ว่ายังซื้อง่ายกว่าบัตรโดยสารรถไฟฟ้าของบางประเทศอีก ไม่ต้องไปต่อแถวเพื่อแลกเหรียญแล้วมาหยอดตู้อีกที อิ___อิ
พอซื้อบัตรกวิ้นเสร็จแล้วก็พร้อมออกเดินทาง ตั้งใจว่ามื้อแรกจะไปกินข้าวที่โทได แล้วก็เดินเล่นแถว ๆ นั้น แต่ยังไม่ทันจะออกจากสถานีเราก็เจอพุดดิ้งขวดหน้าตาน่ารัก เห็นเอริโกะกำลังเรียงขวดพุดดิ้งใส่ตู้เลยไปยืนดู เห็นมีเลข 1 อยู่ด้วยเลยคิดว่าคงน่าจะอร่อย (เป็นตรรกะที่….) แต่เอาเข้าจริงเราโดนขวดมันดึงดูดล่ะ เลยหันไปคุยกับพี่ว่าเราซื้อนี่ไปนั่งกินในโทไดกันดีไหม พี่ก็โอเค เลยสอยมาขวดนึง (ซื้อขวดเล็กเพื่อความปลอดภัย)
เรามารู้ทีหลังว่าร้านมันไม่ได้ตั้งอยู่ถาวร แค่มาออกบูธชั่วคราว เพราะวันจะกลับเราเห็นมันไม่อยู่แล้ว ชื่อร้าน(?) koujiya หาไปหามาร้านนี้เป็นของดีจากเมือง Ise จังหวัด Mie ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉี่ยงเหนือของคันไซ โอยยย พี่เขามาไกลอ่ะ ประมาณว่าเดิน ๆ อยู่หัวลำโพงเราก็เจอพุดดิ้งจากจังหวัดสกลนครมาออกบูธงี้
หลังจากโดนกับดักพุดดิ้งไปแล้ว เราก็หาทางไปโทไดกันต่อ จากการปรึกษาท่านไฮเปอร์เดียแล้วได้ข้อมูลว่า เราจะต้องเดินไปสถานีรถไฟใต้ดิน Ueno-Okachimachi (คนละสถานีกับ JR นะ) เพื่อนั่ง Oedo Line ไปลงสถานี Honga-sanchome แล้วก็เดินไปโทไดกัน
พอเดินออกมานอกสถานี มองซ้ายมองขวาก็จะเจอป้ายนี่ ไปประตูแดงทางนี้นะจ๊ะ ช่างโด่งดังเสียนี่กระไร
ระหว่างทางก็เดินดูรอบ ๆ ตัวไปเรื่อย ไม่รู้เป็นเพราะวันอาทิตย์หรือนี่คือปกติของย่านนี้ คนไม่ค่อยมี ดูเงียบสงบ รู้สึกชอบมาก ๆ ถนนก็โล่งจนอยากจะลงไปเดินตรงกลาง (เดี๋ยวนะ…) จะว่าไปแล้วอากาศก็หนาวกว่าที่คิด วันนี้เมฆเยอะจนมองไม่เห็นท้องฟ้าเลย
เดินตรงมาเรื่อย ๆ ก็จะเจอกำแพงแดง ๆ :) รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา 2 ขีด
พอมาถึงประตูแดงก็เจอนักท่องเที่ยวจีน(มั้ง) กำลังถ่ายรูปกัน เคยอ่านเจอว่าถ้าใครลอดผ่านประตูแดงนี้จะสอบเข้าโทไดได้ พอมองดูแล้วนี่คิดในใจว่านี่หรือคือที่ที่เคทาโร่กับนารุ (จาก Love Hina) อยากเข้า พอมองแล้วให้ความรู้สึกเหมือนทางเข้าวัดอย่างไรอย่างนั้นแหละ สวยกว่าที่คิดนะ ถ้าได้ฟ้าใส ๆ คงดีจะมาก ๆ เลย
เดินไปอีกนิด ก็จะเจอทางเข้าหลัก รู้สึกว่าทางนี้คนจะเข้าเยอะกว่า พอมองเข้าไปก็จะเห็นต้นอิโจวโกร๋น ๆ เรียงรายไปจนถึงหอนาฬิกา ถ้าเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะเป็นสีเหลืองอร่ามสวยงาม (ดูจากรูปของคนอื่น) พอดู ๆ แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้ามาตอนใบไม้ร่วงก็น่าจะดี คงสวยกว่านี้ แต่จากที่เราเห็นเราว่ามหาลัยสวยมากเลยนะ ตัวตึกเป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกเกือบหมดเลย ให้ความรู้สึกเหมือนพวกมหาลัยทางยุโรป สวยมาก มองตึกสวย ๆ ก็เพลินแล้ว
นอกจากเราก็มีนักท่องเที่ยวจีนที่มากับไกด์ส่วนตัว ตอนแรกเขาพูดภาษาญี่ปุ่นกับเรา ขอให้ถ่ายรูปให้ พอบอกว่าไม่ใช่คนญี่ปุ่นเขาก็ถาม คนไทยเหรอ (ฉลาดอ่ะ ดีจัง ไม่มีการถามว่าไต้หวันเหรอ 5555555 ) พอถ่ายรูปให้เขาเสร็จเขาก็ถามว่าจะให้ถ่ายให้ไหม เราบอกว่าไม่เป็นไร ๆ แล้วก็แจกยิ้มสยามก่อนจะเดินไปทางอื่นเพราะหันไปเห็นต้นอะไรชมพู ๆ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in