เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ปรัชญาจาก The old man and the seapamaijungrai
The Old Man and The Sea
  • 1.เรื่องtheold man and the sea นำเสนอแนวคิดของปรัชญามนุษย์นิยมอย่างไรบ้างให้เชื่อมโยง concept กับปรัชญาที่ได้เรียนมาอย่าง existentialismหรือปรัชญาของนิทเช่ โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์ในภาพยนตร์ประกอบอย่างละเอียด

    ชายเฒ่าออกไปหาปลาในทะเลโดยลำพังไม่ยอมให้เด็กผู้ชายไปด้วย เขาเชื่อมั่นในตัวเองสูงมากว่าจะจับปลาได้ ถึงแม้จะเป็นเพียงชายแก่ที่เหลือเรี่ยวแรงไม่มากเขาก็จะออกไปจับปลาอยู่ดี ฉากนี้แสดงให้เห็นถึงความหยิ่งทะนงตนของเขา ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเจตจำนงสู่อำนาจ (Will to Power) ของนิทเช่ที่กล่าวไว้ว่า คนที่จะเป็นผู้เหนือมนุษย์นั้นต้องมีเจตจำนงสู่อำนาจสูง แสวงหาอำนาจไม่ระงับกิเลสแต่ควบคุมกิเลสให้สร้างผลงานหรือวีรกรรมขึ้นมา นับถือตัวเอง แข็งแกร่งหยิ่งในตัวเอง

     เมื่อออกทะเลไปเขาตกปลามาร์ลินตัวยักษ์ได้แต่เขาไม่สามารถดึงมันขึ้นมาได้ จึงยื้อยุดฉุดกระชากกันไปมา จนชายเฒ่าหมดแรงและปลามาร์ลินได้ลากชายเฒ่าออกไปในกลางทะเล แต่ชายเฒ่าก็ยังไม่ยอมแพ้พยายามเอาชนะปลามาร์ลินตัวนั้นให้ได้ มีประโยคหนึ่งที่ชายเฒ่าพูดว่า “มนุษย์ก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉานแต่กันแค่สัตว์เหล่านั้นไม่ฉลาดเหมือนมนุษย์ที่คอยฆ่าพวกมันพวกมันมีความสง่าและความสามารถมากกว่าถ้าเลือกได้ฉันอยากเป็นสัตว์เดรัจฉานแหวกว่ายใต้ท้องสมุทรอันมืดมิดมากกว่า”ประโยคนี้แสดงให้เห็นว่าชายเฒ่าไม่ได้ลดทอนตัวเองไปเทียบเท่าสัตว์ แต่ก็ไม่ได้เชิดชูตัวเองให้เหนือกว่าสัตว์ในมหาสมุทรลึกๆแล้วชายเฒ่าก็ยังคิดว่ามนุษย์เหนือกว่าสัตว์แต่ไม่ได้สูงส่งถึงขั้นเป็นพระเจ้าอยู่ดีซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด มนุษย์นิยม(Humanism) ที่กล่าวไว้ว่า“เราไม่ควรลดทอนมนุษย์ลงไปเป็นสัตว์และไม่ควรเชิดชูเขาให้บริสุทธิ์เช่นดังพระเจ้าที่สมบูรณ์แบบ”

    เมื่อชายเฒ่าตื่นขึ้นมากลางทะเลเขาเริ่มต่อสู้กับปลามาร์ลินยักษ์อีกครั้ง เขาประกาศกับตัวเองว่าฉันจะสู้กับแกจนกว่าฉันจะตาย แล้วเขาก็ต่อสู้กับมันอย่างไม่ยอมแพ้ เขาดึงเบ็ดตกปลามาร์ลินสุดแรงเกิดจนปลามาร์ลินมาใกล้เรือ และเขาก็แทงมันได้ในที่สุด เขาชนะปลามาร์ลินยักษ์ได้แล้ว เขาคิดในใจว่า“ฉันอยากให้เด็กผู้ชายคนนั้นมาเห็นเสียจริง เขาจะต้องภูมิใจในตัวฉันแน่ๆแม้ฉันจะเป็นตาแก่หมดเรี่ยวแรง แต่ฉันก็ทำมันสำเร็จจนได้” ฉากนี้แสดงให้เห็นว่าชายเฒ่าภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างมาก เอาชนะปลามาร์ลินยักษ์จนได้ และเอาชนะตัวเองได้เขาเผชิญชะตากรรมอย่างกรรมอย่างองอาจ ทำให้เขามีความเป็นผู้เหนือมนุษย์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดผู้เหนือมนุษย์(Overman)ของนิทเช่ ที่กล่าวไว้ว่า ผู้เหนือมนุษย์จะต้องเผชิญชะตากรรมอย่างองอาจยิ่งแพ้ยิ่งมุ แน่วแน่กับสิ่งที่ตนปรารถนาและเผชิญอุปสรรคด้วยความลิงโลดและชายเฒ่าก็มีเจตจำนงสู่อำนาจขั้นสูงสุด คือ “การเอาชนะตนเอง”

     

     

    หลังจากที่ชายเฒ่าดีใจได้ไม่นานปลามาร์ลินที่ถูกจับได้ก็ส่งกลิ่นคาวเลือดของมันไปในมหาสมุทร เป็นเหตุให้ฝูงปลาฉลามในทะเลได้กลิ่นเลือดจึงตามเรือของชายเฒ่ามาแย่งกินเนื้อปลามาร์ลิน ชายเฒ่าพยายามป้องกันปลามาร์ลินจากฉลามแล้วก็ไม่สำเร็จเขาสู้แรงปลาฉลามทั้งฝูงไม่ไหว สุดท้ายปลามาร์ลินยักษ์ก็ถูกกินเหลือแต่กระดูกชายเฒ่ารู้สึกพ่ายแพ้ รู้สึกสูญเสียอำนาจไป สุดท้ายเขาก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาไม่ใช่ผู้เหนือมนุษย์อีกแล้ว ฉากนี้สอดคล้องกับปรัชญา สูญนิยม (Nihilism) ที่กล่าวไว้ว่าสภาวะที่คุณค่าต่างๆเสื่อมลงด้วยตัวของมันเองความรู้สึกมีอำนาจของชายเฒ่าได้หายไปหมดสิ้นแล้ว ตอนแรกเขาชนะปลามาร์ลินตอนนี้เขาแพ้ให้ฝูงปลาฉลาม

    ในตอนสุดท้ายของเรื่องชายเฒ่าแล่นเรือกลับบ้าน ชาวบ้านมามุ่งดูซากปลามาร์ลินยักษ์ของชายเฒ่าชายเฒ่านอนหลับใหลอยู่ในกระท่อม จากนั้นเด็กชายก็วิ่งมาหาชายเฒ่าในกระท่อมชายเฒ่าบอกว่าเขาแพ้ปลาฉลาม เขาคงไม่มีโชคอีกแล้วเด็กชายบอกชายเฒ่าว่าเขาไม่แพ้หรอก ผมภูมิใจในตัวคุณมากเดี๋ยววันหลังเราไปตกปลาด้วยกันใหม่นะ ผมจะนำโชคให้คุณเอง มาสอนผมด้วยฉากนี้แสดงให้เห็นถึง ความว่างเปล่าของมนุษย์ ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาอัตถิภาวะนิยม(Existentialism) ฌอง ปอล ซาร์ทร์ (Jean-Paul Sartre) ที่กล่าวไว้ว่าโดยแก่นแท้แล้วมนุษย์นั้นว่างเปล่ามนุษย์ไม่เคยเป็นอะไรมาก่อน เมื่อไม่เคยเป็นอะไรมาก่อน มนุษย์จึงสามารถที่จะเป็นอะไรก็ได้ที่จริงแล้ว ชายเฒ่าไม่เคยเป็นผู้ชนะ ไม่เคยเป็นผู้แพ้และปลามาร์ลินก็ไม่ใช่ผู้แพ้ ปลาฉลามก็ไม่ใช่ผู้ชนะคำว่าแพ้ชนะในเหตุการณ์นี้ใครเป็นคนกำหนด ไม่มีบางทีเขาอาจจะแค่ออกจากฝั่งมาไกลเกินไป

              เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ออกไปตกปลาชายเฒ่าเป็นคนเลือกที่จะทำเอง เพราะฉะนั้นเขาก็จะต้องรับผิดชอบในการกระทำของตนเองซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด Freedom come with responsibility ของฌอง ปอล ซาร์ทร์ (Jean-Paul Sartre)ที่กล่าวไว้ว่า เราเป็นผู้เลือก เราเป็นผู้กระทำ และเราเป็นผู้รับผิดชอบผลของการเลือกของเรา

              ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังให้ความหวังเราอีกด้วยถึงแม้ว่าชายเฒ่าจะผิดหวังกับการตกปลาครั้งนี้แต่ในอนาคตใครจะรู้ว่าชายเฒ่าอาจจะไปออกทะเลตกปลากับเด็กชายอีกครั้งและได้ปลามาร์ลินกลับบ้านมาแบบสมบูรณ์และมาแบ่งชาวบ้านกินอย่างมีความสุขก็ได้

     

     

     

  • 2.คำกล่าวที่ว่า“มนุษย์ตายได้แต่แพ้ไม่ได้” มีนัยยะอย่างไร ให้อธิบายจากการตีความของนักศึกษาเองโดยพิจารณาจากบริบทแวดล้อมจากในภาพยนตร์

              ฉากที่ชายเฒ่าต่อสู้กับปลามาร์ลินยักษ์ชายเฒ่ารู้ว่าตัวเองไม่มีแรงสู้ปลามาร์ลิน ปลามาร์ลินตัวใหญ่กว่าเขาเยอะมากเขาจึงนึกถึงเหตุการณ์สมัยหนุ่มๆที่เขาเคยแข่งงัดข้อกับชายผิวดำที่แข็งแกร่งที่สุดในท่าเรือเขาไม่สามารถเอาชนะแรงของชายผิวดำได้ในตอนแรก แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้เขางัดข้อกับชายผิวดำจนข้ามวันข้ามคืน จนชายผิวดำอ่อนแรงและแพ้ให้เขาในที่สุดจากนั้นทุกคนก็เรียกเขาว่าแชมป์ ชัยชนะในครั้งนั้นทำให้ชายเฒ่าซานดิเอโก เกิดอีโก้ในตัวเองเขาชนะมนุษย์ที่แข็งแรงกว่าเขามาได้ ทำไมแค่การเอาชนะปลาเขาจะทำไม่ได้ปลาไม่ได้ฉลาดเท่ามนุษย์เสียหน่อย ถ้าเขาแพ้ให้ปลาแสดงว่าเขาโง่กว่าสัตว์เดรัจฉานน่ะสิดังนั้นเขาจึงต่อสู้กับปลามาร์ลินโดยไม่ห่วงชีวิตตัวเอง เขาไม่กลัวกับการที่โดนปลาลากไปกลางทะเลเขาไม่กลัวที่จะโดนเอ็นตกปลาบาดมือ ไม่กลัวเรือล่มขณะที่ปลาดิ้นเพื่อดึงเบ็ดออกเขาเพียงแค่อยากเอาชนะ เขาบอกกับปลามาร์ลินว่า “ฉันจะสู้ จนกว่าฉันจะตายเจ้าปลาเอ๋ย” ประโยคนี่แสดงให้เห็นว่า ชายเฒ่าเป็นคนมีอีโก้ในตัวเองสูงมากเขายอมตายดีกว่าที่จะต้องรู้สึกแพ้สัตว์เดรัจฉานอย่างเจ้าปลามาร์ลิน

     

    3.นักศึกษาได้ข้อคิดอะไรจากการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ อธิบายเหตุผลให้ชัดเจน

    การเอาชนะตนเอง

    ชายเฒ่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการเอาชนะตนเองออกไปทำสิ่งที่อยากทำได้ ถึงชายเฒ่าจะแก่ไร้เรี่ยวแรงไม่เหมือนตอนหนุ่มแต่ก็ยังเชื่อว่าตัวเองยังออกไปจับปลาไหว บางทีเราก็ควรจะทำแบบชายเฒ่าบ้างในชีวิตเราไม่ควรจะดูถูกตัวเองว่าเราทำไม่ได้ ถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้ ก็จงออกไปทำ

    สร้างคุณค่าโดยตัวเองและไม่ต้องการการรับรองจากคนอื่นหรือสิ่งอื่นใด

    ตอนที่ชายเฒ่าจับปลามาร์ลินได้สำเร็จแต่ไม่มีใครได้เห็นความสำเร็จของเขา ณ ตอนนั้นและเขาก็คิดในใจว่าอยากให้เด็กชายได้มาเห็น เด็กชายคงจะภูมิใจในตัวเขาน่าดูประเด็นนี้ทำให้เห็นว่า จริงๆแล้วเราสามารถภูมิใจในสิ่งที่เราทำได้โดยไม่ต้องมีผู้อื่นมารับรองเพราะตัวเราเองนั่นแหละเป็นสิ่งที่รับรองการกระทำของตัวเรา เรารู้เห็นว่าเราทำอะไรเราสร้างคุณค่าให้ตัวเองได้โดยไม่ต้องให้คนอื่นมากำหนด

             

     

              ทุกอย่างเป็นสิ่งสมมุติควรปล่อยวาง

    เมื่อปลามาร์ลินของชายเฒ่าถูกฝูงปลาฉลาดแย่งกินจนเหลือแต่ซากชายเฒ่ารู้สึกพ่ายแพ้และเสียใจมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้จึงต้องกลับบ้านไปพักผ่อน ถึงชายเฒ่าจะรู้สึกว่าตัวเองแพ้ปลาฉลาม แต่จริงๆแล้วไม่มีใครบอกว่าใครแพ้ใครชนะ มีแต่ตัวชายเฒ่าคนเดียวที่คิดไปเองว่าตัวเองแพ้เพราะพวกปลาก็แค่หิวและออกหาอาหาร ส่วนชายเฒ่าก็แค่ออกมาไกลเกินไปก็เท่านั้นเพราะฉะนั้นที่ชายเฒ่าคิดไปเองต่างๆเรื่องความแข็งแกร่ง อ่อนแอ โง่ ฉลาด แพ้ ชนะก็เป็นแค่สิ่งสมมุติ อย่าให้สิ่งสมมุติเหล่านี้มากำหนดชีวิตเราไม่ให้เรามีอิสระในการใช้ชีวิต

              ชีวิตยังมีความหวังเสมอ

    ตอนสุดท้ายที่ชายเฒ่ากลับมานอนหมดแรงที่บ้านเด็กชายรีบวิ่งมาหาชายเฒ่า และบอกว่าภูมิใจในตัวชายเฒ่ามากแค่ไหน ถึงคนในหมู่บ้านจะไม่มีใครได้เห็นภาพความสำเร็จของชายเฒ่าแต่เด็กชายคนนี้เป็นคนเดียวที่สัมผัสได้ถึงความสำเร็จของเขาและยังบอกอีกว่าครั้งหน้าเด็กชายจะไปตกปลากับชายเฒ่าให้ได้เลย อยากให้ชายเฒ่ามาสอนเคล็ดลับการตกปลาด้วยเด็กชายพูดด้วยความตื่นเต้น ฉากนี้แสดงให้เห็นว่าถึงแม้ชายเฒ่าซานดิเอโกจะอับโชคในการตกปลาครั้งนี้แต่ไม่ได้หมายความว่าการตกปลาครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตถ้าครั้งหน้ามีเด็กชายไปด้วย เด็กชายอาจจะเป็นโชคดีให้เขาจริงๆก็ได้ ตอนจบของชายเฒ่าผจญทะเลก็สอนให้สอนรู้ว่า ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ ก็ย่อมมีความหวัง

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
TY (@luvty)
เขียนดีมากเลยค่ะ
pamaijungrai (@pamaijungrai)
@luvty ขอบคุณค่าาา